|
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าในฐานะศาสดาของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นกระบวนการนำหลักธรรมมาใช้่ในการดำเนินชีวิตจริง คือ ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ปัญญา่และสังคม โดยมีรายละเอียด ดั้งนี้ หลักแห่งการปฏิบัติธรรม ๕ ประการ ๑.ศีล ด้วยการทำตนให้สงบ ระวังความชั่วทางกาย - ใจ ๒.สมาธิ ต้องฝึกจิต อบรมจิตให้ระงับความวิตกฟุ้งซ่าน ๓.ปัญญา ต้องศึกษาลักษณะจิตด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ในหลักแห่งความจริง ๔.วิมุตติ ต้องเข้าใจลักษณะแห่งจิต ที่พ้นจากเพลิงทุกข์ ว่าเป็นอย่างไร ๕.วิมุตติญาณทัสสนะ ต้องศึกษาถึงความรู้จักตน ว่าอย่างไรจึงรู้แน่ กายสุจริต วจีสุจริตต มโนสุจริต หัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ๓ ประการได้แก่ ๑.ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๒.ทำความดีให้ถึงพร้อม ๓.ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้พระอริยสงฆ์จำนวน ๑๒๕๐ รูปที่ต่างมาประชุมโดยพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายในวันเพ็ญเดือน ๓ (วันมาฆบูชา) เรียกว่า "โอวาทปาติโมกข์ "อันถือเป็นข้อธรรมที่เป็นประธานของคำสอนทั้งหลาย ฆราวาสธรรม ๔ คือธรรมสำหรับการครองเรือนในชีวิตของบุคคลทั่วไปได้แก่ ๑. สัจจะ คือ พูดจริงทำจริงและซื่อตรง ๒. ทมะ คือ ฝึกหัดแก้ไขปรับปรุง ๓. ขันติ คือ อดทนตั้งใจและขยัน ๔.จาคะ คือ เสียสละ ธรรมคุ้มครองโลกมี ๒ อย่างคือ ๑.หิริ คือ ความละอายใจในการทำบาป ๒.โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวผลของการทำชั่ว อิทธิบาท ๔ หรือธรรมที่ช่วยให้สำเร็จในสิ่งที่ประสงค์ได้แก่ ๑. ฉันทะ คือ ความพอใจรักใคร่ ๒. วิริยะ คือ ความเพียร ๓. จิตตะ คือ เอาใจฝักใฝ่ ไม่วางธุระ ๔. วิมังสา คือ หมั่นตริตรอง พิจารณาเหตุผล สัมมัปปาธาน ๔ ๑. พยายามเพื่อจะไม่ให้เกิดอกุศลกรรม คือ บาปเกิดในตน ๒. พยายามเพื่อจะละอกุศลธรรม คือ บาปที่เคยเกิดขึ้นแล้วในตน ๓. พยายามเพื่อจะเจริญกุศลธรรม คือ บุญให้มีในตน ๔. พยายามเพื่อรักษากุศลธรรม คือ บุญที่เกิดขึ้นแล้วในตนให้มีอยู่ ข้อแรกคือ ให้ระวังทวารหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ข้อที่เหลือ คือ ต้องขับไล่ของเก่า คืออย่าไปแยแส ไม่ต้องรำพึงเพียงแต่เจริญ สติ เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้วได้แสดงปฐมเทศนาโปรดแก่ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕(ผู้ที่เคยอุปัฏฐากปรนนิบัติพระองค์มาได้แก่ โกณทัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ) เป็นครั้งแรกมรรคอันมีองค์ ๘ นี้เป็นข้อปฏิบัติแบบสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ที่ทรงโปรดแก่เหล่าปัญจวัคคีย์ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑.สัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาอันเห็นชอบ ได้แก่การเห็นในอริยสัจ ๔ คือ - ทุกข์ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) - ความดับทุกข์ (นิโรธ) - ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค) ๒.สัมมาสังกัปปะ คือดำริชอบ ได้แก่ - ดำริที่จะออกจากกาม (เนกขัมมะ) - ดำริในการไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น - ดำริในการไม่เบียดเบียนผู้อื่น ๓.สัมมาวาจา คือเจรจาชอบ ได้แก่การเว้นจากวจีทุจริต ๔ คือไม่ประพฤติชั่วทางวาจาอันได้แก่ - ไม่พูดเท็จ (มุสาวาทา) - ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน (ปิสุณาย วาจาย) - ไม่พูดคำหยาบคาย (ผรุสาย วาจาย) - ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ (สัมผัปปลาปา) ๔.สัมมากัมมันตะ คือทำการงานชอบโดยประกอบการงานที่ไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม และเว้นจากการทุจริต ๓ อย่างได้แก่ - การเบียดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (ปาณาติบาต) - การลักขโมย และฉ้อฉลคดโกง แกล้งทำลายผู้อื่น (อทินนาทาน) - การประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร) ๕.สัมมาอาชีวะ คือเลี้ยงชีวิตชอบได้แก่ การเว้นจากการเลี้ยงชีพในทางที่ผิด การประกอบสัมมาอาชีพคือ - เว้นจากการค้าขายเครื่องประหารมนุษย์และสัตว์ - เว้นจากการค้าขายมนุษย์ไปเป็นทาส - เว้นจากการค้าสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร - เว้นจากการค้าขายน้ำเมา - เว้นจากการค้าขายยาพิษ ๖.สัมมาวายามะ คือมีความเพียรชอบ ๔ ประการได้แก่ - เพียรระวังมิให้บาปหรือความชั่วเกิดขึ้น - เพียรละบาปหรือความชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว - เพียรทำกุศลหรือความดีให้เกิดขึ้น - เพียรรักษากุศลหรือความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ ๗.สัมมาสติ คือระลึกชอบได้แก่ การระลึกวิปัฏฐานได้แก่ การระลึกในกาย เวทนา จิต และธรรม ๔ ประการคือ - พิจารณากาย ระลึกได้เมื่อรู้สึกสบายหรือไม่สบาย พิจารณาลมหายใจเข้าออก - พิจารณาเวทนา ระลึกได้เมื่อรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ มีราคะ โทสะ โมหะหรือไม่ - พิจารณาจิต ระลึกได้ว่าจิตกำลังเคร้าหมองหรือผ่องแผ้ว รู้เท่าทันความนึกคิด - พิจารณาธรรมให้เกิดปัญญา ระลึกได้ว่าอารมณ์อะไรกำลังผ่านเข้ามาในใจ ๘.สัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ ทำจิตให้สงบระงับจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง ให้มีอารมณ์แน่วแน่เป็นอันเดียวเพื่อให้จิตจดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่าน หาอารมณ์อันไม่มีโทษให้จิตยึด จะได้ไม่พร่าไปหลายทางได้แก่ การเจริญฌานทั้ง ๔ คือ - ปฐมฌาน หรือฌานที่ ๑ - ทุติยฌาน หรือฌานที่ ๒ - ตติยฌาน หรือฌานที่ ๓ - จตุตถฌาน หรือฌานที่ ๔ เคล็ดลับการเป็นพหูสูต ๕ อย่าง ๑.ฟังมาก หรือศึกษาเล่าเรียนมาก ๒.จำมาก คือหมั่นสังเกตจดจำสิ่งต่างๆที่เห็นมา เรียนมา ๓.ท่องจนคล่องขึ้นใจ คือจำได้โดยไม่ต้องนึกคิด ๔.เจนใจ คือการคิดจนสร้างมโนภาพในใจขึ้นได้ทันที ๕.ทะลุปรุโปร่ง คือนำข้อมูลที่ได้ศึกษามาพิจารณาเป็นข้อสรุป อธิบายต้นสายปลายเหตุได้อย่างถูกต้อง อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการได้แก่ ๑.ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๒.สิ่งที่ได้ฟังแล้ว ย่อมชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น ๓.บรรเทาความสงสัยเสียได้ ๔.ทำความเห็นให้ตรง ๕.จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส |
Create Date : 21 มิถุนายน 2562 |
Last Update : 21 มิถุนายน 2562 11:35:57 น. |
|
0 comments
|
Counter : 220 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
ปลายฟ้ามีดวงดาว |
|
| |
|
|
|