ไม่ได้เป็นปัญหาเชาวน์ หรือปัญหากวนอวัยวะเบื้องล่างแต่ประการใด ถามเอาขำ ๆ ไหนช่วยลองตอบกันมาหน่อยซิว่า
ถ้าขณะที่คุณกำลังจมดิ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจของหนังสือสักเล่ม กำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วทันใดนั้น ก็ถูกขัดจังหวะด้วยอะไร บางอย่างจนทำให้ต้องวางหนังสือ ถาม : คุณทำอย่างไรกับหนังสือที่อ่านค้างเล่มนั้น? เพื่อให้การกลับมาจับหนังสืออ่านอีกครั้งสามารถเปิดอ่านต่อได้ทันที อารมณ์ไม่สะดุด
ที่มาของคำถามข้างบนก็ไม่ใช่อะไรหรอก เมื่อวันก่อนได้อ่านบทความแปล เกี่ยวกับความรักในหนังสือ คนเขียนและคนแปลเขียนได้น่ารักมากมาย อ่านแล้วขำกลิ้งไปเลย ยิ่งคิดถึงว่า ตัวเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ บทความกล่าวถึง ยิ่งขำหนักเข้าไปใหญ่
อ่านประโยคล่าสุดในวงเล็บ ก็รู้แล้วใช่ไหมว่า ฉันเป็นคนรักหนังสือ ประเภทแรกแน่นอน อิอิ ประเภทบูชาหนังสือเป็นพระเจ้า อืม แต่ว่าไป ก็ไม่ถึงดูแลหนังสือ จนริ้นไม่ให้ไต ไรไม่ให้ตอมหรอกนะ แค่เป็นคนทะนุถนอมหนังสือเท่านั้นเอง ทะนุถนอมยังไง มาดูพฤติกรรมฉันดีกว่า ว่ากันเป็นข้อ ๆ เลย มีไม่เยอะหรอก
๑. ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบการเปียกฝนที่สุดในโลก แต่ฝนจะตกหนักแค่ไหน ถ้าต้องเดินตากฝน ฉันยอมเป็นหวัด+เดินแกมวิ่งหรือเดินเร็ว ๆ โดยเอาตัวบังหนังสือไว้ไม่ให้หนังสือโดนฝนดีกว่า จะยอม เอาหนังสือหรือกระเป๋านักเรียน (นึกภาพเดะมัธยมหิ้วกระเป๋าหนักๆ) มาบังหัว
๒. เวลาถูกขัดจังหวะในการอ่านหนังสือ ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่ฉันจะกางหนังสือคว่ำลงกับพื้น เวลาเห็นใครแบะหนังสือ กางคว่ำกับพื้นแบบนั้น หัวใจะจะสลายทุกที สงสารหนังสืออ่ะ ลองนึกดูซิว่า เหมือนคนโดนบังคับกางขา 180 องศาเลยนะ ดังนั้นต่อให้ฉันรีบเร่งยังไง ก็ต้องหาที่คั่นหนังสือมาคั่นหน้าที่อ่านค้างให้ได้ บางทีด้วยความจำเป็น ก็ใช้พวกเศษกระดาษสะอาด ๆ หรือเงินแบงค์สิบ ยี่สิบบาทนี่หล่ะมาคั่นไว้ หรือถ้าหาไม่ได้เลย ฉันก็ใช้วิธีจำเลขหน้า ของหน้าที่อ่านค้างไว้ แหะ แหะ แค่เลขหลักร้อยเอง (นาน ๆ จะอ่านหนังสือหนาพันหน้าสักที) จำสามตัว เท่านั้นเอง จำไม่ยากหรอก
อ้อ พวกบัตรโทรศัพท์เนี่ย ก็เคยใช้คั่นหนังสือนะ แต่ตอนหลังก็เลิกใช้ เพราะค้นพบว่า คั่นแล้วทำให้หนังสือป่อง บวม ปิดไม่เรียบ ต้องเอาพจนานุกรมมาทับไว้ตั้งหลายวัน กว่าหนังสือจะเรียบสนิทเหมือนเดิม
๓. เวลาเปิดหนังสือ จะค่อย ๆ เอานิ้วชี้แตะของกระดาษของหน้าถัดไป แล้วเปิดอ่าน (ถ้าใครนึกภาพไม่ออกลองนึกว่า กำลังแอบขโมยค้นเอกสารลับ ที่ต้องค่อย ๆ เปิด ไม่ให้เสียงดังดูนะ อิอิ)
การเปิดโดยใช้นิ้วชี้กด ขยุ้ม ขย้ำ ขยำ เพื่อเปิดอ่านเนี่ย ไม่เคยทำเลย ยิ่งพวกนิยมน้ำบ่อน้อย ใช้นิ้วชี้ป้ายน้ำลาย แล้วแตะกระดาษ เพื่อให้กระดาษติดมือจนเปิดอ่านได้ง่ายด้วยแล้ว ...ฉันไม่เคยทำเลย แถมเห็นใครทำทีไร พาลจะอ๊อกทุกที ไม่รู้ว่าอยากทิ้งร่องรอย ทิ้ง DNA ของตัวเอง แสดงว่าเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ มากมายอะไรขนาดนั้น มันแหวะอ่ะ ...ดี ไม่ดี นาน ๆ ไป หนังสือเหม็นน้ำลายอีกต่างหาก
๔. หม่ำไปด้วย อ่านไปด้วย เนี่ย ไม่นิยมเช่นกันค่ะ อาจมีบ้างถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ กางราบไปกับพื้นโต๊ะ แล้ววางจานข้าวบนกระดาษหนังสือพิมพ์ หม่ำด้วย อ่านด้วย อร่อยดี อิอิ แต่ถ้าเป็นพวก pocket book เนี่ยไม่เคยทำ ไม่อยากทิ้งร่องรอยแดง ๆ เป็นจุด ๆ บอกให้รู้ว่า เล่มนี้อ่านสนุกมากตอนกินสปาเกตตี้ Bolognese หรือว่าเล่มนี้เคยอ่านตอนมื้อบ่ายในวันที่อากาศร้อนพร้อมกับ หม่ำสตอร์เบอรี่เย็น ๆ โรยน้ำตาลไอซิ่ง
คือ ถ้าเป็นหนังสือโปรดจริงนะไม่ต้องใช้รอยเปื้อน ๆ พวกนั้น มาช่วยจำหรอกว่า เคยอ่านเมื่อไหร่ เพราะถ้าโปรดจริง ฉันจำได้เกือบทุกครั้งว่า เคยอ่านตอนไหน ที่ไหนยังไง ด้วยอารมณ์แบบไหน
๕. หนังสือจากร้านเมืองไทย เค้าชอบหุ้มปกพลาสติกมาให้ฟรีใช่มะ อ่านไม่ได้ค่ะ ปกแบบนั้น ไม่ได้เว่อร์นะ แต่มันเกะกะ ไม่กระชับไปกับหนังสือ ถืออ่านไม่สะดวก อ่านไปรำคาญเสียงพลาสติกอีกต่างหาก ก่อนอ่านเลยต้องรื้อปกพลาสติกแบบนั้นออกก่อนถึงจะอ่านได้ อิอิ ถ้าเป็นหนังสือโปรดมาก ก็จะไปหาซื้อม้วนพลาสติกใสแบบคล้าย ๆ สติ๊กเกอร์ มาหุ้มปกเอง วิธีนี้ดีมาก ปกพลาสติกที่หุ้ม ราบเรียบติดไปกับหนังสือลูบแล้วไม่มีสะดุดมือ
๖. วางหนังสือไว้กลางแดด (หรือถ้าเป็นเยอรมัน ก็คือวางบน Heizung เนี่ย) ก็ไม่ทำเหมือนกันเพราะหนังสือมันจะโป่ง ๆ บวมแปลก ๆ เหมือนหอยปากอ้า ง่ะ หนังสือปิดไม่สนิท ดูไม่สบายตา ปิดแล้วดูบวม ๆ เป็นธุระให้ต้องเอาพวกหนังสือยักษ์ ไบเบิลทั้งหลายมาทับ กว่าหนังสือจะกลับสู่สภาพปกติ ก็ใช้เวลานาน
เขียนไปเขียนมา มันหลายข้อเหมือนกันแฮะ ยังไม่หมดเลยด้วยซ้ำ แหะ แหะ พอก่อนดีกว่า ก่อนที่ผู้คนจะประณามว่าฉันบ้า(และเว่อร์)
แล้วก็เพราะทะนุถนอมหนังสือขนาดนี้ ในสมัยก่อนคนที่จะเอาหนังสือฉัน ไปอ่านได้จึงต้องพวกรักหนังสือประเภทแรกเท่านั้น อายแฮะ ที่จะเปิดเผยตัว เองว่า เป็นคนขี้หวง...หวงหนังสืออ่ะ คือ ให้ยืมได้นะ ไม่มีปัญหา แต่ว่าต้องรักษาให้เหมือนที่ฉันรักษานะ (เว่อร์ซ้า)
สมัยอยู่มัธยม ยอมขนหนังสือการ์ตูนไปกลับบ้านโรงเรียนทุกวัน เพื่อให้เพื่อนยืมอ่านเฉพาะที่โรงเรียน ไม่ให้เอากลับบ้าน แหะ แหะ กัวทำยับ ถ้าอ่านไม่จบ พรุ่งนี้ขนมาให้อ่านใหม่ (ทำไปได้เนอะ คนเรา) เท่านั้นไม่พอ หนังสือที่ชอบมาก ๆ ถ้ามีคนอ่านแล้วทำยับ(หรือหาย) ฉันก็ต้องไปซื้อเก็บไว้ใหม่ อันนี้ เกิดกับหนังสือ "ของขวัญวันวาน" ของคุณ ว.วินิจฉัยกุล ซื้อมาทั้งหมดแล้ว 3 เล่ม ปกไม่เคยซ้ำกันเลย แหะ แหะ ((แต่ตอนนี้เหลือเล่มเดียวหล่ะ))
ว่าไป นิสัยคนประเภทแรก คนบาปหวงหนังสืออย่างฉันเนี่ย ไม่น่าจะมีใครคบเลยเนอะ คิดไป มันก็ผิดศีลเหมือนกันนะ ไม่รู้จักแบ่งปันคนอื่นเนี่ย แต่ฟ้าคงเมตตา ไม่อยากให้ฉันเป็นคนบาปจนเกินไป... วันหนึ่งจึงมีคนบอกกับฉันว่า หนังสือใหม่เอี่ยม ที่ซื้อมากองไว้แต่ในตู้ ได้อ่านแค่ฉันคนเดียวเนี่ย มันไม่มีประโยชน์หรอก เสียดายกระดาษ เสียดายหมึกพิมพ์ เสียดายคำความคิดคนเขียน
จำได้ว่า ได้ยินแบบนั้นครั้งแรก อึ้งไปเลย แต่ก็ยังเถียง (เถียงคำไม่ตกฟาก ว่างั้นเหอะ) ว่าถ้าให้ยืมแล้วเค้าทำหนังสือฉันยับ ถ้าเปื้อนน้ำปลา ทำเปียกฝนหล่ะ ใครจะรับผิดชอบ ???
ก็เลยเจอตอกด้วยคำว่า ค่าของหนังสืออยู่ที่การอ่าน ยิ่งอ่านมากคนเท่าไหร่ หนังสือก็ยิ่งมีค่ามากเท่านั้น แถมถ้าอ่านจบหลาย ๆคนแล้ว เราก็สามารถ แลกเปลี่ยนความคิด ถกปัญหาจากสิ่งที่หนังสือสื่อได้อีกด้วย นักเขียนไม่ดีใจหรอก ที่มีฉันเพียงคนเดียวเป็นลูกค้าดื่มด่ำงานเขียนของเค้า มีหลายคน กระจายอ่านกันไปหน่ะ ดีกว่าเย้อะ
ฟังแล้วเกิดวุฒิปัญญา อิอิ ตั้งแต่นั้นหนังสือฉันก็เลยเริ่มกระจาย ๆ ไปตามบ้านคนอื่น ๆ ในเยอรมัน แรก ๆ ก็ทำใจไม่ค่อยได้เหมือนกัน ที่เห็นหนังสือกลับมา ในสภาพยับ หรือบางทีเปียกน้ำ(ฝน) ^^ (((((แหะ แหะ ของแบบนี้ก็ต้องใช้เวลาหน่อยจิ ก็คนเคยชอบหนังสือเรียบเหมือนใหม่นี่นา)))) แต่อาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทำใจได้เรื่อย ๆ จนเดี๋ยวนี้เฉย ๆ แล้ว เฉยมาก จนไม่สนใจทวงถาม ตามหนังสือซะงั้น (อ้าว!) หนังสือหายไปหลายเล่มเหมือนกัน จำไม่ได้แล้วด้วย ว่าให้ใครยืมไปบ้าง เป็นพวกความจำสั้นไง เศร้าไปอีกแบบ ฮ่า ฮ่า
อ้อ! ย้ำอีกทีว่า ที่เล่า ๆ มา คือพฤติกรรมสมัยยังละอ่อน เอ๊าะ ๆ ของฉันนะ เดี๋ยวนี้แก่แล้ว หลายพฤติกรรมเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าพฤติกรรม 6 ข้อข้างบนนั่น ก็ยังคงเป็นอยู่ แต่ลดความรุนแรงลง
ฉันไม่ทะนุถนอมหนังสือมากเหมือนสมัยก่อน ไม่ใช่ว่า รักหนังสือน้อยลงนะ แต่คงเพราะได้เข้าใจมากขึ้นมั้งว่า หนังสือดีหรือไม่ดี มีค่าหรือไม่มีค่า อยู่ที่เนื้อหาข้างใน หาใช่อยู่ที่หน้าปก หาใช่อยู่ที่ความใหม่เหมือนเพิ่งซื้อมาจากร้าน ...แต่จนบัดนี้ก็ยังทำใจให้กล้าพับมุมหนังสือแทนการหาที่คั่นหนังสือไม่ได้สักที ^^
แล้วคุณหล่ะ รักหนังสือแบบไหนกันบ้าง???
ใครอยากอ่านบทความที่มาของเรื่องนี้ ลองไปอ่านที่นี่เลย บทความ Never Do That to a Book จากหนังสือ Ex Libris โดย Anne Fadiman แปลโดย Ingrid แก้คำผิดและเรียบเรียงโดย O แห่ง faylicity
//faylicity.com/book/article/confess.html
อ่านจบแล้ว มาเล่าให้ฟังบ้างนะว่า เป็นคนรักหนังสือประเภทไหนกันบ้าง เผื่อจะหาพวก เจอคนบูชาหนังสือเหมือนกัน
|
ถ้าหาอะไรคั่นไม่ได้ก็จำหน้า หรือบางทีก็ไม่จำง่ะ (มาควานๆ หาเอาอีกทีตามความทรงจำที่ค้างอยู่หุ หุ)
ข้าพเจ้าเป็นคนที่...ชอบอ่านหนังสือหลายๆ เล่มพร้อมกัน ไม่รู้เป็นอะไร บางเล่มมันทำให้เราต้องวางก่อน แต่ไม่ใช่ไม่สนุกนะคะ สนุก แต่พอก่อน (งงมะ)
ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ค่อยถนอมหนังสือของตัวเอง แต่จะถนอมของคนอื่นมากกว่า คือรู้สึกว่า ของเราจะเป็นไงก็ได้ (แต่ถ้าเยินมากๆ นี่ก็มีต่อยน๊ะ) แต่ของคนอื่นต้องทะนุถนอมมากหน่อย
เคยมีเพื่อนทำหนังสือข้าพเจ้าเปียกเล่มโปรดซะด้วย
แต่ไม่เป็นไร เพราะหนังสือซื้อเอาใหม่ได้ แต่เพื่อนซื้อไม่ได้...
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
สุขสันต์วันรักกันค่ะ