|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ
ในยุคของข้อมูลข่าวสาร ประชาชนทั่วไปที่เสพข้อมูลมากมาย หากขาดการใช้วิจารณญาณ ก็จักตกในทางอันเป็นอกุศลได้ รวมถึงนักลงทุนที่ต้องบริกหารความเสี่ยงให้มีน้อยที่สุด
ผมคิดว่า หลักกาลามสูตร ๑๐ ซึ่งหมายถึงวิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ จักเป็นตัวช่วยให้เราพิจารณาข้อมูลที่ได้รับ รู้จักถูกรู้จักผิดได้ดี และสามารถนำมาใช้ในทุกยุคทุกสมัย
ดังนั้นผมจึงได้จึงนำบทความ สรณะแท้แห่งชีวิต โดยศ.ดร.ฐาปนา บุญหล้า, FCILT //www.Thapana.net และเนื้อหากาลามสูตร ๑๐ จาก//www.easyinsurance4u.com/buddha4u/kalamasutta.htm มาเรียบเรียงและเผยแพร่ต่อเพื่อนชาว blog และสนใจศึกษาธรรมะ และโปรดได้ใช้หลักอย่าเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร) ในการพิจารณา
สรณะแท้แห่งชีวิต เป็นกระบวนทัศน์ท้าทายความเชื่อและวิถีปฏิบัติของการดำเนินชีวิตของมวลมนุษยชาติทุกชนชาติทุกเผ่าพันธ์ทุกชนชั้นตลอดมา เป็นความเชื่อว่าผลลัพธ์มาจากการประพฤติปฏิบัติของตนเองทั้งกายวาจาใจจากอถิตสู่ปัจจุบันและสู่อนาคตเป็นแก่นหลัก โดยมีปัจจัยกายเป็นองค์รองประกอบ บุคคลใดทำดีย่อมได้ผลลัพธ์ดีบุคคลทำชั่วย่อมได้ผลลัพธ์ชั่ว ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุมงคลหรืออำนาจภายนอกอื่นใดมามีอิทธิพลเหนือการลิขิตชีวิตของมนุษย์ได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ตรงกันกับความเชื่อที่ว่าสัตว์โลกจะเป็นตามพรหมลิขิต วัตถุมงคลหรือสิ่งมีอำนาจภายนอกมากำหนดเป็นหลักการกระทำของบุคคลเป็นองค์รองประกอบ
ความเชื่อชี้นำพฤติกรรม : คนส่วนใหญ่มักประพฤติปฏิบัติและดำเนินชีวิตทั้งส่วนตัวและประกอบวิชาชีพตามความเชื่อที่ตนมีอยู่ ถ้าเชื่อในทางถูกต้อง (สัมมาทิฐิ) ก็จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเชื่อในทางที่ผิด (มิฉาทิฐิ) ก็จะทำในสิ่งที่ผิดพลาดตามด้วย ความเชื่อของบุคคลถูกหลอหลอมจากการอบรมสั่งสอนสิ่งแวดล้อมและการกระทำ (กรรม) ในอดีตที่สู่ผลต่อพฤติกรรมและการปฏิบัติปัจจุบัน ถ้าเราเชื่อว่าวัตถุมงคลสามารถบรรดาลทุกอย่างตามปรารถนาได้เราก็ยอมลงทุนลงแรงแสวงหามาไม่ว่าจะมีราคาแพงหรือยุ่งยากสักปานใดก็ตาม แนวคิดทางพุทธศาสนาเห็นว่า ความเชื่อของบุคคลจะถูกต้องหรือผิดมากน้อยลึกซึ้งเพียงใดขึ้นอยู่กับระดับความรู้และสติปัญญาตามลักษณะบัว 4 เหล่า กล่าวคือ
๑ บุคคลเป็นบัวพ้นน้ำ ก็จะมีระดับสติปัญญาดีรู้ถูกรู้ผิดรู้ดีชั่วรู้กตัญญูโดยตนเอง
๒ บุคคลเป็น บัวปริ่มน้ำ จะมีระดับสติปัญญาปานกลางรู้ถูกรู้ผิดรู้ดีชั่วรู้กตัญญูโดยการฝึกอบรมสั่งสอน
๓ บุคคลเป็นบัวใต้น้ำ จะมีระดับสติปัญญาต่ำลงรู้ถูกรู้ผิดรู้ดีชั่วรู้กตัญญูโดยการฝึกอบรมสั่งสอนซ้ำๆ ทบทวนบ่อยๆ อาจต้องใช้ไม้เรียวบ้าง
๔ บุคคลบัวใต้ดิน จะมีระดับสติปัญญาต่ำสุดไม่ค่อยรู้จักถูกผิด ดีชั่ว หัวดื้อสอนยากเชื่อคนง่ายมักจะเชื่อและประพฤติปฏิบัติในทางที่ผิดหรือทางที่เสื่อมเสียแก่ ตนเองและผู้อื่นอยู่เนืองมักเห็นผิดเป็นชอบเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ใครจะมาอบรมสั่งสอนให้ เห็นถูกเห็นผิดให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมักจะโกรธ และปฏิเสธเพราะจิตหลงผิดติดในอกุศลเป็น อาจินต์จนเป็นนิสัย ไม่นิยมทำงานไม่สู้งาน คิดรวยทางลัดจากการไม่ต้องทำงานหรือด้วยวิธีง่ายๆ อาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนบานศาลกล่าวประทานลาภยศสรรเสริญมาให้
ความเชื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของปัจเจกบุคคลต่อสังคมต่อประเทศชาติและต่อพลโลกที่มีผลโดยตรงความสงบสุขและความทุกข์ร้ายถึงขั้นฆ่าฟันทำลายล้างจนก่อเป็นสงครามโลกล้างโลกก็เป็นได้
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
๑ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน) ๒ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย) ๓ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย) ๔ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) ๕ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ) ๖ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ) ๗ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน) ๘ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา) ๙ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย) ๑๐ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ ตัวอย่าง
๑ อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
๒ อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
๓ อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เขาว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
๔ อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะ อย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
๕ อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
๖ อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
๗ อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
๘ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
๙ อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
๑๐ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้
ดังนั้น ..ถ้าเรายังไม่พ้นจาก ๑๐ อย่างนี้ ก็ควรที่จะทำความรู้สึกเสียใหม่ว่าเรายังไม่ได้เชื่อถือในเหตุผลที่แท้จริง ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักไว้ว่า ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้ยึดถือในลักษณะดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และคิดว่าพวกเราคงจะต้องมีอย่างน้อยก็เรื่องตัวอาจารย์ที่มีผู้เชื่อถือกันนี่แหละสำคัญมาก
เมื่อเช่นนี้ควรจะทำอย่างไร จะให้เชื่ออย่างไร พระพุทธองค์ได้ตรัสว่าต่อเมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่รู้จากคนอื่น รู้โดยตนเองว่าธรรมะอย่างนี้เป็นอกุศล เป็นบาปและ มีโทษ ผู้รู้ติเตียนธรรมเหล่านี้ ถ้าสมาทานหรือปฏิบัติเพื่อเป็นไปอย่างนั้นให้สมบูรณ์แล้วจะเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นแหละท่านทั้งหลายก็ควรละธรรมเหล่านั้นเสีย นี่เมื่อเห็นแล้วด้วยตัวเองว่า นี้มีโทษเป็นบาป เป็นไปเพื่อทุกข์ ก็ละเสีย ให้เชื่ออย่างนี้ แปลว่าได้พิจารณาแล้ว เช่น โลภะ โทสะ โมหะ คืออกุศลมูลทั้ง ๓ มีโทษใช่ไหม เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ให้พิจารณาอย่างง่ายๆ เช่น เรือนจำซึ่งโทษต่างๆ ที่ต้องได้รับเพราะอะไร เพราะทำอกุศลใช่ไหม อย่างนี้ก็จะแลเห็นแล้วว่าเพราะอะไรจึงต้องเข้าไปอยู่ในที่อย่างนั้น ที่เข้าไปอยู่ก็เพราะมูล ๓ อย่างเพราะโลภบ้าง เพราะโกรธบ้าง เพราะหลงรู้เท่าไม่ถึงการณ์บ้างเหล่านี้ อย่างอื่นไม่มีเลย
....มนุษย์จำนวนมาก ถูกภัยคุกคามทุกวันจึงพากันยึดเอาภูเขา แม่น้ำ ลำธาร ป่าไม้ อาราม สุกขเจดีย์ วัตถุมงคล เป็นสรณะ(ที่พึ่ง) สรณะนั้นไม่ปลอดภัย สรณะนั้นไม่อุดม บุคคลอาศัยสรณะนั้นแล้วจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงไม่ได้ ส่วนผู้ใดยึดเอา พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะผู้นั้นเห็นอริสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ คือ เห็นทุกข์เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความหลุดพ้นทุกข์ และมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 อันประเสริฐอันเป็นทางถึงความดับทุกข์ สรณะนี้แหละปลอดภัย สรณะนี้อุดม บุคคลอาศัยสรณะนี้แล้วจะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง....
ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2546 หน้า 232 พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2546 หน้า 13 พระพุทธเจ้าสอนอะไร แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดย ร.ศ.ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และคณะ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2547 หน้า 15-17 คิดอย่างเป็นระบบ และ เทคนิคการแก้ปัญหา ผู้แต่ง ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ สำนักพิมพ์ อริยชน จำกัด หน้า 190-191
ผู้จัดทำขออนุโมทนาบุญให้ผู้ที่สนใจศึกษาธรรม และขออภัยหากมีความผิดพลาดหรือบกพร่องประการ ได้โปรดชี้แนะ
Create Date : 02 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 11 ธันวาคม 2550 18:34:34 น. |
|
3 comments
|
Counter : 485 Pageviews. |
|
|
|
โดย: KyBlueSky วันที่: 6 มิถุนายน 2550 เวลา:8:53:39 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แอบมาอยู่ห้องนี้เอง
ขยันพิมพ์น่าดู เอ...หรือว่าก๊อปมาคะ