|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ความขัดแย้งที่ผิดธรรมชาติ
อิสระ เสรี ในฐานะปัจเจกบางครั้ง ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ บิดเบี้ยว ผิดพลาด เพราะหากบังเอิญไปยืนอยู่ ณ จุดซึ่งข้อมูลและข่าวสารไหลบ่าเข้าหา ไม่ต่างจากน้ำเชี่ยวที่พร้อมจะพัดพาเราไปอย่างไร้ทิศทาง แต่อีกด้านหนึ่งพลังแห่งอิสรภาพซึ่งฝังในส่วนลึก ก็สามารถทำให้เราก้าวพ้นจากความคิดความเห็นเดิม แล้วเหวี่ยงเราสู่สภาวะความจริงแท้ได้เช่นกัน คงไม่มีความจริงไหนมีคุณค่าเท่ากับความจริงที่มองเห็นได้ด้วยตัวของตัวเอง หรือกรอบประสบการณ์อันเต็มไปด้วยโคลนตม พรรคพวก สิ่งแวดล้อมทำให้เราไม่กล้าสลัดแว่นทางความคิดอันเก่าให้พ้นจากตัวเราไปเสียที โดยเฉพาะในท่ามกลางความขัดแย้งของบ้านเมืองเรา ที่นับวันจะกระชับความรุนแรง หรือหลายๆ ท่านมิอาจทราบว่าปลายทางสุดท้ายของมันคือ “สงคราม” เรา-ท่านจึงไม่อาจละเลยเฉยเมยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย หากยังเป็นพลเมืองของประเทศ กระทั่งประชากรโลก เพราะผลกระทบและแรงเหวี่ยงจะย้อนกลับกระหน่ำกลับหาเราอย่างคาดไม่ถึง ในฐานะมนุษยซึ่งสร้าง “อารยธรรม” และ “สังคม” จนได้ชื่อว่าเป็นสัตว์สังคม เราก็มีหน้าที่ที่จะรักษา ดูแลสังคม ไม่ให้มันย้อนกลับไปเป็นดินแดนอนารยะ ที่แก้ปัญหาความขัดกันด้วยความป่าเถื่อนและโหดร้ายเช่นในอดีต โดยสำนึกลึกๆ เรายังอยากมีส่วนขัดเกลา เสริมสร้างสังคมเราให้เป็นอู่อุ่น เปลหวาน อันน่าอยู่ของลูกหลานเราในวันข้างหน้า การแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีแม้ว่าจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่เพียงบรรลุธรรม รู้ภาวะอิสระ พ้นจากทุกข์โดยสิ้น กลับไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว นำความจริงนั้นเผยแผ่ กระทั่งกลายเป็นหลักธรรมให้กับสังคมที่เราท่านเห็นและจับต้องได้ มีเหรียญสองด้านที่น่ามองสำหรับเรื่องนี้ ด้านแรกเรื่องของตัวตนหรือปัจเจก อีกด้าน คือ สิ่งมิไม่ใช่ตัวตน แม้ว่าจะหากมองโดยผิวเผินจะเห็นว่า มันมีอยู่และเป็นไปโดยอิสระต่อกัน แต่หากมองอย่างลึกซึ้ง เรื่องซึ่งยิ่งใหญ่และยากอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นตัวตนและไม่ใช่ตัวตน กลับเป็นแค่เหรียญ ๆ เดียว ที่ซึ่งเป็นองค์รวมแห่งเหตุและปัจจัยต่อกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กวีเพื่อนผมเคยเขียนไว้ว่า ที่สุดของความหวานคือความขม ที่สุดความหวานกลับเป็นขม ซึ่งก็คือยึดมั่นถือมั่นไม่ได้เลย เช่นเดียวกับปัญหาความเห็น หรือปัญหาทิฐิที่กำลังพร่าเลือน หรือถูกทำให้พร่าเลือนด้วยอวิชชาในทุกวันนี้ หากเรายึดและเป็นส่วนหนึ่งให้เกิดพลวัต มันก็จะทำให้เรา สิ้นชีพ สิ้นชาติกันได้เช่นกัน บ้านเมืองเราจำเป็นต้องเปลี่ยนและไม่ใช่การเปลี่ยนแบบปฏิรูป หรือเอานักกฎหมายมานั่งร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งลอก ทั้งตัด ทั้งแปะ ระบายสี โฆษณากันเป็นหนังขายยา หรือคิดกันแทบเป็นแทบตาย แต่ฉีกทิ้งกันเป็นของเล่น กระทำรัฐประหารสลับเลือกตั้งจนนับไม่ถ้วนแล้วเช่นนี้ คุณภาพใหม่ของสังคมมิใช่หรือคือสิ่งที่เราต้องการ จะใหม่อย่างไร มีคุณค่า เป็นอู่อุ่น เปลหวานให้ลูกหลานเราได้ดีเพียงใด เป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันคิดและทำ จุดยืนเราแต่ละคนตอนนี้เป็นภาวะที่เรียกว่าน้ำเชี่ยว มีข่าวสาร ไหลบ่าเข้าหาเราอยู่ไม่ขาด จนบางครั้งยากที่จะเป็นอิสระได้ แต่ลึก ๆ ก็เชื่อว่าพลังที่จะเข้าถึงมรรควิธีมีกันได้ในทุกคน เอาแค่มรรควิธีที่จะหลีกหนีจากความเป็นความตายที่จะเกิดขึ้นในทางข้างหน้าอันใกล้นี้ แค่มองให้ห่างจากตัวตนออกมา ห่างจากขบวนการที่จัดตั้งคุณมา จะเริ่มเห็นเพื่อนร่วมชาติ เห็นประเทศชาติ เห็นมนุษยชาติ เห็นสิ่งยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่มิใช่ตัวตน ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ดำรงอยู่ คุณถูกจัดตั้งหรือเปล่า? โดยธรรมชาติ ตั้งแต่เป็นตัวเป็นตน ปฏิสนธิขึ้นมาก็เรียกว่าจัดตั้งได้ เป็นความขัดแย้งขั้นพื้นฐาน หากแต่เป็นไปตามธรรมชาติ โดยปัจเจกชนดำรงอยู่และเป็นไปในความขัดแย้ง ทั้งความขัดแย้งในตัวตนเองและความขัดแย้งกับสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งไม่ใช่ตัวตน ที่สำคัญคือแต่ละคนเห็นและเข้าใจความขัดแย้งในระดับที่แตกต่างกัน จึงจัดการความขัดแย้งได้ไม่เหมือนกัน หากควบคุมหรือจัดการความขัดแย้งไม่ได้คน ๆ นั้น ก็คือคนบ้า ในทางสังคม หากสังคมแก้ไขความขัดแย้งไม่ได้สังคมนั้นก็พัง สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน แท้ที่จริงเราหลีกเลี่ยงการจัดตั้งชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ได้เลย แต่เรายอมรับและเต็มใจเดินไปกับมันหรือยัง การเมืองการปกครองในระบอบเดิม ซึ่งก็คือเผด็จการรัฐสภา (ไม่ใช่ระบอบทักษิณอย่างที่นักเคลื่อนไหวพยายามสร้างเป้าให้เราเห็น) ทั้งยังมีองค์กร สถาบัน ต่างๆ ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่ง ความเห็นที่มีต่อการเมืองไทยในภาวะที่เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงเช่นนี้ หากไม่ทบทวน โดยใช้ความรู้ หลักวิชา ที่ผู้รู้ค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรมหรือหลักวิทยาศาสตร์ มาเป็นเงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดไม่ว่าจะเป็นกรณีตุลา16 ตุลา19 และพฤษภา35 จะต้องซ้ำรอยเราอีกให้จนได้ ธรรมมาธิปไตยเป็นอุดมคติ “ระบอบประชาธิปไตย” เป็นแนวโน้มการเมืองแห่งยุคสมัย ซึ่งบ้านเรายังไม่มีและไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ เลยด้วยซ้ำ เมื่อการเมืองล้าหลังแต่เศรษฐกิจก้าวหน้า หรือการเมืองเผด็จการแต่ วิถีเศรษฐกิจทุนนิยมที่เป็นกงล้อธรรมชาติสังคมเคลื่อนผ่าน ไม่ว่าสังคมไหน ยุคใด ย่อมเกิดการแรงเสียดทานและเกิดการกระชับการผูกขาด ไม่เพียงเฉพาะทุนชาติ ยังมีทุนข้ามชาติที่พร้อมจะบีบเราให้เข้าสู่ลู่ทางที่เสียประโยชน์ มวลชนซึ่งรวมพลังขับไล่ทักษิณหรือสร้างเป้า “ระบอบทักษิณ” ขึ้นมาจึงได้ชื่อว่าเป็นพลังแห่งเจตนารมณ์ประชาธิปไตย แต่เป้าหมายช่างลางเลือนหรือเกิน ตุ๊กตาแบบทักษิณมีอีกมากมายในประเทศเรานี้ และยิ่งมากมายในโลกใบนี้ เบื้องหลังการเมืองแบบทักษิณ ชนชั้นระดับนำอีกหลายพวกเหล่า ก็เคยได้หรือใช้ประโยชน์ร่วมกันด้วยทั้งนั้น ด้วยเหตุเพียงแค่ต้องการมวลชนสร้างพลังกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซ้ำยังต้องเผชิญหน้ากับหุบเหวหายนะ หากความขัดแย้งนั้นยกระดับเป็นสงครามกลางเมือง ที่น่าสงสัยยิ่งกว่าก็คือ ข้างหลังภาพหลังล้มสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” แล้ว มันคือ ระบอบอะไร การเมืองแบบภาคประชาชน มันคืออะไรกันแน่?
วรานันต์
Create Date : 25 มิถุนายน 2551 |
|
1 comments |
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 13:22:36 น. |
Counter : 792 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
ที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือ กลัว "สงครามกลางเมือง" นี่แหละค่ะ
แวะมาทักทาย พร้อมของฝากค่ะ