ประสบการณ์นั่งเครื่องคนเดียวครั้งแรก จาก BKK - UK
หลังจากที่รอวีซ่ามาร่วม 2 เดือน ...ก็ได้วีซ่าสมใจนึกบางลำพู มานอนกอด และครั้งนี้ก็เป็นวีซ่าแต่งงานแล้วจ้า นั่นหมายความว่า เราสามารถทำงานได้แล้ว เย้ๆๆ ...มีเวลาสองปีสำหรับวีซ่าประเภทนี้ ได้ปุ๊บ บินป๊บ.. อะไรจะปุบปับขนาดนี้ ทำเหมือนใกล้กันอย่างกับกรุงเทพ-พัทยาซะงั้น เอาวะ...เก็บของแต่ว่า คราวนี้คงเอาไปไม่มากเพราะเสื้อผ้ามีบ้างแล้วทางนู้น คงหอบไปเฉพาะของใช้ส่วนตัวบางชิ้นเช่นหนังสือและพวกเครื่องเขียนที่ชอบ แพ็คไปแพ็คมาทำไมมันหนักอึ้งงี้หว่า????? รวมเบ็ดเสร็จสามเป๋าเฮ้อ....กรรม ต้องแบกคนเดียวซะด้วย นัดรถแท๊กซี่ให้มารับตอนเก้าโมงครึ่ง ก็เดินทางออกจากบ้านจากบางแสนถึงสนามบินก็ประมาณสิบโมงกว่าๆ เครื่องขึ้น 12.50 น. พอไปถึงตอนเช็คอิน ปรากฏว่า...กระเป๋าน้ำหนักเกินครับท่านผู้ชม ซวยล่ะสิ..ทำงัยดีวะ???? โทรหาน้องชายให้มาช่วยเอาของไปใช้ดีกว่า ...โทรไปเท่าไหร่ก็ไม่ติด.. เอางี้ดีกว่า หาทางถ่ายของจากกระเป๋าเดินทางที่ต้องโหลดลงกระเป๋าลาก เดชะบุญมีเป๋าถือสำรองมาเผื่อหนึ่งใบ ถ่ายไปถ่ายมาโอเคยัดเต็มพอดี ต้องใช้คำว่ายัดเพราะมันจัดได้อย่างแน่นเอี๊ยด สรุปว่าที่ต้องนำขึ้นเครื่องมีสามกระเป๋า 1. ใบที่ใส่สารพัดอุปกรณ์อิเล็คทริก 2. ใบที่ใส่ของใช้ส่วนตัว 3.กระเป๋าโน๊ตบุค งานนี้ลากกันหลังแอ่น กล้ามขึ้นเชียวล่ะ ผ่านตม.เข้าไปถึงด่านต้องเช็คของเหลวที่พกติดตัวไป เราก็คิดว่าไม่น่าจะมีไรแล้วเพราะโหลดใต้เครื่องหมด แต่ดันนึกขึ้นได้ว่าในกระเป๋าลากมีเครื่องสำอางค์อยู่ เลยให้เจ้าหน้าที่เช็คได้เพื่อความสบายใจ และแล้วก็เจอหลากหลายรายการที่เป็นของเหลว สารพัดครีมแต่โชคดีที่ SKII ขวดใหญ่เราใส่ไว้ในเป๋าใต้เครื่องแล้วตั้งแต่ออกจากบ้าน ถ้าลืมไว้ในเป๋านี้ต้องร้องไห้แน่ๆ เพราะขวดใหญ่สามพันกว่าบาทเพิ่งถอยมาได้อาทิตย์เดียว สรุปแล้ว ต้องทิ้งไป 1 ขวดเป็นครีมกันแดด เพราะขนาดเกินที่เค้ากำหนด แต่ไม่เป็นไรดีกว่าเสียตังค์ค่าน้ำหนักเกินวะ ทีนี้...ผ่านทุกอย่างไปได้อย่างงดงาม คงไม่ต้องเจออะไรอีกแล้วนะเรา มองเลขที่นั่งในตั๋ว 46K ตอนจองที่ปรินท์มาจากอีเมล์ แต่พอเจ้าหน้าที่ปริ้นท์ให้ตอนเช็คอินดันเป็น 62K ก็งงเหมือนกัน เอาน่ะ..ขอให้มีที่นั่งก็พอวะ เราเลือกเดินทางโดยสายการบินอีวีเอ เพราะชอบแอร์เป็นการส่วนตัว น่าตาหน้ารักจุ๋มจิ๋ม ไหนๆ ก็ต้องเดินทางด้วยกันกว่าสิบชั่วโมง เห็นแล้วมันก็ยังสดชื่นหน่อย จิงมั้ย??? ผู้โดยสารที่นั่งข้างเราเป็นสองคนปั๋วเมียจากเมืองจีน ยายคนเมียสวมหน้ากากป้องกันไข้หวัดหมูมาตั้งแต่ตอนขึ้นเครื่อง ตลอดทางแกก็หลับมาตลอดเหมือนกัน ขอเม้าท์หน่อย..เวลาชีหลับหัวแกก็ผงกๆ มาทางเรานี่อ่ะ แล้วเหม็นมากกกถึงมากที่สุด เราก็ทำไรไม่ได้มาก ได้แต่เบนหน้าเข้าหน้าต่าง ชีเองก็ให้เราปิดหน้าต่างอีกซะงั้น... เนื่องจากเรานั่งในสุด จะลุกเข้าลุกออกก็ลำบากก็เลยพยายามไม่ดื่มน้ำมาก จะได้ไม่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ แต่ตลอดทริปนี้รู้สึกการเดินทางมันไกล๊ ไกลนานจังเลย.... และแล้วก็มาถึงสนามบิน Heathrow ตอนทุ่มนึง ณ เวลาที่อังกฤษ แต่เหมือนสักสี่โมงเย็นเมืองไทย เพราะสว่างมากกก ระหว่างที่ต้องไปเอากระเป๋าก็ต้องไปผ่านตม.เพื่อแสตมป์เข้าเมืองก่อน คนเยอะมากขอบอก พอเสร็จจากตม. เจ้าหน้าที่ก็ให้ไปที่ Health control Room เพื่อแสดงเอกสารการเช็คปอดที่ได้มาจาก IOM เมืองไทย (ตรงนี้ต้องพกติดตัว อย่าโหลดเข้าใต้เครื่องนะคะ) ทุกอย่างผ่านไปอย่างฉลุย... ใช้เวลาไม่นาน หลังจากนั้นก็ต้องไปเอากระเป๋าที่ลำเลียงบนสายพาน (เก่าๆ) มีพี่ผู้หญิงไทยใจดีช่วยเรายกกระเป๋าวางบนรถเข็นให้ ตัวเล็กกว่าเราแต่แข็งแรงชะมัด ลืมถามชื่อเลย ...เหอๆๆ ได้กระเป๋าก็รีบแจ้นหาทางออกเพื่อไปเจอกับคุณสามีสุดที่รัก ตื่นเต้นชะมัด.. "Honey!!!" นั่นเสียงคุ้นๆ มองหาต้นทางของเสียง พบผู้ชายตัวใหญ่ยืนยิ้มอย่างมั่นใจอยู่ทางด้านขวาระหว่างทางเดิน สามีเรามากะแด๊ด ดีใจจัง...มีดอกไม้มาให้ด้วย เลยหอมไปคนละฟอด สรุปว่ากว่าจะออกจากสนามบินก็สองทุ่มครึ่งแต่สว่างจ้าอยู่เลย ง่วงนอนจัง ขับรถประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงบ้าน แต่ไม่กินข้าวอ่ะ เพราะเพิ่งกินจากบนเครื่องมาแล้ว พอเปลี่ยนชุดปุ๊บ หัวถึงหมอน ก็หลับเป็นตายอ่ะ เพราะตลอดทริปไม่ได้นอนเลยคุณผู้ชมเอ้ย....
Free TextEditor
Create Date : 07 พฤษภาคม 2552 |
|
6 comments |
Last Update : 29 สิงหาคม 2552 22:13:10 น. |
Counter : 767 Pageviews. |
|
|
|
ชอบEVA เหมือนกันเลยค่ะ เพราะหลังเบาะมันมีทีวีไว้ดูค่ะ
อ่านแล้วนึกถึงวันที่เดินทางคนเดียวหน่ะค่ะ แต่บินครั้งแรกใช้วีซ่าท่องเที่ยว
ครั้งแรกที่บินไปต่างประเทศคนเดียว แต่พักหลังมีสามีบินด้วย
และ
ตอนนี้มีสาวน้อยยิ้มหวานบินด้วยอีกคนค้า