<<
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
17 กรกฏาคม 2549
 

พาไปฟัง เกร็ดพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ โดย อ. เผ่าทอง

อาทิตย์ที่แล้ว เพื่อนได้เมล์มาหาบอกว่าให้ไปฟัง อ. เผ่าทองบรรยายเกี่ยวกับเกร็ดพระราชพิธีครองสิริราชสมบัติ 60 ปี กันที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในวันเสาร์ที่ 15 กค. กัน ห้าโมงเย็นเท่านั้นแหละ ตื่นเต้นเลย ไม่นึกว่าจะได้มีโอกาสเข้าไปนั่งฟัง เห็นว่าต้องเป็นลูกค้า ไทยธนาคารถึงจะได้บัตรที่นั่ง บัตรที่เพื่อนนำมาให้ก็หมายเลขที่นั่ง Z35



เพื่อนขับรถมารับที่บ้านตอนบ่ายสามครึ่ง กลัวรถเยอะคนเยอะ เลยเห่อ รีบไปซะไก่โห่ ไปถึงรอบก่อนหน้านี้ยังไม่จบเลยนิ ไปลงทะเบียนเพื่อเอาพระราชดำรัสก่อน



เจ้าหน้าที่ไทยธนาคารก็บริการดี เป็นกันเอง ที่โต๊ะลงทะเบียน



จากนั้นก็เดินเข้าไปในหอประชุมใหญ่ มีป้ายชื่องาน "ภูมิใจไทย" ประดับซุ้มดอกไม้



มีมินินิทรรศการเกี่ยวกับงานพระราชพิธีที่ผ่านมา แบบย่อๆให้ยืนอ่าน



จุดกึ่งกลางมีรูปพระบรมฉายาลักษณ์คู่ขณะเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร ซึ่งมีคนมาถ่ายรูปเป็นระยะๆ



มีจอทีวีให้ดูภาพงานพระราชพิธีที่ผ่านมา



สี่โมงเศษๆรอบก่อนหน้านี้เลิก ก็ต้องรอจนกระทั่ง 16:45 ก็เปิดให้รอบใหม่เข้าไป รีบไปหาที่นั่งทันที อยู่ไกลจากเวทีไปหน่อยเนี่ย Z35 สงสัยเพื่อนผมคงเป็นลูกค้ารายเล็กเลยได้ที่ซะไกลเชียว



การบรรยายเริ่มเวลา 17:20 น. ซึ่งเนื้อหาการบรรยายก็ขอเอาเท่าที่จำได้ ผสมกับข้อมูลที่ได้จากหนังสือพิมพ์โพสท์ทูเดย์ที่ได้เคยตีพิมพ์ไว้ รวมถึง หนังสือแพรวเข้าไปอีก น่าจะได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น



อ. เผ่าทอง เดินออกมาจากข้างเวที กราบถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง



อ.เผ่าทอง ออกมากล่าวถึงชื่องานฉลองต่างๆว่า งานฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปี เรียกว่า รัชดาภิเษกสมโภช ครองราชย์ครบ 50 ปี เรียกว่า กาญจนาภิเษกสมโภช หากครองสิริราชสมบัติครบ 75 ปี จะเรียกว่าฉลองพระราชพิธีพัชราภิเษก แต่งานฉลอง 60 ปีครั้งนี้ พระเจ้าอยู่หัวยังไม่ทรงนับเป็นไดมอนด์จูบิลี แต่เมื่อฉลองครบ 100 ปี ก็จะเป็นพระราชพิธีที่สำคัญมากที่สุด เรียกว่า อมรินทร์ภิเษกสมโภช



งานวันที่ 8 มิ.ย.

พระราชพิธีพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ความหมายของพระราชพิธีนี้ก็คือการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่บรรพบุรุษนั่นเอง ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญมากในประเทศไทย เพราะคนไทยเราก่อนที่จะฉลอง เริ่มความสนุกสนานอะไรก็ตาม เราต้องนึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษเสียก่อนเพื่อความเป็นมงคล

พระราชพิธีนี้มีขึ้นที่พระนั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระที่นั่งองค์นี้มีโคมไฟระย้า หรือ Chandelier จำนวน 6 คู่ ซึ่งโคมไฟแก้วทั้ง 6 คู่นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสั่งมาเพื่อติดประดับที่วังสวนสุนันทา แต่เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สวรรคต

“รัชกาลที่ 5 ทรงอาลัย จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้นำเอาโคมไฟนี้มาประกอบเข้ากับหลอดกระแสไฟฟ้าติดที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเพื่อใช้กับกระแสไฟฟ้า นับว่าเป็นโคมไฟคู่แรกที่ได้ใช้กับกระแสไฟฟ้า และพระที่นั่งนี้ก็เป็นอาคารแรกในประเทศไทย และเป็นอาคารแรกของพระบรมมหาราชวังที่มีกระแสไฟฟ้าใช้”

ในที่พระที่นั่งองค์นี้มีนพปฎลมหาเศวตฉัตร 9 ชั้น มีพระที่นั่งบุษบกมาลา สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ข้างบนประดิษฐานพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่ ปางอุ้มบาตรองค์เล็ก พระพุทธรูปปางนาคปรก ปางถวายเนตร ปางสมาธิอยู่ด้านหลัง เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร หรือพระพุทธรูปประจำวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 และพระมเหสี



การเรียงลำดับพระบรมโกศพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ก็มีเกร็ดอยู่ว่า พระบรมโกศของรัชกาล 1 รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 อยู่ด้านกลาง มีแท่นรองวางพระบรมโกศของรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 8 อยู่แถวหน้า พระมเหสีเทวีอยู่ 2 แถวหลังของพระบรมโกศทุกรัชกาล



เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงจุดธูปเทียนนมัสการพระพุทธรูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงจุดธูปเทียนจากซ้ายไปขวา และสมเด็จพระบรมราชินีจะทรงจุดจากขวามาซ้าย นี่เป็นโบราณราชประเพณี

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ทรงสายสะพายสีชมพูนั้นคือเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลจุลจอมเกล้า สายสะพายจะเป็นสีชมพู จะทรงเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้เมื่อเป็นพระราชพิธีส่วนพระองค์ภายในที่เกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์ หรือสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า



งานวันที่ 9 มิ.ย.

ในพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม ที่พระที่นั่งอนันตมหาสมาคม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน มีพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราช ซึ่งจะมีการนำพระพุทธรูปแทนองค์บุรพมหากษัตริย์เข้าประกอบพระราชพิธี โดยมีพระพุทธรูปแทนพระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยทุกพระองค์ พระพุทธรูปแทนพระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยาทั้ง 34 พระองค์ พระพุทธรูปแทนพระเจ้ากรุงธนบุรี และพระพุทธรูปแทนรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 ในแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งหล่อจากแร่ทองแดงที่ขุดได้ใน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่3โปรดเกล้าฯให้หล่อขึ้น



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองพระองค์ทรงเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรี และที่สำคัญคือเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ จะมีการเชิญพระกลดที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีการลดหลั่นชั้นยศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงใช้พระกลดสีเหลือง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงใช้พระกลดสีแดง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงใช้พระกลดสีม่วง มีระบาย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ก็ทรงใช้ร่มหรือฉัตรธรรมดา



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปและเทียนที่หุ้มด้วยแผ่นเงินแผ่นทอง อย่างละเล่ม แล้วทรงปักธูปที่พานเครื่องเซ่นทุกพาน สำหรับบทบวงสรวงบุรพมหากษัตริย์นั้น ราชครูวามเทพมุนีเป็นผู้อ่าน ซึ่งบทบวงสรวงนี้ อาจารย์วรพิญ สดประเสริฐ กับอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต เป็นผู้ประพันธ์ มีพระนามของพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลและทุกพระองค์



ภาพนี้ใครเห็นก็ต้องอมยิ้ม



คลื่นมหาชนสีเหลือง



งานวันที่ 10 มิ.ย.

พระราชพิธีในวันที่ 10 มิถุนายน คือพระราชพิธีเวียนเทียนสมโภช และพิธีการสถาปนาสมณศักดิ์พระสงฆ์ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์



พระมหาพิชัยมงกุฎ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นทองคำลงยาประดับอัญมณี แต่สมัยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ซื้อเพชรจากอินเดียน้ำหนัก 40 กะรัตขึ้นมาประดิษฐานไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ มีความหมายว่าเป็นของหนัก เป็นภาระของพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่าในการปกครองประเทศต้องแบกรับทั้งทุกข์ทั้งโศก โรคภัยของประชาชนทั้งประเทศด้วย ด้วยสิ่งนี้พระมหาพิชัยมงกุฎจึงมีน้ำหนัก 7.2 กิโลกรัม

ในครั้งรัชกาลที่ 1 เวลาที่ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎ เสด็จฯ เทียบพระนครทางชลมารคคือทางเรือให้ประชาชนชมพระบารมี บางช่วงท่านโปรดให้เอาเชือกผูกห้อยเอาไว้กับหลังคาด้านในของเรือพระที่นั่ง เวลาที่เสด็จฯ ผ่านประชาชนจึงต้องเหยียดพระองค์ขึ้นให้พระเศียรไปเสมอกับมหามงกุฎ



ลำดับที่สองพระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม เพราะว่ามีดหรือดาบเป็นอาวุธที่มีคมด้านเดียว ด้านหนึ่งเป็นสัน ด้านหนึ่งมีคม ถ้าใครเอาด้านที่เป็นสันฟันก็ไม่ตาย ถ้าเอาด้านคมฟันก็ตาย แต่พระแสงขรรค์นั้นมีคม 2 ด้าน พลิกด้านบนและด้านล่าง ไม่มีบน ไม่มีล่าง ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา เสมอกันหมด



ต่อไปก็คือ พระวาลวีชนีกับพระแส้จามรี ใช้ขจัดปัดเป่าให้เกิดความร่มเย็นกับประชาชนราษฎร



ธารพระกรคือไม้เท้าทำจากไม้ชัยพฤกษ์ใช้สำหรับพยุงพระองค์พระมหากษัตริย์ไปเยี่ยมราษฎร



ลำดับสุดท้ายคือฉลองพระบาทเชิงงอน ใช้งอนพระบาทเพื่อไม่ให้พระบาทสัมผัสแผ่นดิน เนื่องจากสมมติว่าเป็นสมมติเทพเพราะหากพระบาทสัมผัสกับแผ่นดินก็จะเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง



พระชัยวัฒน์ประจำพระองค์ ซึ่งจะหล่อใหม่ทุกครั้งที่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ทำพิธีบรมราชาภิเษก ในราชวงศ์จักรี มีพระชัยวัฒน์ 8 องค์ ใน 9 รัชกาล ทั้งนี้เพราะว่า รัชกาลที่ 8 ยังไม่ทันได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็เสด็จสรรคต



เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงวันนี้ ทุกพระองค์เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์โบราณมงคลนพรัตนราชวัชวราภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลแรกของไทยประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่4

“เกร็ดความรู้คือในสมัยพระเจ้านะโปเลียน ที่ 3 ของฝรั่งเศสทรงส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น 1 สูงสุดของฝรั่งเศสมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แต่รัชกาลที่ 4 ทรงตรัสว่าเราไม่มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตอบแทนฝรั่งเศสเลยจะทำอย่างไรดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ขึ้น โดยใช้สายสะพายเป็นสีเหลือง แถบสองข้างเป็นสีเขียว และมีดารานพรัตน์ประดับด้วยอัญมณีพลอย 9 ประการ ส่งไปถวายพระเจ้านะโปเลียนที่3

พระเจ้านะโปเลียนที่ 3 จึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ต่างชาติพระองค์แรกที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ และประเทศไทยก็เป็นประเทศแรกของเอเชียที่มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์”



ช่วงการทำพิธีบายศรีนั้น ผู้ที่อยู่ในพระราชพิธีต้องเวียนเทียน 3 ครั้ง และใช้มือขวาปัดควันออก โบกควันเข้าไปในพระมหาเศวตฉัตร เมื่อครบ 3 รอบเทียน ก็จะกลับมาที่พราหมณ์ราชครู จากนั้นราชครูจะนำไปปัก พานที่ปักเทียนบรรจุข้าวสารไม่บรรจุทราย กระถางธูปในวังจะบรรจุข้าวสารเพราะถือว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ไม่ใส่ทรายเพราะถือว่ามีคนเหยียบย่ำ



จากนั้นพราหมณ์ราชครูจะดับเทียนด้วยวิธีใช้ใบพลู 9 ใบ 1 เรียงแล้วดับเทียนให้สนิท แล้วใช้ใบพลูโบกควัน 3 ครั้ง ให้เข้าสู่พระมหาเศวตฉัตร ดับแล้วใช้แป้งกระแจะเจิมลงตรงกลางใบพลู แล้วพราหมณ์ราชครูเชิญแป้งบนใบพลู แล้วเชิญแป้งไปถวายเจิมที่โคนของพระมหาเศวตฉัตร ซึ่งมีผ้าสีชมพูผูกอยู่ที่โคน แถบผ้าสีชมพูนี้จะมีการถวายทุกปีในวันฉัตรมงคล ใช้ผูกของเป็นสิริมงคลสูงสุดเป็นการถวายพระพร สมโภชสิริราชสมบัติเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ (ส่วนชาวบ้านอย่างเราก็ใช้ผ้าแดงผูกกัน ไม่ว่าต้นไทร ต้นตะเคียน ต้นโป๊ยเซียนเมื่อออกดอก 32 36 ดอก)



พราหมณ์ราชครูจะเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทูลเกล้าฯ ถวายน้ำพระมหาสังข์ น้ำเทพมนต์ ถวายใบสมิท การถวายน้ำพระมหาสังข์ ถ้ามีอาวุโสสูงกว่าก็ให้รดที่ศีรษะคนมีอาวุโสต่ำกว่า แต่เมื่อพระราชครูรดพระเจ้าอยู่หัว ก็จะถวายที่พระหัตถ์ เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงรับแล้ว ก็จะทรงแตะที่เส้นพระเจ้า ที่พระเศียร จากนั้นถวายใบมะตูมมีลักษณะเป็น 3 แฉก เป็นสัญลักษณ์แทนตรีศูล ซึ่งเป็นอาวุธของพระอิศวร ในหลวงทรงเหน็บที่หูขวา พราหมณ์ถวายบังคม 3 คาบ จากนั้นก็ไปถวายบังคมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อที่จะไปถวายน้ำพระมหาสังข์ที่พระหัตถ์เช่นเดียวกัน



จากนั้นพระราชครูไปเชิญใบสมิทมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงโปรดเกล้าฯ ให้พระราชครูถวายพระพรเป็นภาษาสันสกฤต ในหลวงทรงขอให้ให้พรเบาๆจากนั้นทรงรับใบสมิท

ใบสมิทแรกคือใบมะม่วงจำนวน 25 ใบ ทรงรับแล้วปัดพระองค์ แต่ถ้าเป็นโบราณต้องใช้คำว่าฟาดพระองค์ เอาสิ่งที่ไม่ดีภยันตราย 25 ประการ แทนที่ด้วยใบมะม่วง 25 ใบออกไปจากพระองค์ จากนั้นทรงรับใบสมิทลำดับที่ 2 เป็นใบทอง 32 ใบ แทนอุปัทวันตราย อุบัติเหตุทั้ง 32 อย่าง ฟาดพระองค์ จากนั้นทรงรับใบสมิทลำดับ 3 คือใบตะขบ 96 ใบ แทนโรคอันตราย 96 โรค ในโบราณมีโรคอันตราย 96 โรค จากนั้นราชครูจะนำเอาใบสมิทไปเผาทิ้งที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวจะแคล้วคลาดจากภยันตราย โรคันตราย จากนั้นก็ทรงพระสุหร่ายและเสด็จฯ กลับ



งานวันที่ 12 มิ.ย.

สำหรับพระราชพิธีในวันที่ 12 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงรับพระประมุขทั่วโลกที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ในตอนกลางวัน



ในหลวงทรงยื่นพระหัตถ์ให้พระราชอาคันตุกะก่อน เพราะทรงมีอาวุโสสูงสุดกว่าพระประมุขทั่วโลกเป็นธรรมเนียมว่าผู้น้อยจะไม่ยื่นมือไปให้ผู้อาวุโสสัมผัส

เมื่อพระประมุขทุกพระองค์เข้าประจำที่ที่พระเก้าอี้ จะทราบว่าองค์ไหนนั่งพระเก้าอี้ไหน ให้ดูที่พระเขนย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเขนยมีครุฑแดงแต่ละราชวงศ์จะมีตราประจำอยู่



นายกฯ ถือเป็นผู้มียศต่ำสุดในสถานที่แห่งนั้น จึงกราบบังคมทูลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้พระประมุขชาติอื่นเข้าใจด้วย



เมื่อนายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลจบแล้วเพลงสรรเสริญพระบารมีก็บรรเลงขึ้น แต่มีพระประมุขหลายชาติมิได้ทรงทราบว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงประจำของในหลวงจึงทรงผุดลุกผุดนั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรกไม่ได้ทรงยืนแต่เมื่อพระประมุขทั้งหลายทรงยืนพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงยืนด้วย



ในหลวงมีพระราชดำรัสตอบเป็นภาษาไทย แต่หากพระประมุขอยู่กับพระประมุข ก็จะมีพระราชดำรัสเป็นภาษาของชาตินั้นๆ และจะมีคำแปลเป็นตัวหนังสือถวายก่อนหน้าหรือภายหลัง จบแล้วดนตรีบรรเลงเพลงมหาชัย อันนี้เป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะมีรับสั่งว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงประจำพระองค์ ถ้ามาเปิดตอนจบแล้ว ก็แปลว่าพระประมุขทุกชาติต้องมาถวายความเคารพพระองค์ ซึ่งไม่ถูกต้อง เนื่องจากพระประมุขทุกชาติมีศักดิ์เสมอกันหมด ด้วยเหตุนี้จึงโปรดให้ใช้เพลงมหาชัย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์



ในช่วงเย็นมีการเชิญเสด็จพระราชอาคันตุกะไปยังราชนาวิกสภาเพื่อทอดพระเนตรขบวนเรือพระราชพิธี ซึ่งครั้งนี้เป็นกระบวนใหญ่ครบ แบ่งเป็น 5 แถว 52 ลำ ฝีพาย 2000 กว่าคน (ถ้าเป็นกระบวนเล็กจะมี 3 แถว) เรือพระราชพิธีนั้น ในสมัยอยุธยามีเรือในขบวนมากกว่า 200 ลำ แต่โดนทำลายจนหมดเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้ต่อขึ้นมาใหม่เป็นจำนวน 100 กว่าลำ กาลเวลาผ่านไปบางลำชำรุดก็มีการซ่อมแซม สร้างใหม่ จนเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดสถานีรถไฟบางกอกน้อย และก็ได้ทำลายอู่จอดเรือพระราชพิธี ทำให้เรือ 100 กว่าลำ เหลือรอดมาได้ 10 กว่าลำ ในสมัยรัชกาลปัจจบันได้มีการสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาเรื่อยๆจนมี 52 ลำ ณ วันนี้



เกร็ดเรือแต่ละลำ อ. เผ่าทองได้บรรยายไปพร้อมการเชิดรูปหัวเรือต่างๆ แบบเชิดหนังใหญ่



งานวันที่ 13 มิ.ย.

พระราชพิธีจัดเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแก่พระประมุขทั่วโลกที่พระที่นั่งสถิตยมโหฬาร พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงรับพระราชอาคันตุกะที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้ ในท้องพระโรงกลางประดิษฐานพปฎลมหาเศวตฉัตรพระที่นั่งพุฒตาลกาญจนสิงหาสน์อยู่ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร9ชั้น

พระมหาเศวตฉัตร 9 ชั้นนี้ มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ของไทยเป็นใหญ่เหนือทิศทั้ง 9 ความจริงแล้วทิศมี 32 ทิศ แต่ทิศที่สำคัญมี 10 ทิศ คือทิศหลัก 4 ทิศ คือ เหนือ ใต้ ออก ตก ทิศรอง 4 ทิศ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ ฯลฯ ทิศที่ 9 คือทิศเบื้องล่างและทิศสุดท้ายคือทิศเบื้องบน

ทิศเบื้องบนนั้นถวายเป็นสถิตแก่เทพยดาฟ้าดินทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้เทพยดาฟ้าดินจึงปกปักรักษาพระมหาเศวตฉัตรของไทยให้รอดมาเป็นเอกราชจนถึงทุกวันนี้ ส่วนประเทศที่มีกษัตริย์ชนะทั้งสิบทิศ เลยไม่มีเทวดารักษาเพราะเทวดาก็ยังถูกพิชิต ทำให้ประเทศนี้สูญเสียราชบัลลังก์ไป

นอกจากนี้ มี Chandelier ขนาดใหญ่ในท้องพระโรงกลาง Chandelier ช่อนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นโคมไฟระย้าที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก เป็นอันเดียวที่อยู่ในทวีปเอเชีย อีก 9 อันอยู่ในยุโรปและตะวันออกกลาง

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท จึงได้นำมาติดตั้งอยู่ที่พระที่นั่งจักรีตลอดมาเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ประเทศชาติตลอดมา



เมื่อเสด็จฯ ยังพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร จะมีการจำลองบุษบกมาลาจากพระที่นั่งมาประดิษฐานโดยฝีมือช่างศิลปาชีพ เป็นทองคำทั้งองค์ ประดับเพชร ฉัตร 7 ชั้นเป็นเพชร และมีหัตถกรรมไทยอีกหลายอย่างที่แสดงถึงช่างฝีมือชั้นสูงของไทย ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฝ่ายในร้อยขึ้น ใช้ดอกพุทธชาดในวังโบราณ ดอกเล็กๆ ละเอียด ฝอย และกลิ่นหอมมากมาร้อยเป็นรูปกระแต ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฝ่ายในร้อยขึ้น สำหรับพระราชทานพระราชอาคันตุกะในวันเลี้ยงในพระที่นั่งจักรีด้วย เรี่ยวแรงสำคัญคือ มรว. ยงสวาสดิ์ กฤดากร มล. ปิยาภัสร์ และ อาจารย์สมิทธิ

จานโชว์เพลตของพระประมุขเป็นทองคำ ของทั่วไปเป็นถมเงิน จานมาจากบริษัท แซทส์ จากฝรั่งเศส แก้วเหล้ายี่ห้อโมเซย์จากสาธารณรัฐเช็ก

สำหรับปกเมนูแกะสลักจากไม้โมกมันกรอบเป็นทองคำ มีพระปรมาภิไธย ภปร. ของคนอื่นเป็นทองคำลงยา แต่ของพระประมุขเป็นเพชร ท่านผู้หญิงสุพรเพ็ญ หลวงเทพ เป็นผู้ถวายงานในครั้งนี้ เราลืมไปว่าฝรั่งเป็นธรรมเนียมเก็บสะสมเมนู ท่านผู้หญิงสุพรเพ็ญเลยทำเต็มที่ พระประมุขทุกพระองค์จึงทรงนำกลับไปหมด



หลังจากที่เสวยพระกระยาหาร เมื่อพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสจบแล้วไม่ใช้เพลงสรรเสริญพระบารมีแต่ใช้เพลงมหาชัย เพราะเห็นว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ศักดิ์ศรีเสมอกัน ทุกพระองค์ทรงยืนถวายบังคมพระเจ้าอยู่หัว ทรงชนแก้ว สุลต่านบรูไนเป็นมุสลิม แชมเปญจะไม่มีแอลกอฮอล์ และของพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่มีแอลกอฮอล์ จากนั้นทุกพระองค์ก็ประทับพระเก้าอี้



สุลต่านบรูไนมีพระราชดำรัสตอบ โดยตามประเพณีจะต้องมีการสวดบทคัมภีร์อัลกุรอาน เพราะทรงเป็นมุสลิม หลังจากทรงอ่านจบก็จะมีพระราชดำรัสเป็นภาษาอังกฤษ (ซึ่งพระองค์ได้ร่างพระราชดำรัวด้วยพระองค์เอง) หลังจากนั้นก็เปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี เพราะสุลต่านบรูไนมีพระราชดำรัสแทนพระมหากษัตริย์ทุกประเทศ ก็จบเหตุการณ์สำคัญทั้งหมด



จากนั้นก็มีการฉายสไลด์ภาพงานพระราชพิธีทั้งหมดอีกครั้ง เมื่อจบก็มีเพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น ทุกคนพร้อมกันยืนและร้องเพลงด้วยความภาคภูมิใจที่ได้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของพระองค์



งานเลิกก็ประมาณ 19:35 น. รวมเวลา บรรยาย 2:15 นาที เห็นใจอ. เผ่าทองมากๆ เพราะวันนี้ท่านต้องพูดถึงสามรอบ แล้วเราก็ออกจากศูนย์วัฒนธรรมไปมายังแยกเหม่งจ๋าย เพื่อมาหาอะไรทาน ท้องร้องแล้วนี่ ได้ทาน ข้าวหน้าหมูย่างและก๋วยจั๊บนายเซ๊ง



เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ได้มีส่วนร่วมเนื่องในวโรกาสอันเป็นมงคลในชีวิตพสกนิกรน้อยๆคนนี้ หลับอย่างอิ่มเอมใจ


Create Date : 17 กรกฎาคม 2549
Last Update : 14 สิงหาคม 2549 23:33:05 น. 3 comments
Counter : 4573 Pageviews.  
 
 
 
 
เป็นลูกค้าไทยธนาคารเหมือนกัน ทำไมพลาดงานนี้ไปได้นะ

ขอบคุณที่บรรยายให้อ่านคะ เก่งจังเลยคะ จำเนื้อหาได้ ทึ่งมากๆ เลย ขอบคุณมากคะ
 
 

โดย: nuyo (CooKiiE ) วันที่: 18 กรกฎาคม 2549 เวลา:0:13:51 น.  

 
 
 
ชอบมากๆๆขอบคุณที่คุณน้องหอมแดงนำมาให้ได้ชื่นชมและได้ความรู้ไปในตัว
 
 

โดย: หม่อมตั๊ก (หม่อมตั๊ก ) วันที่: 18 กรกฎาคม 2549 เวลา:17:16:30 น.  

 
 
 
มาแล้วไม่เคยผิดหวังค่ะ ได้ทั้งสาระและความรู้
 
 

โดย: หนูใหม่ค่ะ (numainew ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2549 เวลา:18:04:36 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

น้องหอมแดง
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




วิศวกรอุตส่าหากรรม ลูกจ้างธรรมดาคนนึงที่ชอบขับรถท่องเที่ยวพักผ่อนถ่ายรูป รักความเป็นอิสระ ง่ายๆ สบายๆ
[Add น้องหอมแดง's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com