การสังหารประธานาธิบดีลินคอล์น ในโรงละครฟอร์ดเมื่อ 145 ปีก่อน
อีก 10 วันต่อมา หัวหน้าครอบครัวการ์เน็ตต์ ซึ่งทำงานที่ไร่ในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งอยู่ห่างจากวอชิงตันประมาณ 100 กิโลเมตร ได้รายงานตำรวจว่าเห็นบูธทันทีที่ได้ข่าว ตำรวจได้ระดมกำลังล้อมจับตัวบูธซึ่งหลบซ่อนอยู่ในยุ้งฉาง โดยใช้วิธีวางเพลิงเผายุ้ง ทำให้บูธต้องวิ่งออกมาและถูกตำรวจยิงที่คอจนเสียชีวิต
ภาพวาดขบวนบรรทุกศพของลินคอล์น ไปผังที่สุสานโอ็ค ริดจ์ ในสพริงฟิลด์
รัฐอิลลินอยส์ คำจารึกบนหลุมฝังศพมีว่า "Now he belongs to the ages"
ตำรวจจึงนำศพฆาตกรบันลือโลก ห่อด้วยผ้าห่ม นำขึ้นรถและเรือเดินทางสู่วอชิงตัน หลังจากที่ทันตแพทย์ประจำตัวของบูธตรวจดูฟันของศพ และยืนยันว่านี่คือศพของบูธจริง ศัลยแพทย์จอห์น เมย์ ผู้เคยผ่าตัดก้อนเนื้อที่คอของบูธ เมื่อได้ดูรอยผ่าตัดที่คอ ก็บอกว่านี่คือศพของบูธเช่นกัน ดังนั้นคณะแพทย์ที่ชันสูตรจึงลงมติว่าบูธเสียชีวิตด้วยพิษกระสุนปืน จากนั้นได้ตัดเนื้อที่คอส่วนหนึ่งใส่ขวดโหลมอบให้แก่พิพิธภัณฑ์มุตเตอร์ ที่เมืองฟิลาเดลเฟียเพื่อเก็บแล้ว ศพก็ถูกนำไปฝังที่วอชิงตัน อาร์เซนอล และถูกย้ายไปฝังที่สุสานอื่นอีกรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง
หลังจากเวลาผ่านไป 4 ปี รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งมอบศพของบูธแก่ครอบครัว เพื่อนำไปฝังที่สุสานกรีนเม้าท์ ในเมืองบัลติมอร์และนั่นก็คือสิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้เป็นการสรุปเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก เมื่อ 145 ปีก่อนนี้
การเสียชีวิตของลินคอล์น ลักษณะนี้ได้ทำให้นักประวัติศาสตร์และคนที่สนใจเรื่องการลอบสังหารทางการเมืองตั้งข้อสงสัยว่า นี่เป็นการกระทำของบูธเพียงคนเดียว หรือของกลุ่มคนหัวรุนแรง หรือของคนต่างชาติ หลายคนเชื่อว่า "เอ็ดวิน สแตนตัน" ผู้ดำรงดำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ประสงค์จะจับตัวฆาตกรให้ได้เร็วที่สุด จึงวางแผนให้เอาศพใครก็ได้มาอุปโลกน์เป็นศพของบูธ เพื่อเรื่องจะได้จบ ในขณะที่บางคนก็อ้างว่า ศพนั้นมิใช่ของบูธ เพราะหลักฐานที่แพทย์อ้างไม่ตรงกับความจริง เช่น เกรทเชน วอร์เดน ซึ่งเป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์มุตเลอร์ที่เก็บเนื้อเยื่อของบูธได้ชี้ให้เห็นว่า บูธสักชื่อเป็นอักษรที่มือขวา แต่คนที่เห็นศพ บอกรอยสักอยู่ที่มือซ้าย และแม้แต่ศัลยแพทย์จอห์น เมย์ก็ไม่มั่นใจ 100% ว่าเจ้าของศพนั้นคือบูธ วิธีหนึ่งที่จะสามารถตัดสินการเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมได้ คือตำรวจต้องขุดศพที่ฝังอยู่ที่สุสานกรีนเม้าท์มาตรวจ DNA ใหม่
ในอดีตเมื่อ 16 ปีก่อน เมื่อบรรดาญาติ ๆ ของบูธได้เรียกร้องให้มีการขุดศพมาตรวจศพอีกครั้งหนึ่ง ศาลแห่งบัลติมอร์ได้ปฏิเสธคำร้อง เพราะได้รับคำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญเรื่อง DNA ว่า DNA ไม่สามารถใช้ระบุได้ว่าศพเป็นของบูธ ทั้งนี้เพราะญาติของบูธที่มีในขณะนี้เป็นญาติห่าง ๆ ไม่ใช่ญาติตรง ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ DNA ระบุตัวบูธได้
ในปี ค.ศ. 1995 เจมส์ สแตร์ส แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ผู้เคยวิเคราะห์ศพของเจสซี่ เจมส์ ได้แถลงในศาลว่า สิ่งที่ต้องการไม่ใช่ DNA ทั่วไป แต่ต้องเป็น mitochondrial DNA (mt DNA) ของญาติ ๆ ที่เป็นหญิงแห่งตระกูลบูธ เช่น ยายทวด ยาย แม่ หรือลูกสาว แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ตระกูลนี้ไม่มีญาติทางแม่เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว ครั้นจะขุดศพแม่ของบูธขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าตำรวจต้องขุดศพถึง 2 ศพ หรืออาจจะขุดมากกว่านั้นถ้าข้อมูลที่มีไม่ดีพอ ด้วยเหตุนี้ เพื่อป้องกันความโกลาหล ศพของบูธจึงยังคงฝังที่กรีนเม้าท์ต่อไปโดยไม่มีใครรบกวน
นอกจากประเด็นตัวจริงและตัวปลอมแล้วนักประวัติศาสตร์ก็ยังได้ตั้งข้อกังขาเรื่องการวางแผนสังหารว่า ดำเนินการโดยคนคนเดียว หรือหลายคนด้วย ในการตอบข้อสงสัยนี้ แพทริค เลแมน แห่งรอยัล ฮัลโลเวย์ ของมหาวิทยาลัยลอนดอนได้เสนอผลการวิจัยเรื่อง ความเชื่อและความไม่เชื่อในทฤษฎีการสมคบกันก่อการร้าย ในที่ประชุมของ Psychological Society ของอังกฤษเมื่อ 7 ปีก่อน ซึ่งได้ข้อสรุปว่าคนทั่วไปมักเชื่อว่า ถ้าผู้ที่ถูกยิงเป็นคนสำคัญ สาเหตุการยิงก็จะซับซ้อนและไม่ธรรมดา โดยเลแมนได้ใช้นิสิต 64 คน และให้ทดสอบอ่านบทความ ซึ่งกล่าวถึง ประธานาธิบดีของประเทศหนึ่งถูกคนร้ายลอบยิง เลแมนเขียนบทความเป็น 4 รูปแบบ คือ
- แบบที่ 1 ประธานาธิบดีถูกยิง และเสียชีวิต
- แบบที่ 2 ประธานาธิบดีถูกยิง แต่รอดชีวิต
- แบบที่ 3 กระสุนที่ใช้ยิงพลาดเป้า แต่ประธานาธิบดีตายในเวลาต่อมาด้วยสาเหตุอื่น
- แบบที่ 4 กระสุนพลาดเป้า และประธานาธิบดียังมีชีวิตต่อไป
จากนั้นเลแมนให้นิสิตอ่านบทความเพียงคนละ 1 ชิ้น แล้วตั้งคำถาม 6 ข้อ เช่นว่า นิสิตเชื่อว่าการยิงทำโดยคนคนเดียว หรือเป็นแผนของคนหลายคน และนิสิตเชื่อในบทความที่อ่านมากหรือน้อยเพียงใด เป็นต้น ผลที่ได้รับจากการวิจัยแสดงว่า นิสิตที่เชื่อว่าแผนสังหารเกิดจากคณะบุคคลมักสงสัยในบทความที่อ่านมากกว่า นิสิตที่เชื่อว่าคนคนเดียวยิง และแม้แต่กรณีที่ประธานาธิบดีเสียชีวิตหลังจากการยิง นิสิตส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่า การตายเป็นส่วนหนึ่งของแผนสังหาร
ดังนั้นในภาพรวมเลแมนจึงสรุปว่าผู้คนทั่วไปมักคิดว่า การเสียชีวิตของบุคคลสำคัญของประเทศ เช่น ลินคอล์น, เคนเนดี้ กษัตริย์ และนักการเมืองมักเกิดจากการวางแผนของบุคคลหลายคน มิใช่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบของคนคนเดียว พูดง่าย ๆ คือถ้าผลที่เกิดขึ้นยิ่งใหญ่ คนทั่วไปก็คิดว่าสาเหตุก็ยิ่งใหญ่ด้วย
ส่วนการสังหารนายกรัฐมนตรีโซรัน ดจินดจิค แห่งประเทศเซอร์เบีย ที่กรุงเบลเกรด เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2003 นั้นก็เช่นกัน รัฐบาลเซอร์เบียได้ออกแถลงการณ์ว่า การลอบสังหารเป็นผลงานของมาเฟียภายใต้การนำโดยประธานาธิบดีสโลบอดัน มีโลเซวิค ซึ่งก็ตรงกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ทั้งโลก แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า นี่คือผลงานของคนคนเดียว ดังเช่น บูธในกรณีลินคอล์น หรือลี ฮาร์วี่ย์ ออสวอด์ล ในกรณีเคนเนดี้