|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เรื่องพิศวงของผีทวงแค้น
ป้ายบอกสถานที่พบศพมาเรีย.
เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1827 ที่หมู่บ้านโพลสเตด (Palstead) ในประเทศอังกฤษ เมื่อหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ มาเรีย มาร์เตน (Maria Marten) ถูกยิงเสียชีวิตโดยคนรักของเธอ ศพถูกฝังในโรงนาเพื่ออำพรางคดี และเมื่อฝังเสร็จเขาก็หนีไปใช้ชีวิตในลอนดอน พร้อมสวมรอยเขียนจดหมายส่งกลับไปเพื่อให้ดูเหมือนว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
กระทั่ง 1 ปีผ่านไป นางมัวร์แม่เลี้ยงของผู้ตายได้เกิดฝันประหลาดเข้า เธอฝันว่าเห็นวิญญาณมาเรียมาบอกว่าโดนฆ่า ขอให้แม่เลี้ยงเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตัวเธอ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นคดีฆาตกรรมแห่งโรงนาสีแดง (Red Barn Murder) อันลือลั่นในอังกฤษ
มาเรีย มาร์เตน อายุ 24 ปี เป็นลูกสาวของนายโธมัส มาร์เตน ชาวบ้านธรรมดาที่ทำอาชีพจับตุ่น ฐานะค่อนข้างยากจน ความจนทำให้เธอหวังที่จะแต่งงานกับคนรวยเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น เมื่อพบกับวิลเลียม เธอรีบโดดคว้าโอกาสแสนงามไว้โดยไม่สนประวัติ หรือนิสัยที่ไม่ดีของเขาเลยแม้แต่น้อย วิลเลียม คอร์เดอร์ เป็นบุตรชายคนที่ 3 ของครอบครัวเกษตรกร ฐานะร่ำรวยพอสมควร หน้าตาดีมีสาว ๆ ในหมู่บ้านติดพันหลายคน มีชื่อเสียงด้านลบว่าเป็นเสือผู้หญิง ชาวบ้านตั้งฉายาเขาว่า จิ้งจอก เพราะนิสัยกลับกลอก เจ้าเล่ห์ขี้โกง โกงแม้กระทั่งพ่อตัวเอง ภายหลังเขาถูกจับได้ว่าปลอมแปลงเอกสารและโกงผลผลิตจากชาวบ้าน จึงเป็นเหตุทำให้ทางครอบครัวขายหน้าจึงต้องส่งตัวเขาไปอยู่ลอนดอน อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักวิลเลียมก็ถูกเรียกกลับเมื่อพี่ชายของเขาจมน้ำเสียชีวิต และในเวลาต่อมาพ่อกับพี่ชายอีกคนของเขาก็เสียชีวิตลงอย่างมีเงื่อนงำ มรดกและฟาร์มพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ จึงตกอยู่ในมือของเขาทั้งหมด
ยามว่าง ทั้งสองมักไปพลอดรักกันในโรงนาขนาดใหญ่บนเนินเขาบาร์นฟิลด์ (Barnfield Hill) ไกลจากบ้านเธอประมาณครึ่งไมล์ โรงนาขนาดใหญ่สร้างด้วยไม้ หลังคามุงกระเบื้องสีแดง เมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องเข้ามาเหมือนโรงนาอาบไปด้วยสีแดงทั้งหลัง ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านมักเรียกติดปากว่า โรงนาสีแดง เมื่อมาเรียตั้งท้อง เธอกดดันให้เขาแต่งงานด้วย แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังนิ่งเฉย กระทั่งเธอคลอดเด็กทารกและเด็กเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ มาเรียกล่าวโทษว่าเขาทำให้ลูกตาย (ต่อมามีการพิสูจน์ว่าเด็กทารกถูกฆาตกรรม) วิลเลียมนั้นไม่เคยคิดแต่งงานด้วยเลย เพราะมาเรียเป็นเพียงลูกสาวชาวบ้านจน ๆ ซึ่งไม่มีวันเข้าสังคมของเขาได้ ทว่าเมื่อโดนบีบหนักเข้า เขาจึงเริ่มมองหาทางออก ทางออกสุดท้ายที่เขาคิดไว้คือ ฆ่าเธอซะเพื่อตัดปัญหา!!
18 พฤษภาคม 1827 เขานัดพบเธอที่โรงนาสีแดงแหล่งพลอดรัก บอกว่าจะพาหนีไปเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกัน เมื่อถึงเวลานัดหมาย มาเรียปลอมตัวเป็นชายเพื่ออำพรางสายตาชาวบ้าน ออกจากบ้านเร่งฝีเท้าตรงมาที่โรงนาสีแดง ซึ่งเวลานั้นเองโธมัสผู้เป็นพ่อเห็นเข้าพอดี นี่เป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นขณะเธอยังมีชีวิตอยู่ ท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วิลเลียมสังหารมาเรียด้วยปืน และลากศพเธอไปฝังในโรงนาสีแดง ก่อนที่เขาจะหนีไปอยู่ลอนดอน
เมื่อครอบครัวของมาเรียไม่ได้ข่าวคราวหลายเดือน โธมัสพยายามติดต่อวิลเลียม พร้อมกับขู่ว่าหากไม่ตอบกลับว่า ตอนนี้มาเรียเป็นอย่างไร พวกเขาจะไปแจ้งตำรวจ ด้วยแรงกดดัน ทำให้วิลเลียมคิดแผนอย่างหนึ่ง เขาเขียนจดหมายถึงพ่อของมาเรีย โดยแสร้งทำเป็นว่าเธอเป็นคนเขียน ในจดหมายเขียนว่า ตอนนี้เราทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนเกาะไวท์ และขอโทษพ่อที่ไม่ได้ส่งจดหมายหรือส่งข่าวคราวให้ทราบ เนื้อหาในจดหมายยังระบุว่า ขณะนี้เธอกำลังป่วย เจ็บมือ ทำให้ลายมือของเธอออกจะแปลก ๆ ไม่เหมือนที่เคยเขียน ในจดหมายมีเงินสอดมาด้วยอีกปึกหนึ่ง ซึ่งโธมัสก็เชื่อจดหมายนี้อย่างสนิทใจ เวลาผ่านไป 1 ปี...กลางดึกของเดือนเมษายน 1828 เรื่องราวเหนือธรรมชาติก็ได้เกิดขึ้น แม่เลี้ยงของมาเรีย ปลุกโธมัสสามีของเธอที่กำลังหลับอยู่ข้าง ๆ ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก โธมัส ฉันฝันร้ายค่ะ!!
วิลเลียมยังไม่ยอมแพ้ เขาได้ออกมายอมรับว่าอยู่ในโรงนาสีแดงกับมาเรียจริง แต่มาเรียนั้นฆ่าตัวตาย เขาและมาเรียทะเลาะกันเรื่องเด็กถึงขั้นลงไม้ลงมือ พอเขาเดินออกไปข้างนอกก็ได้ยินเสียงปืน กลับมาอีกทีก็เห็นมาเรียนอนเสียชีวิต โดยมีปืนอยู่ข้างกาย เขาจำเป็นต้องฝังเธอเพราะกลัวความผิด แต่สุดท้ายคำแก้ตัวก็ฟังไม่ขึ้น วิลเลียมถูกพิพากษาประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ
ขณะรอวันประหาร วิลเลียมที่อยู่ในคุกเอ่ยปากสารภาพว่าเขาฆ่านางมาเรียจริง แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ มีการโต้เถียงกันและเกิดการต่อสู้ขึ้น ปืนที่เขาพกลั่นใส่เธอจนถึงแก่ชีวิต มันเป็นอุบัติเหตุน่าเศร้าที่เขาเองก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น 11 สิงหาคม วิลเลียมถูกนำตัวไปยังตะแลงแกงในเรือนจำเบอรี่ เซนต์ เอดมันส์ (Bury St. Edmunds) แม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยงอากาศร้อนอบอ้าว แต่ฝูงชนต่างแห่กันมาดูการประหารนั้นจนแน่นขนัด หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งบอกว่ามีผู้ชมกว่า 7,000 คน ขณะที่อีกฉบับหนึ่งบอกว่ามีมากกว่า 20,000 คน
ผมมีความผิด นี่คือการตัดสินยุติธรรม ผมสมควรได้รับโชคชะตาดังกล่าว และขอให้พระเจ้าเมตตาต่อจิตวิญญาณของผมด้วย วิลเลียมกล่าวประโยคสุดท้ายก่อนที่เพชฌฆาตจะสวมหมวกคลุมหัวเขา ร่างของวิลเลียมถูกมอบให้สำหรับวิจัยทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเวอร์จีเนีย โครงกระดูกถูกวางจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ฮันเทเรี่ยน (Hunterian) จนกระทั่งปี 2004 ร่างกายที่เหลือของเขาก็ฌาปนกิจที่ป่าช้าโพลสเตดอันเป็นสถานที่ที่ฝังศพมาเรียคนรักด้วย มีเรื่องเล่ากันว่า ระหว่างที่กะโหลกของวิลเลียมถูกตั้งโชว์ในกรอบแก้วที่โรงพยาบาลซัฟโฟล์ค จู่ ๆ กะโหลกด้านบนเกิดยุบลงมาเหมือนมีใครมาทุบ ทำให้หลายคนเชื่อว่ามันคือคำสาปของมาเรีย อย่างไรก็ตาม หลังการตายของวิลเลียม หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยต่อความฝันของแม่เลี้ยงมาเรียว่ามีพิรุธหลายจุด นางมัวร์แม้จะมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยง แต่ความจริงแล้วเธอมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมาเรีย ทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกัน หลายครั้งที่โต้เถียงอย่างเผ็ดร้อน หากมาเรียเป็นวิญญาณทวงแค้นจริงล่ะ ก็น่าจะเลือกเข้าฝันบิดาแท้ ๆ มากกว่า สิ่งที่น่าสงสัยต่อมาคือจดหมายที่วิลเลียมส่งเงินมากับจดหมายด้วย เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี หลังจากเขาเลิกส่งจดหมาย จู่ ๆ นางมัวร์ก็เกิดฝันประหลาด ทำไมวิญญาณมาเรียจึงรอนานกว่า 1 ปีกว่าจะมาเข้าฝัน
มีข้อสันนิษฐานตามมามากมาย แต่ที่มีความเป็นไปได้ที่สุด คือ นางมัวร์น่าจะรู้เห็นเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้น แต่ไม่บอกให้ใครรู้ เพราะสำหรับเธอแล้วมาเรียคือหนามยอกอก ก่อนจะหัวใสใช้เรื่องนี้มาแบล็กเมล์วิลเลียมในภายหลัง เมื่อวิลเลียมหยุดส่งเงินทำให้เธอไม่พอใจ แต่หากแฉเรื่องดังกล่าวคงถูกจับในข้อหาสมรู้ร่วมคิดไปด้วย ดังนั้นเธอจึงใช้เรื่องเหนือธรรมชาติเป็นเครื่องมือ
คำถามต่อมาในเมื่อนางมัวร์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ทำไมวิลเลียมจึงต้องปกป้องเธอด้วย ทำให้เชื่อต่อได้ว่าเธออาจเป็นหนึ่งในคนรักของวิลเลียม อีกทั้งยังอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดวางแผนฆาตกรรมด้วยซ้ำ
เรื่องราวเรื่องผีทวงแค้นแห่งโรงนาสีแดงกลายเป็นข่าวที่โด่งดังอย่างมากในสมัยนั้น เนื่องจากมีองค์ประกอบชั้นดีอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความตาย โศกนาฏกรรม และเรื่องเหนือธรรมชาติ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจแก่เพลงพื้นบ้าน ละครเวที และภาพยนตร์จนได้รับความนิยมเรื่อยมา โรงนาสีแดงแห่งหมู่บ้านโพลสเตดที่เป็นเวทีโศกนาฏกรรมนี้ ดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ มีการขายของที่ระลึกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด แผ่นกระดานที่งัดมาจากโรงนา กระทั่งเอามาทำเป็นไม้จิ้มฟันก็มี น่าเสียดายที่โรงนาสีแดงถูกเพลิงไหม้ในปี 1842 จนไม่เหลือซากให้ใครเห็นอีกเลย.
โดย อลิสโต และ ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน
Create Date : 18 ตุลาคม 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 11:57:58 น. |
Counter : 1092 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|