Group Blog |
รีวิว เรื่องที่ 1 : The Silence of the Lambs :เหี้ยมไม่เงียบ The Silence of the Lambs หรือชื่อไทยคือ เหี้ยมไม่เงียบ หรือที่ในฉบับภาพยนต์ใช้ชื่อว่า อำหิตไม่เงียบ เป็นนิยายแนว สืบสวน - ระทึกขวัญ หนึ่งในนิยายชุดฮัลนิบาล ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง ที่เอฟบีไอต้องไปขอความช่วยเหลือจากฆาตกรต่อเนื่องเพื่อสืบคดี โดยเล่มนี้จะเป็นเรื่องราวของแคร์ลิซ สตาร์ลิง เอฟบีไอฝึกหัดที่ได้รับภารกิจจาก แจ๊ค ครอว์ฟอร์ด ให้ไปตามล่าตัวฆาตกรโรคจิตนามบัฟฟาโล่ บิลล์ ซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตที่จับผู้หญิงไปถลกหนัง ซึ่งมีความเก่งกาจและปกปิดหลักฐานได้ดี ทำให้ยังตามจับตัวเขาไม่ได้ งานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ครอว์ฟอร์ดจึงตัดสินให้สตาร์ลิงไปขอความช่วยเหลือจาก ดร.เลคเตอร์ หรือฮันนิบาล ฆาตกรจอมโหดอัจฉริยะที่โดนขังอยู่ในโรงพยาบาลโรคประสาท (เพราะคิดว่าฆาตกรที่มีลักษณะการลงมือคล้ายกัน น่าจะคาดการเรื่องต่างๆ ได้ดี เหมือนกับที่ ครอว์ฟอร์ดเคยทำมาแล้ว เมื่อตอนที่เขาไล่ตามจับ ดร.เลคเตอร์) สตาร์ลิงต้องขอความเห็นจาก ดร.เลคเตอร์ ซึ่งเขาก็เล่นสงครามจิตวิทยากับเธอไปพร้อมๆ กันด้วย และในระหว่างตามสืบ บัฟฟาโล่ก็ยังคงออกล่าเหยื่อไปเรื่อยๆ กระทั่งเหยื่อรายล่าสุดของเขาคือลูกสาวคนเดียวของอดีตวุฒิสมาชิกรัฐเทนเนสซี เวลาในการหาตัวคนร้ายของสตาร์ลิ่งจึงถูกบีบให้กระชั้นลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความสนุกของนิยายเรื่องนี้อยู่ที่การไล่ล่าตัวบัฟฟาโล่ บิลล์ ลุ้นว่าจะช่วยเหยื่อทันไหม และประเด็นสำคัญเลยก็คือ การล่อหลอกระหว่างสตาร์ลิ่งกับ ดร.เลคเตอร์ค่ะ ตัวนางเอกนั้นเป็น FBI ฝึกหัดที่เรียกว่ามีฝีมือพอตัวเลยทีเดียว และเธอก็มีความมุ่งมั่นกับงานในอาชีพนี้ เพราะต้องการพิสูจน์ตัวเอง และส่วนหนึ่งก็มาจากปมในอดีตของเธอด้วย แต่ก่อนไปทำงาน ครอว์ฟอร์ดที่เป็นคนจับ ดร.เลคเตอร์เข้าคุกก็เตือนแล้วว่าให้เธอระวังตัว อย่าให้เขาถามหรือรู้เรื่องราวในอดีตของเธออย่างเด็ดขาด แต่เพราะสถานการณ์ที่เริ่มตึงเครียดขึ้น และความต้องการพิสูจน์ตัวเองของนางเอก บวกกับความฉลาดขั้นเทพของฮันนิบาล สุดท้ายสตาร์ลิงก็ค่อยๆ ยอมเผยข้อมูลของตัวเองออกมา เพื่อแลกกับความช่วยเหลือของดร.เลตเตอร์ จนสุดท้ายก็นำไปสู่จุดจบที่เกินคาดเลยทีเดียว ในเรื่อง ทุกครั้งที่มีฉากระหว่างสตาร์ลิ่งกับ ดร.เลคเตอร์ สิ่งที่จะได้เห็นก็คือความอัฉริยะของ ดร.เลคเตอร์ ซึ่งแทบทั้งเรื่องเขาเหนือกว่านางเอกแบบที่เรียกว่ามวยข้ามรุ่น ทำเอาสตาร์ลิ่งเสียความมั่นใจไปหลายครั้ง เธอถูกต้อนแบบจนมุมบ่อยๆ ซึ่งครึ่งหนึ่งที่เธอยอมบอกข้อมูลลับเกี่ยวกับเรื่องงานและเรื่องตัวเอง เพราะจำใจต้องบอก และรวมถึงการดื้อรั้นของเธอด้วย แต่อีกครึ่งที่บอกไป สตาร์ลิ่งไม่รู้ตัวค่ะ ไม่ใช่ว่าโดนสะกดจิตนะ แต่เป็นเพราะ ดร.เลคเตอร์ มองความคิดของเธอออกและวางแผนอย่างลึกล้ำ จนสภาวะทางด้านจิตใจของสตาร์ลิ่งเปราะบาง ยอมบอกหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องในวัยเด็กที่เธอลืมไปแล้ว เขาก็ยังขุดเอาขึ้นมาได้ และเพราะความสามารถของดร.เลคเตอร์นี่ล่ะ ที่ทำให้หลายครั้งโมจะเกิดอาการอึ้ง ประมาณว่าอ่านๆ ไปแล้วเจอฉากที่ดร.เลคเตอร์รู้ทันนางเอก ทั้งเรื่องงานเรื่องอดีตแบบเป๊ะๆ ทั้งที่ตัวเองก็ยังโดนขังอยู่ ทำให้โมตามไม่ทัน ทำตาใส่โตหน้าหนังสือหลายรอบ คิดในใจว่า ‘ฉันพลาดตรงไหน!’ แล้วสิ่งที่ทำต่อมาก็คือ ย้อนกลับไปอ่านอย่างละเอียดอีกเป็นรอบที่สอง สุดท้ายเมื่ออ่านเรื่องนี้จบ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือทึ่งในตัวของดร.เลคเตอร์มากๆ และเหนืออื่นใด คือทึ่งในความสามารถของ Thomas Harris ซึ่งเป็นคนเขียนเรื่องนี้ **สำหรับคอนิยายแนวสืบสวน ไม่ควรพลาดงานเขียนเรื่องนี้ด้วยประการทั้งปวง อ่านเถอะค่ะ รับรองว่าไม่ผิดหวัง @พี่หมูน้อย เราอ่านเรื่องนี้เพราะความดังของหนังค่ะ เลยพยายามหาหนังสือมาอ่าน บวกกับเป็นสายชอบอ่านมากกว่าดูก็เลยอ่านเพลิน ตื่นเต้นดี
โดย: Moji Juf-juf วันที่: 16 ตุลาคม 2558 เวลา:15:38:56 น.
|
Moji Juf-juf
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Friends Blog |
สนุกค่ะ แต่เครียด