ผมชอบดูหนัง ฟังเพลงและอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ เวลาว่างของผมจึงหมดไปกับมัน แต่มีหนังอยู่ไม่กี่เรื่อง บทเพลงไม่กี่เพลง และหนังสือไม่กี่เล่มที่ทำให้น้ำตาผมไหล จะไหลด้วยความโศกเศร้าหรือปิติยินดีก็ชั่ง ผมนับว่าผู้กำกับ ผู้แต่งหรือผู้เขียน ที่สร้างสรรคผลงานนั้นๆประสบความสำเร็จ เพราะถ้าจะนับกันจริงๆผมแทบไม่เสียน้ำตาให้กับความรู้สึกต่างๆที่คนส่วนใหญ่เขาเป็นกัน ผมร้องไห้น้อยครั้งจริงๆ ไม่ใช่ว่าไม่ยินดียินร้าย แต่ผมเป็นของมันแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน และทุกครั้งที่ผมพบหนัง เพลง หนังสือ ซึ่งผมขอเรียกรวมว่ามันว่าสื่อจรรโลงใจ ผมจะเสพมันซ้ำๆ นานๆด้วยความรู้สึกที่เหมือนหรือแตกต่างกันออกไป โดยมีอารมณ์ความรู้สึก ปัจจัยบริษทแวดล้อม และเวลา เป็นตัวกำหนด ต้องออกตัวก่อนว่าเพลงเป็นสื่อจรรโลงใจที่ทำให้ผมร้องไห้น้อยที่ สุดยกเว้นตอนอกหัก เหมือนปุถุชนทั่วไป ที่ฟังเพลงไหนก็โดน ดังนั้นเมื่อผมเจอเพลงที่ทำให้ผมรู้สึก ปิติยินดีและน้ำตาไหลผมจึงฟังมันอย่างละเอียดและวิเคราะห์มันออกมาว่าอะไรในเพลงทำให้ผมอินกับมันได้ขนาดนั้น และเพลงที่พูดถึงก็คือ "Tie a Yellow Ribbon Round the Ole Oak Tree" ของศิลปินป๊อปชาวอเมริกาผู้โด่งดังในยุค 70 ซึ่งตอนที่เขาดัง ผมยังไม่เกิดแต่จากการสืบค้นข้อมูลดูก็พบว่า Tony Orlando & Dawn โ่ด่งดังเป็นพลุแตกในปี 1973 ชายหนุ่มหนวดสวย เสียงลูกทุ่งฝรั่ง (Country Style)กับ 2 สาวผิวสี ออกตระเวนคอนเสริตไปทั่วโลก Billboard ยังการันตีความดังด้วยการจัดให้เป็นเพลงฮิตตลอดกาลลำดับที่ 37 ด้วยเนื้อหาเพลง ที่ใช้ประโยคง่ายๆสื่อความหมายแบบตรงใจ และมีการสอดแทรกสัญลักษณ์บางอย่างที่กินใจ โดยยกความดีให้กับ Irwin Levine and L. Russell Brown ซึ่งเอาเรื่องจริงหรือที่ฝรั่งเรียก Based on true story มาเขียน แต่ก่อนที่จะมาวิเคราะห์ อยากให้ผู้อ่านลองฟังเพลงดูก่อน หรือลองอ่านเนื้อก่อนว่าจะเกิดความรู้สึกยังไงบ้าง และจะอินเหมือนผมรึเปล่า........
I'm coming home I've done my time Now I've got to know what is and isn't mine ผมกำลังจะได้กลับบ้าน ผมได้ชดใช้สิ่งที่ผมได้กระทำลงไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า สิ่งไหนที่ใช่และไม่ใช่ตัวผม
If you received my letter, tellin' you I'd soon be free ถ้าคุณได้รับจดหมายของผมฉบับนี้ ผมจะบอกคุณว่า ผมจะได้รับอิสระภาพในไม่ช้านี้แล้ว
then you'd know just what to do if you still want me if you still want me คุณคงไม่รู้สินะ ว่าควรจะต้องทำยังไง ถ้าคุณยังต้องการผม อยู่ล่ะก็ ถ้าคุณยังต้องการผม อยู่ล่ะก็
Oh tie a yellow ribbon round the old oak tree It's been three long years do you still want me ขอให้ผูกริบบิ้นสีเหลือง ไว้รอบ ต้นโอ๊คเก่าแก่ ต้นนั้น เวลาได้ล่วงเลยมาแล้วมากกว่าสามปี ผมไม่รู้ว่า คุณยังต้องการผมอยู่ไหม
If I don't see a ribbon round the old oak tree I'll stay on the bus, forget about us, put the blame on me if I don't see a yellow ribbon round the old oak tree ซึ่งถ้าหากผมไม่เห็นริบบิ้นสีเหลืองที่ต้นโอ๊คแล้วละก็ ผมก็จะไม่ลงจากรถ และลืมเรื่องราวของเรา ผมจะไม่โทษใครนอกจากโทษตัวเอง ถ้าหาก...ผมไม่เห็นริบบิ้นสีเหลืองผูกไว้ที่ต้นโอ๊คเก่าแก่ต้นนั้น..
Bus driver please look for me, cause I couldn't bare to see what I might see คนขับรถ โปรดช่วยผมมองหาริบบิ้นสีเหลืองด้วย เพราะผมไม่กล้าที่จะดูในสิ่งที่ผมกำลังมองหาอยู่
I'm really still in prison and my love she holds the key, a simple yellow ribbons what I need to set me free ตัวผมเองเสมือนหนึ่งว่ายังถูกกักขังไว้อยู่ในเรือนจำ โดยมีที่รักของผม เป็นผู้ถือกุญแจหัวใจผมไว้ เพียงแค่ริบบิ้นสีเหลืองสักเส้นเท่านั้นที่ผมต้องการเห็น มันจะช่วยปลดปล่อยใจผมให้เป็นอิสระได้
I wrote and told her please ผมเองได้เขียนบอกเธอและขอร้องเธอไปแล้ว
Now the whole damned bus is cheerin' and I can't believe I see, a hundred yellow ribbons round the old oak tree ขณะนี้เหมือนลางร้ายได้จางหายไปแล้ว เพราะเสียงเชียร์ของคนในรถดังขึ้น และแล้ว ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ โอ้....ริบบิ้นสีเหลืองนับร้อย เส้น ผูกอยู่รอบๆต้นโอ๊คเก่าแก่ต้นนั้น
I'm coming home Mh Mmmh ผมได้กลับบ้านแล้วละ
จากการวิเคราะห์ที่เข้าข้างตัวเองรึเปล่าไม่ก็ไม่รู้แต่สามารถสรุปประเด็นที่ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงดังอมตะนิรันดร์กาลและที่สำคัญมันทำให้น้ำตาผมไหล 1.ทำนองของเพลงที่ฟังสบายๆ เป็นต้นแบบของดนตรีป๊อปที่ทำจังหว่ะง่ายๆให้คนทั่วไปสามารถเล่นตามได้สบายๆ 2.เนื้อหาของเพลงที่แต่งโดยใช้ภาษาพื้นๆเข้าใจง่ายเหมาะกับคนฟังตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปจนถึงชั้นฟ้าและยิ่งเป็นการเอาชีวิตจริงของชายนักโทษคนหนึ่งในเวอร์จิเนียที่ไม่รู้ว่าหญิงคนรักจะยังคงคอยการกลับมาเค้าอยู่รึเปล่า เมื่อคนฟังรู้ว่าเป็นเรื่องจริงเลยอินกันใหญ่ 3.ความหลากหลายของอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเพลงไม่ว่าจะเป็น คาดหวัง วิตกกังวล ลังเล ยอมรับในโชคชะตาความผิดพลาดของตัวเอง ตื่นเต้น ดีใจ ปลื่มใจ ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกร่วมและตื่นเต่นตัวลอยตอนลุ้นว่ามันจะจบยังไง เธอยังรอเค้าอยู่รึเปล่า ขอสารภาพว่าน้ำตาไหลตอนที่ เห็นริบบิ้นร้อยกว่ากันนี้แหละครับ 4.Tony Orlando เป็นมืออาชีพในด้านการให้สร้างความสนุกสนานจริงๆครับ ด้วยบุคคลิกขี้เล่น ชอบแซว ชอบอำเพื่อนนักร้องและคนดู ไม่ร้องตามเนื้อ มีการเล่นจังหว่ะ เปลี่ยนคำ เช่นในประโยคที่ว่า Now the whole damned bus is cheerin' โทนี่เปลี่ยนจาก bus เป็นที่ๆเค้าไปแสดงเช่น เป็น Grand palace is cheerin' ก็เล่นกับคนดูใน Hall เกิดความรู้สึกอินไปด้วย และยิ่งได้ 2 สาว Dawn มา featuring ด้วย การประสานแก้วเสียงที่ลงตัว ในประโยค tie a ribbon round the old aok tree ยังก้องอยู่ในใจผมเสมอ 5.ผู้แต่งเพลงได้ใส่สัญลักษณ์ริบบิ้นสีเหลืองซึ่งต่อมากลายเป็นนัยของความหวัง การให้อภัยและการอคอยซึ่งในยุค 70 นี้เป็นยุคที่สหรัฐยังคงทำสงครามกับเวียดนาม พวกแม่บ้านทั่วทั้งสหรัฐจึงนิยมผูกริบบิ้นสีเหลืองไว้ที่ต้นไม้หน้าบ้านเพื่อเฝ้ารอการกลับมาของสามี ยิ่งทำให้เพลงนี้ดังเป็นพลุแตก 6.สุดท้ายก็ไม่พ้นประเด็นตอนจบของเพลงซึ่งจบแบบ Happy ending ก็น่าแปลกว่าทำไมเราถึงชอบให้ตอนจบของอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหนัง หนังสือหรือเพลง ต้องจบแบบงดงามตามเทพนิยาย ซึ่งผมจะไม่วิเคาระห์ต่อว่าทำไมคนถึงชอบแบบนั้น แต่เชื่อเถอะว่าถ้าแฟนของเค้าไม่ผูกริบบิ้นที่ต้นโอ๊ค ซึ่งอาจจะเพราะไม่ได้รับจดหมาย จดหมายมาช้า หรือเพราะไม่ให้อภัยแฟน เพลงนี้ไม่ดังแน่นอน