Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 

ความหมายในเพลงเพราะ ที่ทำให้ผมน้ำตาไหล

ผมชอบดูหนัง ฟังเพลงและอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ เวลาว่างของผมจึงหมดไปกับมัน
แต่มีหนังอยู่ไม่กี่เรื่อง บทเพลงไม่กี่เพลง และหนังสือไม่กี่เล่มที่ทำให้น้ำตาผมไหล
จะไหลด้วยความโศกเศร้าหรือปิติยินดีก็ชั่ง ผมนับว่าผู้กำกับ ผู้แต่งหรือผู้เขียน ที่สร้างสรรคผลงานนั้นๆประสบความสำเร็จ
เพราะถ้าจะนับกันจริงๆผมแทบไม่เสียน้ำตาให้กับความรู้สึกต่างๆที่คนส่วนใหญ่เขาเป็นกัน ผมร้องไห้น้อยครั้งจริงๆ
ไม่ใช่ว่าไม่ยินดียินร้าย แต่ผมเป็นของมันแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน และทุกครั้งที่ผมพบหนัง เพลง หนังสือ ซึ่งผมขอเรียกรวมว่ามันว่าสื่อจรรโลงใจ ผมจะเสพมันซ้ำๆ นานๆด้วยความรู้สึกที่เหมือนหรือแตกต่างกันออกไป โดยมีอารมณ์ความรู้สึก ปัจจัยบริษทแวดล้อม และเวลา เป็นตัวกำหนด ต้องออกตัวก่อนว่าเพลงเป็นสื่อจรรโลงใจที่ทำให้ผมร้องไห้น้อยที่
สุดยกเว้นตอนอกหัก เหมือนปุถุชนทั่วไป ที่ฟังเพลงไหนก็โดน ดังนั้นเมื่อผมเจอเพลงที่ทำให้ผมรู้สึก ปิติยินดีและน้ำตาไหลผมจึงฟังมันอย่างละเอียดและวิเคราะห์มันออกมาว่าอะไรในเพลงทำให้ผมอินกับมันได้ขนาดนั้น และเพลงที่พูดถึงก็คือ "Tie a Yellow Ribbon Round the Ole Oak Tree" ของศิลปินป๊อปชาวอเมริกาผู้โด่งดังในยุค 70 ซึ่งตอนที่เขาดัง ผมยังไม่เกิดแต่จากการสืบค้นข้อมูลดูก็พบว่า Tony Orlando & Dawn โ่ด่งดังเป็นพลุแตกในปี 1973 ชายหนุ่มหนวดสวย เสียงลูกทุ่งฝรั่ง (Country Style)กับ 2 สาวผิวสี ออกตระเวนคอนเสริตไปทั่วโลก Billboard ยังการันตีความดังด้วยการจัดให้เป็นเพลงฮิตตลอดกาลลำดับที่ 37 ด้วยเนื้อหาเพลง
ที่ใช้ประโยคง่ายๆสื่อความหมายแบบตรงใจ และมีการสอดแทรกสัญลักษณ์บางอย่างที่กินใจ โดยยกความดีให้กับ Irwin Levine and L. Russell Brown ซึ่งเอาเรื่องจริงหรือที่ฝรั่งเรียก Based on true story มาเขียน แต่ก่อนที่จะมาวิเคราะห์ อยากให้ผู้อ่านลองฟังเพลงดูก่อน หรือลองอ่านเนื้อก่อนว่าจะเกิดความรู้สึกยังไงบ้าง และจะอินเหมือนผมรึเปล่า........



I'm coming home I've done my time
Now I've got to know what is and isn't mine
ผมกำลังจะได้กลับบ้าน ผมได้ชดใช้สิ่งที่ผมได้กระทำลงไปแล้ว
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า สิ่งไหนที่ใช่และไม่ใช่ตัวผม

If you received my letter,
tellin' you I'd soon be free
ถ้าคุณได้รับจดหมายของผมฉบับนี้
ผมจะบอกคุณว่า ผมจะได้รับอิสระภาพในไม่ช้านี้แล้ว

then you'd know just what to do
if you still want me
if you still want me
คุณคงไม่รู้สินะ ว่าควรจะต้องทำยังไง
ถ้าคุณยังต้องการผม อยู่ล่ะก็
ถ้าคุณยังต้องการผม อยู่ล่ะก็

Oh tie a yellow ribbon round the old oak tree
It's been three long years
do you still want me
ขอให้ผูกริบบิ้นสีเหลือง ไว้รอบ ต้นโอ๊คเก่าแก่ ต้นนั้น
เวลาได้ล่วงเลยมาแล้วมากกว่าสามปี
ผมไม่รู้ว่า คุณยังต้องการผมอยู่ไหม

If I don't see a ribbon round the old oak tree
I'll stay on the bus, forget about us,
put the blame on me
if I don't see a yellow ribbon round the old oak tree
ซึ่งถ้าหากผมไม่เห็นริบบิ้นสีเหลืองที่ต้นโอ๊คแล้วละก็
ผมก็จะไม่ลงจากรถ และลืมเรื่องราวของเรา
ผมจะไม่โทษใครนอกจากโทษตัวเอง
ถ้าหาก...ผมไม่เห็นริบบิ้นสีเหลืองผูกไว้ที่ต้นโอ๊คเก่าแก่ต้นนั้น..

Bus driver please look for me,
cause I couldn't bare to see what I might see
คนขับรถ โปรดช่วยผมมองหาริบบิ้นสีเหลืองด้วย
เพราะผมไม่กล้าที่จะดูในสิ่งที่ผมกำลังมองหาอยู่

I'm really still in prison and my love she holds the key,
a simple yellow ribbons what I need to set me free
ตัวผมเองเสมือนหนึ่งว่ายังถูกกักขังไว้อยู่ในเรือนจำ
โดยมีที่รักของผม เป็นผู้ถือกุญแจหัวใจผมไว้
เพียงแค่ริบบิ้นสีเหลืองสักเส้นเท่านั้นที่ผมต้องการเห็น
มันจะช่วยปลดปล่อยใจผมให้เป็นอิสระได้

I wrote and told her please
ผมเองได้เขียนบอกเธอและขอร้องเธอไปแล้ว

Now the whole damned bus is cheerin'
and I can't believe I see,
a hundred yellow ribbons round the old oak tree
ขณะนี้เหมือนลางร้ายได้จางหายไปแล้ว
เพราะเสียงเชียร์ของคนในรถดังขึ้น
และแล้ว ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ
โอ้....ริบบิ้นสีเหลืองนับร้อย เส้น
ผูกอยู่รอบๆต้นโอ๊คเก่าแก่ต้นนั้น

I'm coming home
Mh Mmmh
ผมได้กลับบ้านแล้วละ

จากการวิเคราะห์ที่เข้าข้างตัวเองรึเปล่าไม่ก็ไม่รู้แต่สามารถสรุปประเด็นที่ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงดังอมตะนิรันดร์กาลและที่สำคัญมันทำให้น้ำตาผมไหล
1.ทำนองของเพลงที่ฟังสบายๆ เป็นต้นแบบของดนตรีป๊อปที่ทำจังหว่ะง่ายๆให้คนทั่วไปสามารถเล่นตามได้สบายๆ
2.เนื้อหาของเพลงที่แต่งโดยใช้ภาษาพื้นๆเข้าใจง่ายเหมาะกับคนฟังตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปจนถึงชั้นฟ้าและยิ่งเป็นการเอาชีวิตจริงของชายนักโทษคนหนึ่งในเวอร์จิเนียที่ไม่รู้ว่าหญิงคนรักจะยังคงคอยการกลับมาเค้าอยู่รึเปล่า เมื่อคนฟังรู้ว่าเป็นเรื่องจริงเลยอินกันใหญ่
3.ความหลากหลายของอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเพลงไม่ว่าจะเป็น คาดหวัง วิตกกังวล ลังเล ยอมรับในโชคชะตาความผิดพลาดของตัวเอง ตื่นเต้น ดีใจ ปลื่มใจ ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกร่วมและตื่นเต่นตัวลอยตอนลุ้นว่ามันจะจบยังไง เธอยังรอเค้าอยู่รึเปล่า ขอสารภาพว่าน้ำตาไหลตอนที่ เห็นริบบิ้นร้อยกว่ากันนี้แหละครับ
4.Tony Orlando เป็นมืออาชีพในด้านการให้สร้างความสนุกสนานจริงๆครับ ด้วยบุคคลิกขี้เล่น ชอบแซว ชอบอำเพื่อนนักร้องและคนดู ไม่ร้องตามเนื้อ มีการเล่นจังหว่ะ เปลี่ยนคำ เช่นในประโยคที่ว่า Now the whole damned bus is cheerin' โทนี่เปลี่ยนจาก bus เป็นที่ๆเค้าไปแสดงเช่น เป็น Grand palace is cheerin' ก็เล่นกับคนดูใน Hall เกิดความรู้สึกอินไปด้วย และยิ่งได้ 2 สาว Dawn มา featuring ด้วย การประสานแก้วเสียงที่ลงตัว ในประโยค tie a ribbon round the old aok tree ยังก้องอยู่ในใจผมเสมอ
5.ผู้แต่งเพลงได้ใส่สัญลักษณ์ริบบิ้นสีเหลืองซึ่งต่อมากลายเป็นนัยของความหวัง การให้อภัยและการอคอยซึ่งในยุค 70 นี้เป็นยุคที่สหรัฐยังคงทำสงครามกับเวียดนาม พวกแม่บ้านทั่วทั้งสหรัฐจึงนิยมผูกริบบิ้นสีเหลืองไว้ที่ต้นไม้หน้าบ้านเพื่อเฝ้ารอการกลับมาของสามี ยิ่งทำให้เพลงนี้ดังเป็นพลุแตก
6.สุดท้ายก็ไม่พ้นประเด็นตอนจบของเพลงซึ่งจบแบบ Happy ending ก็น่าแปลกว่าทำไมเราถึงชอบให้ตอนจบของอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหนัง หนังสือหรือเพลง ต้องจบแบบงดงามตามเทพนิยาย ซึ่งผมจะไม่วิเคาระห์ต่อว่าทำไมคนถึงชอบแบบนั้น แต่เชื่อเถอะว่าถ้าแฟนของเค้าไม่ผูกริบบิ้นที่ต้นโอ๊ค ซึ่งอาจจะเพราะไม่ได้รับจดหมาย จดหมายมาช้า หรือเพราะไม่ให้อภัยแฟน เพลงนี้ไม่ดังแน่นอน

หกประเด็นนี้น่าจะสมเหตุสมผลแล้วที่ทำให้บทเพลงมีความคลาสิกและเป็นต้นแบบของความรักที่เป็นนิรันดร์จนทำให้รู้สึกเอามากๆจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ว่ากับใคร (สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง)
การรอคอยต้องอาศัยความเข้มแข็งและอดทนเสมือนบททดสอบชีวิต (ความอดทนนั้นขมขื่น แต่ผลของมันหวานชื่นเสมอ )
และสำคัญที่สุดคือต้องรู้จักให้อภัย เมื่อปล่อยวางได้ เราก็พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เช่นเดียวกัน
แสงที่ส่องประกายลอดต้นโอ๊คมายิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า การให้อภัยที่เกิดขึ้นจากความรัก เป็นสิ่งที่สวยงามและพร้อมจะส่องนำทางชีวิต
ให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมีความหวัง เพราะเราไม่ได้เดินไปคนเดียว.........
เปรียบชีวิตเหมือนเดินทางกลางป่าเขา
มีร่มเงา บ้างโล่งแจ้ง แฝงชุ่มชื้น
บ้างฝนตกบ้างเหน็บหนาวบ้างขมขื่น
ทางจะลื่นอันตรายหมายมุ่งไป
เพียงแค่เรามีใครไปเคียงข้าง
เดินร่วมทางไม่ห่างสร้างความฝัน
แค่ผูกใจของเราสองใกล้ชิดกัน
ปัญหาอันรุนแรงใดไม่กลัวเกรง

สุดท้ายเพลงเพราะๆก็มีนัยยะแฝงอยู่นี่เอง "การให้อภัย" สำคัญมากในการใช้ชีวีตคู่ เพราะถ้าเราหวังจะได้ แบ่งปัน สุขทุกข์ ให้กำลังใจกันและกัน ช่วยเหลือเกื้อกลูกัน จากการเดินทางชีวิตเป็นคู่ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจและให้อภัยกันด้วย จึงจะสามารถเดินทางชีวิตไปจนถึงที่หมายอย่างมีความสุข

เขียนโดย : เสือยิ้มยาก
เขียนที่ : มหามงคลวิลเลจ
3 ตุลาคม 2554


ที่มาของรูปปกอัลบั้ม //www.tonyorlando.com

คำคมคม ของคนบนโลก
การใช้ชีวิตคู่ให้ยืนยาว ไม่เพียงอาศัยความรักเป็นพื้นฐานแต่ยังต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจและให้อภัยกันด้วย
มารดาของผู้เขียน 2010





 

Create Date : 03 ตุลาคม 2554
2 comments
Last Update : 13 พฤษภาคม 2555 0:01:23 น.
Counter : 651 Pageviews.

 

เป็นนักเขียนมืออาชีพได้เลยนะคะคุณฟอร์ด...สามารถเพิ่มคุณค่าของเพลงเพลงนึงจนทำให้ฟังแล้วน้ำตาไหลเลย...^^ ...จะติดตามงานเขียนอีกนะคะคุณฟอร์ด ^^

 

โดย: auaee IP: 125.26.237.254 4 ตุลาคม 2554 16:12:31 น.  

 

ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจครับคุณ auaee
มันทำให้ผมรู้สึกว่าจะต้องเขียนต่อไปและทำให้ดีกว่าเดิม

 

โดย: เสือยิ้มยาก (fordnakrub ) 6 ตุลาคม 2554 9:32:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


fordnakrub
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




cursor
Friends' blogs
[Add fordnakrub's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.