|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ว่างๆเลยหนีตามกาลิเลโอ
ปิดเทอมฤดูร้อนวนมาอีกครา ฤดูดูหนังอยู่กับบ้านก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยประการละฉะนี้
"หนีตามกาลิเลโอ"เป็นหนึ่งในเรื่องที่ตัดสินใจเช่ามา มาดูเอาตอนนี้ก็แอบรู้สึกเช้ย เชย เหมือนกันนะ แถมกว่าจะได้ดู แผ่นกระตุก ต้องเอาไปเปลี่ยน(ได้เป็นวีซีดีกลับมาซะงั้น) ปาเข้าไป 3 รอบ แต่ ดู ตอนไหนมันก็คือ ดู เหมือนกันล่ะน่า ดูช้าก็ใช่ว่าหนังมันจะหมดอายุซะเมื่อไร เพราะเหตุนี้"หนีตามกาลิเลโอ"จึงยังสดและมีคุณภาพสำหรับเราเสมอ
หนังพูดถึง กฏ และการยอมรับในกฏนั้นๆ โดยมีกฏของกาลิเลโอที่ว่า"วัตถุชนิดเดียวสองชิ้นจะตกลงบนพื้นพร้อมกัน แม้จะมีมวลต่างกัน"เป็นตัวยืนพื้น
ตัวละคร"เชอรืรี่"ดูจะเป็นตัวละครที่มีมิติมากและสามารถจับต้องได้จริงในสังคมปัจจุบัน เป็นคนเก่ง มั่นใจ ที่สำคัญตัวเองมักถูกเสมอ เรียกว่าอีโก้สูงและยึดตัวเองเป็นสูญกลางจักรวาลก็คงจะไม่ผิดนัก เชอร์รี่ไม่เข้าใจว่าการปลอมลายเซ็นต์อาจารย์เพื่อใช้ห้องเขียนแบบ การแอบขึ้นรถไฟโดยไม่ใช้ตั๋ว การโกงเจ้าของร้านอาหารจะเป็นเรื่องใหญ่หรือผิดตรงไหน ทั้งๆที่สิ่งที่เธอทำไปเป็นการแหกกฏที่สังคมสร้างขึ้น(เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข) ทั้งสิ้น น่าแปลกที่เชอรรืรี่ยอมรับกฏของกาลิเลโอ(อาจจะเป็นเพราะว่ามันตายตัวและเป็นรูปธรรม)แต่กลับปฏิเสธกฏเกณฑ์ของสังคมอย่างสิ้นเชิง(อาจจะเป็นเพราะ เป็นโรคชอบความเสี่ยง หรือ เสพติดความท้าทายก็เป็นได้)
"นุ่น"เป็นหญิงสาวที่น่ารัก สดใส แต่ในขณะเดียวกันก็เอาแต่ใจ และค่อนข้างรั้นอยู่ไม่น้อย ถ้าจะให้บอกว่านุ่นเป็นคนอย่างไรคงไม่มีใครบอกได้ดีเท่าเชอร์รี่อีกแล้ว ที่เธอบอกว่านุ่น"ชอบให้พูดตรงๆ แต่พอพูดไปแล้วก็รับไม่ได้"นิสัยข้อนี้ของนุ่นได้แสดงให้เราเห็นตั้งแต่ฉากเลิกกับแฟนในตอนต้นของเรื่อง กับประเด็นที่ตั้ม ณ บางกอกได้ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเลิกรา คือ เธอ ล้ำเส้น นุ่นไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ และถ้าเลิกทันที ซึ่งก็สมใจ(ตั้ม ณ บางกอก)โดยปริยาย ในภายหลังนุ่นก็ได้เรียนรู้ที่จะไม่ล้ำเส้นความสัมพันธ์แม้จะไม่ใช่กับแฟนแต่ก็กับความสัมพันธ์กับเชอร์รี่ ที่นุ่นยอมที่จะไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องไลฟ์สไตล์ของเชอร์รี่(ที่ค่อนข้างซกมกอยู่พอตัว)
"ตั้ม(ณ ปารีส)"ตัวละครที่ชอบที่สุด แต่ชวนฉงนที่สุดว่ามันจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกจริงๆไหมหนอ ทัศนคติ มุมมอง การใช้ชีวิตช่างโดดเด่น ไม่เหมือนใคร แถมคำพูดทุกคำที่เอ่ยออกมายังคมคาย และสะท้อนแง่คิดในเรื่องธรรมดาที่เรามองข้ามกันไปได้อย่างตรงไปตรงมาสุดๆ ไม่ว่าจะเป็น"ไม่สนใจไฟจราจร ข้ามถนนมองขวา คนที่มี 2 อย่างรวมกันนี้มีแค่คนไทยเท่านั้นแหละ" "มาถึงที่นี่เพื่อมาอยู่ในครัว หั่นผักงกๆเนี่ยหรองาน ที่เมืองไทยไม่มีให้หั่นหรอ" "มีคนมากมายที่สนใจ ผลลัพธ์ มากกว่าวิธีการ ผลก็คือทำให้เกิดความมักง่าย" "งานหรอ ก็ทำบ้างถ้าเงินหมด" "แค่ใช้ชีวิตก็ยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรแล้ว" "ก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ ไม่ได้โดนบังคับให้ทำซะหน่อย" และ"ผิดก็คือผิด"ประโยคง่ายๆที่พยายามจะให้เชอร์รี่เข้าใจ กระนั้นก็ช่างยากลำบากเหลือเกินกว่าเชอร์รี่จะเข้าใจ
มีหลายคนที่ไปดูหนังเรื่องนี้มาแล้วเห็นว่าเชอร์รี่ ดูไม่สำนึกซักเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวเราคิดว่าตอนสุดท้ายตัวละครตัวนี้เรียนรู้นะ ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิดและสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น (เพื่อนถูกจับซะขนาดนี้คิดไม่ได้ก็บ้าแล้ว)เชอร์รี่ก็พยายามทำดีที่สุดเท่าที่ตัวเองทำได้แล้วเหมือนกัน อย่างตรงที่พยายามขอร้องให้ฟาบริซิโอไม่เอาเรื่องนุ่น โทรไปหาตั้ม ณ ปารีส เพื่อหาทางช่วย จนได้จูเซ็ปเป้มาคุยให้จนนุ่นไม่ต้องติดคุก แต่ที่ไม่กลับเมืองไทยเราเข้าใจนะ เพราะถึงแม้จะทำผิดไว้ ยังมีเรื่องเรียนคาราคาซัง แต่ก็เจอเป้าหมายและก็สิ่งที่ต้องการแล้ว มีคนยอมรับ มีคนเห็นค่าในผลงานขนาดนี้ กลับไปคงไม่มีคงความหมายอะไร (ส่วนที่ถามจูเซ็ปเป้ว่าต้องขออนุญาตใช้ห้องเขียนแบบมั้ย น่าจะเป็นเพราะคงเจ็บปวดกับเหตุการณ์นั้นอยู่ไม่น้อย ถามเพื่อเป็นเกราะให้ตัวเองมั่นใจ เป็นการยืนยันว่าจะไม่มีวันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นกับตัวเองได้อีกมากกว่านะ)
สำหรับเรื่องที่ว่าตัวละครตัวนี้ดูมีความสุข ไม่ได้รับบทเรียนอย่างสาสม เราว่ามันก็ไม่จำเป็นนะ ที่บทเรียนที่สาสมจะมาแบบรูปธรรมเสมอไป อย่างเชอร์รี่ สิ่งที่ตัวละครได้รับก็คือ ความรู้สึกผิดในจิตใจ ที่จะเป็นเครื่องเตือนไม่ให้ทำผิดซ้ำสองอีก และได้บทเรียนที่จะทำให้สามารถเรียนรู้เพื่อก้าวเป็นผู้ใหญ่ได้ต่อไป
หนังเรื่องนี้ทำให้เห็นและก็เข้าใจอะไรหลายๆอย่างนะ บางเรื่องอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกแต่มักไม่เห็นจนกว่าจะมีคนชี้ให้ดู ที่ง่ายๆเลยก็คือ เวลาคนเรามีปัญหาความอบอุ่นความเข้าใจจากครอบครัวนี่แหละคือสิ่งที่วิเศษที่สุด เมืองนอกที่ว่าศิวิไลซ์หนักหนา ก็ใช่ว่าจะมีแต่ความสุขสบาย การทำงานเมืองนอกไม่ได้เหนื่อยน้อยกว่าเมืองไทยเลย หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เราเห็นว่าชีวิตไม่สวยหรู ง่าย อย่างที่จินตนาการไว้ การใช้ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว คำตอบของคนหนึ่งอาจไม่ใช่คำตอบของใครอีกคน อยู่ที่เราว่าจะเลือกอย่างไหน เพราะชีวิตก็อย่างงี้
และเวลานี้ ถ้าใครบางคนยกป้ายขึ้นมาถามว่า"ใครชอบหนังเรื่องนี้บ้าง"เราก็พร้อมจะยกมืออย่างไม่ลังเลเลยล่ะ
Create Date : 11 มีนาคม 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 11 มีนาคม 2553 2:50:14 น. |
Counter : 863 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Tukta21 11 มีนาคม 2553 3:06:14 น. |
|
|
|
|
|
|
"นักศึกษาปี ๔ ที่หลงรัก COUNTRY STYLE
ชื่นชอบ
วรรณกรรมเยาวชนและบ้าซีรี่ส์ญี่ปุ่น"
|
|
|
|
|
|
|
จำได้ว่าดูจนถึงตอนจบ น้ำตาไหลพรากเลยเจ้าค่ะ