|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Do you remember the first time??
ครั้งแรก (กับชีวิตน้อยๆ ที่อุบัติ)
(เล่าเรื่องจากประสบการณ์จริง ที่เหมือนจะอิงนิยาย)
**เชื่อเถอะ ว่าชีวิตคนมัน drama มากกว่าที่คิด**
-1-
อุแว้ อุแว้ อุแว้... แว้...... แว้.........
เสียงร้องนี้ดังขึ้น และดังขึ้นเรื่อยๆ แว่ววนอยู่ในสัมผัสการได้ยินของฉัน ในตอนนี้ ฉันยังรู้สึกตัวตลอดเวลา ความรุ้สึกของหยดน้ำอุ่นๆ ไหลปริ่มออกมาจากเบ้าตาเล็กๆ ของฉัน กลิ้งผ่านส่วนโค้งบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว ลงไปบนเบาะผ้าสีขาวของเตียงผ่าตัด อีกเสี้ยววินาทีต่อมาฉันสงสัยกับตัวเองว่าทำไมน้ำตามันเอ่อล้นออกมา ฉันบอกได้ว่ามันไม่ใช่การร้องไห้ หรือตื้นตันใดๆ ไม่มีความรู้สึกของการเจ็บปวดแสนสาหัส ไม่มีความรู้สึกของความทรมาน แต่เหมือนเป็นการออสโมซิสของต่อมน้ำตาและบรรยากาศภายนอกเท่านั้นเอง มันเป็นการซึมออกมาในสภาพที่ปราศจากการควบคุมของร่างกาย ภายในอีกสองเสี้ยววินาทีให้หลัง ฉันคลายข้อสงสัยนั้น ด้วยเหตุผลที่ผุดขึ้นมาอย่างง่ายๆ ว่า เรื่องนี้ไม่น่าแปลกอะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฉันที่น้ำตาไหลออกมาจากกระบวนการภายในร่างกายแบบที่ควบคุมไม่ได้ อาจเป็นเพราะยาชา ที่ทำให้ฉันจับจบอยู่กับบรรยากาศรอบข้าง มากกว่าการรับรู้ทางร่างกาย ส่วนความรุ้สึกภายในจิตใจของฉัน ฉันอยากจะให้มันชาไปกับร่างกายก็แค่นั้นเอง
อุแว้ อุแว้ อุแว้...
เสียงร้องยังคงดังซ้ำไปมา และดังขึ้น ตลอดเวลา ฉันไม่เคยได้ยินเสียงร้องแบบนี้มาก่อน เสียงร้องที่ดังอยู่ในห้องผ่าตัด เสียงของชิวิตใหม่ ชีวิตเล็กๆที่เพิ่งก่อกำเนิดขึ้นบนโลก นี่เป็นการเข้าห้องผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต ฉันรู้แค่เพียงว่า เด็กคนนี้แข็งแรงมากจริงๆ ร้องเสียงดังลั่นเลย จะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชายก็ได้ ตอนโตน่าจะให้ไปสมัครประกวดร้องเพลงในรายการ Reality show แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอน รายการแบบนี้อาจจะล้าสมัยไปแล้ว ในวันที่น้องโตขึ้น ตัวเลือกต่อไปน่าจะเป็นทหาร ทำงานราชการมั่นคงดี เสียงอย่างนี้ท่าทางสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาได้ชัดแจ้ง อืมมม...ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ได้ทุกเวลา ในขณะที่เวลาผ่านไปเพียงอีกประมาณ แปดเสี้ยววินานทีเท่านั้น ฉันพยายามเงยหน้าขึ้นมอง ยังไม่เห็นหน้าน้องเลย ตอนนี้ต่อมความอยากรู้อยากเห็นเริ่มล้าตามสภาพร่างกายที่อ่อนเพลีย
วันนี้ วันที่ 4 ธันวาคม พรุ่งนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ ฉันนึกถึงพ่อขึ้นมา พ่อยังไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องที่ฉันมาอยู่ที่นี่ ฉันบอกพ่อไม่ได้ เพราะพ่อเคยเตือนฉันแล้ว คำสอนของพ่อผุดขึ้นมา พ่อบอกว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร อย่าเอาตัวเข้าไปอยู่ในที่นั่งที่เสียเปรียบ แต่จะมาให้ฉันสำนึกอะไรตอนนี้ก็สายไปแล้ว คุณหมอเริ่มต้นเก็บข้าวของในห้องผ่าตัด หลังจากรายงานผลให้ฉันฟังในขณะที่สติของฉันยังเต็มเปี่ยม เพราะคุณพยาบาลบอกฉันว่า เก่งมากค่ะ น้องทำดีมากค่ะ คำพูดแค่นี้ทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นมาจริงๆ คำพูดง่ายๆ ของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
อุแว้ อุแว้ อุแว้... อุแว้ อุแว้ อุแว้... เสียงร้องยังคงกึกก้องต่อไป
-2-
เมื่อเช้าฉันเดินเข้ามาที่นี่คนเดียว เข้ามาติดต่อที่โรงพยาบาลตามที่หมอนัดไว้ นั่งรอไม่นาน ก็มีพนักงานโรงพยาบาล เข็นรถเข็นมารับ ฉันรู้สึกเขินมาก บอกได้ว่าเคิ๊น..เขิน... จริงๆ อยากบอกว่าเดินเองก็ได้ค่ะ แต่ในเมื่อเค้าเข็นมารับแล้วก็นั่งไปละกัน เกิดมาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว ฉันไม่เคยนั่งรถเข็นมาก่อนเลย ฉันนึกไปถึงตอนนั้น ตอนที่ฉันชึ้นไปยืนบนรถเข็นของซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วบอกให้เขาคนนั้นเข็นรถเข็นให้ฉัน เข็นไปเร็วๆ เล้ยยย วู้ววว เราเล่นกันเหมือนเด็กๆ เขาก็เข็นฉันไปตามทางแคบๆ ที่ขนาบไปด้วยห่ออาหารกึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง และกล่องน้ำผลไม้สีสดใส วันนั้นเราใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนสีสันของกล่องน้ำผลไม้และห่ออาหารสำเร็จรูปพวกนั้นเอง ในวันนั้น ใครจะคาดคิดได้ว่า เขาคนนั้นจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องเข้ามาที่นี่ ในวันนี้
จริงๆ แล้วฉันปวดท้องมาตลอดทั้งคืน แต่ยังอยู่ในระดับที่ทนได้ ปวดเสียดๆ เหมือนอย่างที่เคยปวดมาก่อนหน้านี้ ปวดมาได้ 2-3 อาทิตย์แล้ว ช่วงนั้น เป็นเวลาคาบเกี่ยวกับการที่ฉันตัดสินใจเดินออกมาจากชีวิตของเขา ฉันปิดการติดต่อสื่อสารทุกอย่าง และฉันคิดว่าฉันใจแข็งพอที่จะไม่กลับไปหาเขาอีก เขาเองที่เป็นฝ่ายตามหลอกหลอนฉันมาตลอด ฉันเครียด ฉันปวดท้องทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องของเราทั้งสอง ที่ต่อไปนี้จะกลายเป็นอดีตที่ปวดร้าว แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องกำจัดมันออกไป จากความทรงจำ วันนี้จะเป็นวันที่ฉันตื่นขึ้นมาโดยปราศจากความทรงจำอันเลวร้ายอันนั้นแล้ว ชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้น บอกฉันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง ฉันเชื่อว่า ห่างออกไปในรัศมีไม่ถึง 1 กิโลเมตร ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้ ต้องมีบางชิวิตที่ต้องจบไปในเวลาเดียวกัน ตัวฉันและชีวิตเหล่านี้เป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ในโลกที่ยังคงหมุนไปตลอดกาล โดยไม่ต้องชาร์จแบต
อุแว้ อุแว้ อุแว้... เสียงร้องของน้องตอนนี้เบาลง และค่อยๆ เงียบหายไปในที่สุด
ฉันนั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัด นางพยาบาลเข็นน้องออกมาจากประตูห้องเพื่อไปที่ nursery ฉันเห็นน้องหลับไปแล้ว ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าน้องเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย ฉันคิดแค่เพียงว่า ครั้งนี้แล่ะ จะเป็นครั้งแรก และครั้งเดียว ฉันจะไม่พลาดอีกแล้ว ฉันเริ่มรับรู้ความทรมาน หลังจากที่ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์
พึบบ!! เสียงผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบลุกขึ้น มองไปที่น้องด้วยความปลื้มปิติ ฉันเห็นร่องรอยแห่งความสุขปกคลุมไปทั่วใบหน้า ถ้าความรู้สึกนั้นพูดออกมาเองได้ มันจะตะโกนออกมาว่า ผมได้เป็นพ่อคนแล้วคร้าบบบ ชายคนนั้นรีบเดินตามรถเข็นและพยาบาลไปด้วยความรวดเร็ว ฉันว่าเขาคงลืมคิดถึงผู้หญิงที่เพิ่งให้กำเนิดชีวิตน้อยๆ นั้น ไปชั่วขณะ ทำไมนะ ชีวิตของเราต้องเต็มไปด้วยการเลือก การพบ การจาก ความสุข ความเจ็บปวด ฉันว่า ฉันผ่านบทเรียนครั้งนี้ได้แล้ว

-3-
อุแว้ อุแว้ อุแว้... แว้...... แว้......... ฉันย้อนคิดไปถึงเสียงน้อยๆ แห่งชีวิตเสียงแรก ที่เล็ดลอดเข้ามาผ่านโสตประสาทของฉัน
เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง ตอนนั้นที่คุณหมอ ดึงสายยางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดของกาวสติ๊ก ออกมาจากช่องปากของฉัน หลังจากที่พี่พยาบาล ชมว่าฉันเก่งมาก ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เธอลากเตียงของฉันออกไปจากห้อง แล้วบอกให้ฉันนอนพักผ่อนก่อนซักพัก เตียงของฉันจอดอยู่ตรงด้านหน้าห้องที่มีเสียงน้องร้องออกมา ด้วยนิสัยของฉันที่ต้องคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา นิสัยที่เรียกได้ว่าเป็น Hyperactive เสียงร้องของอันหนักแน่นในเวลานั้น ทำให้ฉันคิดอะไรไปได้หลายอย่าง
ก่อนนั้นไม่นาน คุณหมอบอกว่า ฉันไม่เป็นอะไรมาก ไม่มีแผล เป็นแค่กระเพาะอักเสบ และมีแก๊ซเยอะ คุณหมอพูดพร้อมชี้ไปที่หน้าจอมอนิเตอร์ ที่มีภาพภายในกระเพาะของฉันปรากฏอยู่ ส่วนคุณพี่พยาบาลผุ้ช่วย ทำการสอดลวดเข้าไปในท่อ ลวดที่ปลายมีกรรไกรตัดเนื้อเยื่อติดอยู่ สิ่งนั้นทำหน้าที่ของมันอย่างดีเยี่ยม ...จึก ...จึก ...สองที ที่ฉันมองเห็นว่ามันบุกรุกเข้ามาภายในกระเพาะของฉัน แล้วชิงเอาเนื้อเยื่อออกไปสู่โลกภายนอก คุณหมอบอกว่า เอาเนื้อเยื่อไปตรวจเผื่อมีการติดเชื้อ น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ คงเป็นเพราะท่าทางที่ฉันต้องนอนตะแคง อยู่นิ่งๆ น้อมรับสิ่งแปลกปลอมให้ทะลวงลงไปในช่องท้องแต่โดยดี ฉันลืมตา พยายามแหงนหน้าดูที่จอตลอดเวลา หลังจากที่หายกระอักกระอ่วน และคลื่นไส้ มันเป็นอาการที่เกิดจากความพยายามกลืนกล้องติดท่อสายยางนั้นเข้าไป สิ่งนี้เรียกว่า GASTROSCOPY หรือ การส่องกล้อง เพื่อตรวจในช่องท้อง นั่นเอง
จริงๆ แล้ว ฉันก็งงๆ อยู่เหมือนกัน ว่าฉันต้องมาเข้าห้องผ่าตัด ขนาดนี้เลยหรือ คุณหมอบอกว่า ส่องกล้องแป๊ปเดียว แค่สองนาทีก็เสร็จ แต่ก็จริง เวลาที่ฉันเตรียมตัวก่อนเข้าห้องผ่าตัด มันนานกว่ามาก กว่าจะทำการฝากของไว้ในตู้เซฟ ที่แผนกผู้ป่วยใน กว่าจะโดนเข็นมาถึงหน้าห้องผ่าตัด เข้าไปเตรียมถอดเสื้อผ้าออกทุกชิ้น ใส่เสื้อคลุมสีเขียว มันกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ตอนที่ฉันกลืนกล้องติดสายยางยาวเหยียดนั้นเข้าไป ฉันรู้สึกได้ว่ามันกำลังจ้วงเข้าไปในลำคอ ผ่านหลอดอาหาร ลงไปกระทบกับกระเพาะ เป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่ฉันจะยอมให้เกิดขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายวันนั้นออกมามากโขอยู่ 8 พันกว่าบาท เป็นจำนวนเงินที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะต้องเสียไป ตอนนี้ยังคิดว่าคุณหมอให้ฉันมาส่องกล้องเร็วไปหรือเปล่า เพราะฉันไม่ได้ปวดท้องมากจนทนไม่ได้ แต่ปวดเรื้อรัง ทานยามาเกือบเดือนก็ไม่หาย อาการนี้ที่ฉันคิดว่ามันมีส่วนมาจากความเครียดที่เกิดขึ้น กับเรื่องของเขาคนนั้น เรื่องที่ฉันบอกว่าเป็นความซวยครั้งสำคัญของชีวิต
ตอนนี้ ฉันต้องทานยาต่อไปอีก คุณหมอไม่ได้ห้ามอะไร แต่ผุ้คนรอบข้างที่มีประสบการณ์กับโรคกระเพาะ บอกว่าฉันควรเลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่ สองสิ่งนี้ทำให้ชีวิตฉันอยู่บนจุดสูงสุด แต่ต่ำสุดของชีวิตมาแล้ว ดีล่ะ ตอนนี้ฉันจะอยู่ตรงกลางบ้าง ฉันพยายามเลือกทานอาหารมากขึ้น ออกกำลังกายถี่ขึ้น เพื่อวันข้างหน้าจะได้ใช้ชีวิตให้สนุกได้เหมือนเดิม
เรื่องทั้งหมดนี้ คุณพ่อฉันไม่มีทางรู้เด็ดขาด เพราะต่อแต่นี้ฉันจะไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่นั่งที่เสียเปรียบ สุขภาพจิตของฉันจะดีขึ้น เพราะฉันทิ้งมันไปแล้ว
Create Date : 10 ธันวาคม 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 10 ธันวาคม 2551 19:44:01 น. |
Counter : 683 Pageviews. |
|
 |
|
|
| |
โดย: getterTu 10 ธันวาคม 2551 22:33:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพทสี IP: 58.10.64.64 18 ธันวาคม 2551 11:14:35 น. |
|
|
|
|
|
|
|
จะได้มาเลี้ยงเบียร์ผมซะที ฮ่าๆ