เที่ยวเมืองแพร่ คุ้มเจ้าหลวงแพร่องค์สุดท้าย
สัปดาห์ก่อนมีโอกาสกลับแพร่ เลยไปเที่ยวคุ้มเจ้าหลวง ซึ่งเป็นของเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย คือ เจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อราว พศ. 2435...
ด้านหน้าคุ้มจะมีอนุสาวรีย์เจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ ตั้งอยู่ มีข้อความจารึกไว้ว่า เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ (พระยาพิริยวิไชย) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายผู้ครองเมืองแพร่ ระหว่าง พ.ศ 2432-2445
เจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ สืบเชื้อสายมาจากต้นตระกูลคือเจ้าเทพวงศ์ฯ เจ้าชายจากเมืองเชียงตุง กับเจ้าสุชาดา ซึ่งเป็นธิดาของพญามังไชยผู้ครองเมืองแพร่ในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ต่อกับช่วงต้นกรุงธนบุรี (ภาพเจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ และเจ้าบัวไหล ชายา)
เมื่อปี พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงประกาศยกเลิกระบบหัวเมืองประเทศราช งดประเพณีการถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทอง มีการส่งข้าหลวงจากส่วนกลางมากำกับดูแลการปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด เป็นการลดอำนาจของเจ้าหลวงลง โดยข้าหลวงที่ส่งมาประจำเมืองแพร่คนแรก คือพระยาสุรราชฤธานนท์ (โชค) ต่อมาก็ได้ให้พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่ สุวรรณบาตร) มาเป็นข้าหลวงปกครองเมืองแพร่แทน ซึ่งเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นก็คือ เงี้ยวปล้นเมืองแพร่ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2445 พอดี (ภาพพระยาไชยบูรณ์)
หลังเหตุการณ์นี้เจ้าหลวงแพร่ ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกกบฎเงี้ยว ท่านจึงจำต้องลี้ภัยไปอยู่ที่หลวงพระบาง และไม่ได้กลับมาที่แพร่อีกเลย จนสิ้นชีวิต..
คุ้มเจ้าหลวงกลายเป็นที่ตั้งของกองทหารม้าจากกรุงเทพฯที่ส่งมารักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองแพร่อยู่ระยะหนึ่ง บริเวณใกล้ ๆ คุ้มเจ้าหลวงเคยมีคอกม้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และสมัยรัชกาลที่ 6 มีการดัดแปลงเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดชายคือ โรงเรียนพิริยาลัย เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เจ้าหลวงแพร่องค์สุดท้าย เมื่อปี พศ. 2455 ต่อมาโรงเรียนนี้ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ถนนยันตรกิจโกศล
จากนั้นคุ้มเจ้าหลวงก็ใช้เป็นจวนหรือบ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่มาเป็นเวลานาน จนเมื่อ 5 ธันวาคม 2547 ได้มอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ดูแล มีการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นจนถึงปัจจุบัน
คุ้มเจ้าพิริยะเทพวงศ์ฯ ที่สร้างขึ้นนั้น เป็นอาคารแบบกึ่งตะวันตกที่นิยมสร้างในสมัยนั้น ตัวอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น
หลังคาคุ้มเป็นแบบทรงปั้นหยา มีลวดลายขนมปังขิงประดับที่หน้าจั่ว ช่องลม ประตู
มีหน้าต่างทั้งหมด 72 บาน ไม่มีการฝังเสาเข็ม แต่ใช้ไม้ซุงที่เป็นไม้เนื้อแข็งรองรับฐานเสาทั้งหลัง ด้านหน้ามีมุขและทางขึ้นทั้งสองด้าน
ด้านในถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ บริเวณห้องโถงทางเข้าด้านล่างมีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนกันไป
ห้องชั้นล่างทางด้านซ้ายมือ มีการจัดโต๊ะเป็นห้องประชุม
บันไดขึ้นไปชั้นบน
บนชั้นสองของตัวอาคาร ตรงหน้ามุข มีการจัดเป็นห้องรับแขก
ระเบียงด้านหน้าบนชั้นสอง สามารถมองออกไปเห็นโรงเรียนนารีรัตน์ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดหญิง ที่อยู่บนฟากถนนฝั่งตรงกันข้ามกันได้
ด้านบนนี้ยังมีห้องที่ใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ เมื่อคราวเสด็จเยี่ยมราษฎร์เมืองแพร่ เมื่อ พศ. 2501
นอกจากห้องต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อาคารแห่งนี้ยังมีห้องใต้ถุน ซึ่งใช้เป็นที่คุมขังนักโทษในสมัยก่อน มีความสูงไม่น่าจะเกิน 160 ซม. ทำให้เวลาเข้าไปเยี่ยมชม ต้องก้มตัวตลอดเวลา มีเสียงร่ำลือกันว่า ผีดุ ทำให้ต้องมีการย้ายจวนผู้ว่าราชการจังหวัดไปสร้างไหม่ ทางด้านหลังของคุ้มหลวงแห่งนี้...
เวลาเข้าไปอยู่ในห้องใต้ถุนนี้แล้ว ทำให้ความรู้สึกถึงความทุกข์ทรมาณของบรรดานักโทษ ที่ต้องอยู่ในที่คับแคบ อึดอัด ได้มองเห็นโลกภายนอก ผ่านทางช่องหน้าต่างเล็ก ๆ เท่านั้น รอความหวังว่าเมื่อไหร่ประตูจะเปิดออก ให้ได้ออกไปสู่อิสรภาพภายนอกเสียที
ออกมาสู่ภายนอกกันดีกว่า.. คุ้มเจ้าหลวงแห่งนี้ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นประเภทอาคารสถาบันและสาธารณ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ในปี พ.ศ. 2536 ด้วยนะครับ.. ขอจบการเที่ยวด้วยภาพนี้นะครับ สวัสดีครับ..
Create Date : 26 กันยายน 2553 |
|
7 comments |
Last Update : 26 กันยายน 2553 9:37:54 น. |
Counter : 4380 Pageviews. |
|
|
|