Group Blog
 
 
มกราคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
9 มกราคม 2556
 
All Blogs
 
ทำบุญปีใหม่ 2556 วัดพระพุทธบาทสี่รอย

พระพุทธบาทสี่รอย  ผ่านไปผ่านมาอยู่หลายรอบ ไม่เคยแวะเข้าไปสักหน  ครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจ จาก  ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ที่ท่านเคยเล่าไว้ในประวัติว่าได้ไปกราบพระพุทธบาทสี่รอย  และจากท่านพระอาจารย์ไพโรจน์ และท่านพระอาจารย์สุรศักดิ์  ที่ได้มีสถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้บริเวณวัดพระพุทธบาทสี่รอย  จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปนมัสการค่ะ

                 รอยพระบาททั้งสี่รอย  อยู่สูงจากพื้นราบเดินขึ้นบันไดไปไม่ไกลนัก  มีมณฑปครอบ  ลักษณะเป็นรอยหลุมลึกอยู่ในหิน  

บริเวณมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท

ตำนานพระพุทธบาท 4 รอย

เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ได้เสด็จจารึกประกาศธรรม และโปรดเวไนยสัตว์มายังปัจจันตะประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน)จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา เวภารบรรพตซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก 500 องค์ และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขา เวภารบรรพตแห่งนี้

                         เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั้น ก็ได้ทราบด้วยญาณสมาบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่คือ

พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัลป์นี้ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ  พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ  พระพุทธเจ้ากัสสปะ อันมีในที่นี้พุทธสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นประธานเมื่อเห็นเช่นนี้จึงทูลถามว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด

                         พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า ดูก่อนท่านทั้งหลายสถานที่แห่งนี้แม้นว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ทุกๆ พระองค์ และแม้นว่าพระศรีอริยเมตไตร ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ และจักประทับรอยพระบาท 4 รอยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว ( คือประทับลบรอยทั้ง 4 ให้เหลือรอยเดียว ) เมื่อพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลายเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระทาบของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ จึงเกิดเป็นพระพุทธบาท 4 รอย

                       เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้น

                      แล้วก็ทรงอธิษฐานว่าในเมื่อ (เรา) ตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็จักนำเอาพระธาตุของตถาคต มาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทที่นี่ ในเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว 2000 ปี พระพุทธบาท 4 รอยนี้ก็จักปรากฏแก่ปวงชนและเทวดาทั้งหลาย ก็จักได้มาไหว้และบูชา เมื่อทรงอธิษฐานและทำนายไว้ดังนี้แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จไปเชตุวันอารามอันมีในเมืองสาวัตถีนั้นแล

                     เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วเทวดาทั้งหลายก็นำเอาพระธาตุของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ที่พระพุทธบาท 4 รอยเมื่อพระพุทธองค์นิพพานล่วงมาแล้วประมาณ 2000 วัสสา เทวดาทั้งหลายต้องการอยากให้พระพุทธบาท 4 รอย ปรากฏแก่คนทั้งหลายตามที่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไว้ ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้งตัวใหญ่ (เหยี่ยว) ก็บินลงจากภูเขาเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้เพื่อบินลงไปเอาลูกไก่ของชาวบ้าน ( คนป่า ) ที่อยู่ตีนเขาเวภารบรรพต แล้วก็บินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขา มันก็โกรธมากจึงตามขึ้นไปคิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็คิดตามไปค้นหาดู แต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้น แต่เห็นรอยพระพุทธบาท 4 รอยอันอยู่พื้นต้นไม้และเถาวัลย์

                    พรานป่าผู้นั้นก็ทำการสักการะบูชาเสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้านก้เล่าบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายฟัง ข้อความอันนั้นก็ปรากฏสืบๆ กันไปแรกแต่นั้น คนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชามาก แต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่าพระบาทรังรุ้ง (รังเหยี่ยว)

                    ในสมัยนั้นมีพระยาคนหนึ่งชื่อว่า พระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราชศรัทธาอยากเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาท 4 รอย ก็นำเอาราชเทวีและเสนาพร้อมกับบริวารทั้งหลาย เมื่อพระยาเม็งรายกราบนมัสการเสร็จแล้ว ก็นำเอาบริวารของตนกลับสู่งเมืองเชียงใหม่ ก็ตั้งอยู่เสวยราชสมบัติตราบเมี้ยนอายุขัย แล้วลูกหลายที่สืบราชสมบัติก็เจริญรอยตามและได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาท 4 รอย ทุกๆ พระองค์ หลังจากนั้นมาพระบาทรังรุ้งหรือรังเหยี่ยวนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น พระพุทธบาทสี่รอย เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึง4 รอย

มาในสมัยยุคหลังคนทั้งหลายจึงเรียกขานกันว่าพระพุทธบาทสี่รอย คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ ที่ล่วงมาแล้วในภัทรกัลป์นี้ คือ1 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว 12 ศอก2 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ 2 ยาว 9 ศอก3 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เป็นรอยที่ 3 ยาว 9 ศอก4 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ (ศาสนาปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กสุดยาว 4 ศอก

เมื่อมาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือก ผู้ครองนครเชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร 500 คน ก็ขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาท 4 รอย และได้สร้างพระวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราวโดยแต่เดิมถ้าใครจะดูรอยพระพุทธบาทบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไป หรือปืนขึ้นไปดูซึ่งก็คงจะขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้นพระยาธรรมช้างเผือกจึงตรัสสร้างแท่นยืนคล้ายๆนั่งร้านรอบๆ ก้อนหินที่มีพระพุทธบาท สี่ รอย เพื่อที่ผู้หญิงจะได้เห็นรอยพระพุทธบาทด้วย และได้สร้างหลังคาชั่วคราวมุงไว้

                    ต่อมาในสมัยพระชายาเจ้าดารารัศมีก็ได้ขึ้นไปกราบนมันสการพระพุทธบาท 4 รอย และได้มีพระราชศรัทธาก่อสร้างวิหาร เป็นการกราบบูชารอยพระพุทธบาทไว้ 1 หลัง หลักเล็ก ปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้วทั้งหลัง จะเหลือไว้แค่ผนังวิหาร พื้นวิหารและแท่นพระซื่งยังเป็นของเดิมอยู่พอมาสมัยเมื่อปี พ.ศ. 2472 ครูบาศรีวิชัย ก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหารที่เจ้าพระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราว และได้สร้างพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาทไว้ใหม่และได้ลาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทไว้ เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาไปตลอดกาลนาน

                        ครูบาอาจารย์หลายรูป ล้วนเคยมาสักการะรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ และยืนยันว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นสิริมงคล  รวมทั้งมีพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ อยู่บริเวณด้านหลังปลายรอยพระบาท

                  พระอุโบสถ สร้างใหม่ อยู่ฝั่งตรงข้ามรอยพระพุทธบาท  รูปปั้นพญานาคโดดเด่นสะดุดตามาก  บริเวณรอบพระอุโบสถแห่งนี้ มีรายละเอียดของเกล็ดแม้แต่ภายในเพดานปากยังประดับด้วยกระจกสีแดงสด  สอดคล้องกับที่ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่าบริเวณแห่งนี้มีพญานาคมากมาย  แทบจะไม่มีทางเดิน  จนพื้นเป็นสีแดงไปหมด  ( สำหรับเราปุถุชน คนตาบอด มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง )

               พระอุโบสถ ชัยภูมิโดดเด่น  ภายในตกแต่งสวยงาม  ลมพัดเย็นสบาย

ดอกไม้ธูปเทียนที่ชาวบ้านนำมาขาย  สวยงามราคาไม่แพงค่ะ

                     รอยพระพุทธบาทสี่รอย  เมื่อแรกเห็นด้วยตาเปล่า  เป็นภาพที่มองจากระนาบขอบ  จึงดูค่อนข้างยาก  ต้องนำภาพมุมสูงมาอธิบายประกอบจึงมองเห็นเป็นรอยพระบาททั้งสี่รอย  จริงดังในรูป  นับเป็นสิ่งอัศจรรย์เป็นอย่างมาก  และเป็นสิริมงคลที่ได้มากราบนมัสการในสถานที่แห่งนี้ค่ะ  เส้นทางไปขึ้นเขาสูงคดเคี้ยวและค่อนข้างแคบแยกจากถนนใหญ่ประมาณ 30 กม.   ขับรถด้วยความระมัดระวังค่ะ




Create Date : 09 มกราคม 2556
Last Update : 13 มกราคม 2556 17:24:55 น. 3 comments
Counter : 3792 Pageviews.

 
ปัจจัยจประเทศ น่าจะพิมพ์ผิด
ที่ถูกน่าจะหมายถึง

ปัจจันตประเทศ

คำแปล2

น. ประเทศปลายเขตแดน, ชมพูทวีปสมัยโบราณแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๒ เขต ร่วมในเรียกว่า มัชฌิมประเทศ ร่วมนอกเรียกว่า ปัจจันตประเทศ.

ที่เดาออกเพราะฟังธรรมบทเรื่อง สันตติมหาอำมาตย์ ดังนี้ค่ะ

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อ สมเด็จพระจอมมุนีนาถ บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอย่ ณ เชตวันมหาวิหาร ในเขตพระนครสาวัตถี ระหว่างนั้น สันติมหาอำมาตย์ กลับจากการยกทัพไปปราบปัจจันตชนบท ที่กำเริบ ของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะได้ปูนบำเน็จรางวัลให้แก่แม่ทัพผู้ชนะศกอย่างเต็มที่แล้ว ยังทรงพระกรุณา พระราชทานราชสมบัติให้แก่สันตติมหาอำมาตย์ได้ครอง ๗ วันอีกด้วย

ตลอดเวลา ๗ วัน ที่สันตติมหาอำมาตย์ได้ครองราชดุจพระราชานั้นเขาได้ใช้ชีวิตสำเริงสำราญอย่างเต็มที่ ทั้งสุรา ทั้งนารี ขับระบำรำฟ้อนถึงวาระวันที่ ๗ อันเป็นวันสุดท้าย สันตติมหาอำมาตย์แต่งตัวด้วยเครื่องทรงของพระราชา นั่งบนคอช้างพระที่นั่งไปสู่ท่าอาบน้ำ เห็นพระบรมศาสดากำลังเสด็จเข้าบิณฑบาตที่ประตูเมือง ก็ผงกศีรษะลงถวายพระบังคม
สมเด็จพระผู้มีพระภาค ทอดพระเนตรสันตติมหาอำมาตย์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ มักจะเป็นที่เข้าใจกันว่า ทรงเห็นเหตุอันควรปรารภ ซึ่งถ้ากราบทูลถามเหตุ และทรงเล่าประทานก็จะเป็นประโยชน์แก่บรรดาสงฆ์และพุทธบริษัททุกครั้ง ดังในครั้งนั้นก็เช่นเดียวกัน พระอานนท์ จึงขอประทานโอกาส ทูลถาม

ทรงตรัสว่า "อานนท์ เธอจงดูสันตติมหาอำมาตย์...ในวันนี้เองเขาทั้งประดับด้วยเครื่องอลังการแห่งพระราชาเช่นนี้ จักมาสู่สำนักเรา จักบรรลุพระอรหัตตผลในเวลาเรากล่าวคาถาเพียงแค่จบบท ๔ แล้ว เขาจักนั่งบนอากาศสูงชั่ว ๗ ลำตาล และปรินิพาน"

เดี๋ยวอ่านบล๊อกต่อ


โดย: มณี IP: 180.183.251.51 วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:9:47:03 น.  

 
มาดูที่ตัวหนังสือในรูปเขียนว่า ปัจจันตประเทศ ค่ะ มาตรวจคำผิดให้ก่อน ฮิๆ

ในประวัติหลวงปู่ สี ฉันทสิริ (ลี จันทสิริ) ท่านก็เดินทางมานมัสการ พระบาทสี่รอยค่ะ เพิ่งรู้ว่าอยู่ที่เชียงใหม่ นะเนี่ย


โดย: มณี IP: 180.183.251.51 วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:9:49:35 น.  

 
thanks ช่วยตรวจคำผิด แก้ไขแล้วจ้ะ ( copy เขามาอีกที )
เรื่องสันตติมหาอำมาตย์ เศร้าเสียใจเพราะนางรำ hypoglycemia เสียชีวิตนั้น พระพุทธองคฺทรงตรัสสั่งสอน ให้ปล่อยวางขันธ์ 5 ดังนี้

" กิเลสกังวลใด ที่มีมาในอดีต ... วาง เสีย
กิเลสกังวลใด ที่จะมีมาในอนาคต....วาง เสีย
กิเลสกังวลใด ในปัจจุบัน...วาง เสีย
ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ ละวางเสีย จักเป็นผู้สงบระงับ"

ผู้ใดปล่อยวางขันธ์ 5 ได้อย่างสิ้นเชิง ย่อมบรรลุอรหัตตผล แต่มันก็ยากนะ ในสมัยพุทธกาลแต่ละท่านล้วนสั่งสมบุญบารมีมาเต็มที่แล้ว เมื่อได้ฟังพระดำรัสเพียงเล็กน้อยจึงบรรลุอรหัตตผลโดยง่าย ส่วนเราปฏักถึงกระดูกบางครั้งยังไม่อาจถอดถอน นะเออ เป็นไปตามอินทรีย์บารมีจ้ะ


โดย: mcayenne94 วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:11:13:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

mcayenne94
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]




Bangkok

Kyoto

Sydney

Mcayenne94's Diary มีวัตถุประสงค์เพื่อบันทึกเรื่องราวของเจ้าของบ้านและสิ่งแวดล้อม ไม่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการ จัดจำหน่าย ต้นไม้ดอกไม้ หรือสิ่งใด อนุญาตให้นำภาพถ่าย พร้อมชื่อMcayenneผู้ถ่ายภาพไปใช้ประโยชน์ได้ และสงวนสิทธิ์ไม่อนุญาตให้นำภาพถ่าย Mcayenne ไปใช้ โดยการดัดแปลงตัดต่อหรือลบชื่อภายในภาพ
Friends' blogs
[Add mcayenne94's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.