ทำบุญปีใหม่ 2556 วัดพระพุทธบาทสี่รอย
พระพุทธบาทสี่รอย ผ่านไปผ่านมาอยู่หลายรอบ ไม่เคยแวะเข้าไปสักหน ครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจ จาก ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ที่ท่านเคยเล่าไว้ในประวัติว่าได้ไปกราบพระพุทธบาทสี่รอย และจากท่านพระอาจารย์ไพโรจน์ และท่านพระอาจารย์สุรศักดิ์ ที่ได้มีสถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้บริเวณวัดพระพุทธบาทสี่รอย จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปนมัสการค่ะ รอยพระบาททั้งสี่รอย อยู่สูงจากพื้นราบเดินขึ้นบันไดไปไม่ไกลนัก มีมณฑปครอบ ลักษณะเป็นรอยหลุมลึกอยู่ในหิน บริเวณมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท ตำนานพระพุทธบาท 4 รอย เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ได้เสด็จจารึกประกาศธรรม และโปรดเวไนยสัตว์มายังปัจจันตะประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน)จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา เวภารบรรพตซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก 500 องค์ และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขา เวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั้น ก็ได้ทราบด้วยญาณสมาบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่คือ พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัลป์นี้ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ พระพุทธเจ้ากัสสปะ อันมีในที่นี้พุทธสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นประธานเมื่อเห็นเช่นนี้จึงทูลถามว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า ดูก่อนท่านทั้งหลายสถานที่แห่งนี้แม้นว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ทุกๆ พระองค์ และแม้นว่าพระศรีอริยเมตไตร ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ และจักประทับรอยพระบาท 4 รอยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว ( คือประทับลบรอยทั้ง 4 ให้เหลือรอยเดียว ) เมื่อพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลายเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระทาบของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ จึงเกิดเป็นพระพุทธบาท 4 รอย เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้น แล้วก็ทรงอธิษฐานว่าในเมื่อ (เรา) ตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็จักนำเอาพระธาตุของตถาคต มาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทที่นี่ ในเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว 2000 ปี พระพุทธบาท 4 รอยนี้ก็จักปรากฏแก่ปวงชนและเทวดาทั้งหลาย ก็จักได้มาไหว้และบูชา เมื่อทรงอธิษฐานและทำนายไว้ดังนี้แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จไปเชตุวันอารามอันมีในเมืองสาวัตถีนั้นแล เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วเทวดาทั้งหลายก็นำเอาพระธาตุของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ที่พระพุทธบาท 4 รอยเมื่อพระพุทธองค์นิพพานล่วงมาแล้วประมาณ 2000 วัสสา เทวดาทั้งหลายต้องการอยากให้พระพุทธบาท 4 รอย ปรากฏแก่คนทั้งหลายตามที่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไว้ ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้งตัวใหญ่ (เหยี่ยว) ก็บินลงจากภูเขาเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้เพื่อบินลงไปเอาลูกไก่ของชาวบ้าน ( คนป่า ) ที่อยู่ตีนเขาเวภารบรรพต แล้วก็บินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขา มันก็โกรธมากจึงตามขึ้นไปคิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็คิดตามไปค้นหาดู แต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้น แต่เห็นรอยพระพุทธบาท 4 รอยอันอยู่พื้นต้นไม้และเถาวัลย์ พรานป่าผู้นั้นก็ทำการสักการะบูชาเสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้านก้เล่าบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายฟัง ข้อความอันนั้นก็ปรากฏสืบๆ กันไปแรกแต่นั้น คนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชามาก แต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่าพระบาทรังรุ้ง (รังเหยี่ยว) ในสมัยนั้นมีพระยาคนหนึ่งชื่อว่า พระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราชศรัทธาอยากเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาท 4 รอย ก็นำเอาราชเทวีและเสนาพร้อมกับบริวารทั้งหลาย เมื่อพระยาเม็งรายกราบนมัสการเสร็จแล้ว ก็นำเอาบริวารของตนกลับสู่งเมืองเชียงใหม่ ก็ตั้งอยู่เสวยราชสมบัติตราบเมี้ยนอายุขัย แล้วลูกหลายที่สืบราชสมบัติก็เจริญรอยตามและได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาท 4 รอย ทุกๆ พระองค์ หลังจากนั้นมาพระบาทรังรุ้งหรือรังเหยี่ยวนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น พระพุทธบาทสี่รอย เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึง4 รอย มาในสมัยยุคหลังคนทั้งหลายจึงเรียกขานกันว่าพระพุทธบาทสี่รอย คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ ที่ล่วงมาแล้วในภัทรกัลป์นี้ คือ1 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว 12 ศอก2 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ 2 ยาว 9 ศอก3 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เป็นรอยที่ 3 ยาว 9 ศอก4 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ (ศาสนาปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กสุดยาว 4 ศอก เมื่อมาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือก ผู้ครองนครเชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร 500 คน ก็ขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาท 4 รอย และได้สร้างพระวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราวโดยแต่เดิมถ้าใครจะดูรอยพระพุทธบาทบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไป หรือปืนขึ้นไปดูซึ่งก็คงจะขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้นพระยาธรรมช้างเผือกจึงตรัสสร้างแท่นยืนคล้ายๆนั่งร้านรอบๆ ก้อนหินที่มีพระพุทธบาท สี่ รอย เพื่อที่ผู้หญิงจะได้เห็นรอยพระพุทธบาทด้วย และได้สร้างหลังคาชั่วคราวมุงไว้ ต่อมาในสมัยพระชายาเจ้าดารารัศมีก็ได้ขึ้นไปกราบนมันสการพระพุทธบาท 4 รอย และได้มีพระราชศรัทธาก่อสร้างวิหาร เป็นการกราบบูชารอยพระพุทธบาทไว้ 1 หลัง หลักเล็ก ปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้วทั้งหลัง จะเหลือไว้แค่ผนังวิหาร พื้นวิหารและแท่นพระซื่งยังเป็นของเดิมอยู่พอมาสมัยเมื่อปี พ.ศ. 2472 ครูบาศรีวิชัย ก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหารที่เจ้าพระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราว และได้สร้างพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาทไว้ใหม่และได้ลาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทไว้ เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาไปตลอดกาลนาน ครูบาอาจารย์หลายรูป ล้วนเคยมาสักการะรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ และยืนยันว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นสิริมงคล รวมทั้งมีพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ อยู่บริเวณด้านหลังปลายรอยพระบาท พระอุโบสถ สร้างใหม่ อยู่ฝั่งตรงข้ามรอยพระพุทธบาท รูปปั้นพญานาคโดดเด่นสะดุดตามาก บริเวณรอบพระอุโบสถแห่งนี้ มีรายละเอียดของเกล็ดแม้แต่ภายในเพดานปากยังประดับด้วยกระจกสีแดงสด สอดคล้องกับที่ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่าบริเวณแห่งนี้มีพญานาคมากมาย แทบจะไม่มีทางเดิน จนพื้นเป็นสีแดงไปหมด ( สำหรับเราปุถุชน คนตาบอด มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ) พระอุโบสถ ชัยภูมิโดดเด่น ภายในตกแต่งสวยงาม ลมพัดเย็นสบาย ดอกไม้ธูปเทียนที่ชาวบ้านนำมาขาย สวยงามราคาไม่แพงค่ะ รอยพระพุทธบาทสี่รอย เมื่อแรกเห็นด้วยตาเปล่า เป็นภาพที่มองจากระนาบขอบ จึงดูค่อนข้างยาก ต้องนำภาพมุมสูงมาอธิบายประกอบจึงมองเห็นเป็นรอยพระบาททั้งสี่รอย จริงดังในรูป นับเป็นสิ่งอัศจรรย์เป็นอย่างมาก และเป็นสิริมงคลที่ได้มากราบนมัสการในสถานที่แห่งนี้ค่ะ เส้นทางไปขึ้นเขาสูงคดเคี้ยวและค่อนข้างแคบแยกจากถนนใหญ่ประมาณ 30 กม. ขับรถด้วยความระมัดระวังค่ะ
Create Date : 09 มกราคม 2556 |
Last Update : 13 มกราคม 2556 17:24:55 น. |
|
3 comments
|
Counter : 3792 Pageviews. |
|
|
ที่ถูกน่าจะหมายถึง
ปัจจันตประเทศ
คำแปล2
น. ประเทศปลายเขตแดน, ชมพูทวีปสมัยโบราณแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๒ เขต ร่วมในเรียกว่า มัชฌิมประเทศ ร่วมนอกเรียกว่า ปัจจันตประเทศ.
ที่เดาออกเพราะฟังธรรมบทเรื่อง สันตติมหาอำมาตย์ ดังนี้ค่ะ
กาลครั้งหนึ่ง เมื่อ สมเด็จพระจอมมุนีนาถ บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอย่ ณ เชตวันมหาวิหาร ในเขตพระนครสาวัตถี ระหว่างนั้น สันติมหาอำมาตย์ กลับจากการยกทัพไปปราบปัจจันตชนบท ที่กำเริบ ของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะได้ปูนบำเน็จรางวัลให้แก่แม่ทัพผู้ชนะศกอย่างเต็มที่แล้ว ยังทรงพระกรุณา พระราชทานราชสมบัติให้แก่สันตติมหาอำมาตย์ได้ครอง ๗ วันอีกด้วย
ตลอดเวลา ๗ วัน ที่สันตติมหาอำมาตย์ได้ครองราชดุจพระราชานั้นเขาได้ใช้ชีวิตสำเริงสำราญอย่างเต็มที่ ทั้งสุรา ทั้งนารี ขับระบำรำฟ้อนถึงวาระวันที่ ๗ อันเป็นวันสุดท้าย สันตติมหาอำมาตย์แต่งตัวด้วยเครื่องทรงของพระราชา นั่งบนคอช้างพระที่นั่งไปสู่ท่าอาบน้ำ เห็นพระบรมศาสดากำลังเสด็จเข้าบิณฑบาตที่ประตูเมือง ก็ผงกศีรษะลงถวายพระบังคม
สมเด็จพระผู้มีพระภาค ทอดพระเนตรสันตติมหาอำมาตย์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ มักจะเป็นที่เข้าใจกันว่า ทรงเห็นเหตุอันควรปรารภ ซึ่งถ้ากราบทูลถามเหตุ และทรงเล่าประทานก็จะเป็นประโยชน์แก่บรรดาสงฆ์และพุทธบริษัททุกครั้ง ดังในครั้งนั้นก็เช่นเดียวกัน พระอานนท์ จึงขอประทานโอกาส ทูลถาม
ทรงตรัสว่า "อานนท์ เธอจงดูสันตติมหาอำมาตย์...ในวันนี้เองเขาทั้งประดับด้วยเครื่องอลังการแห่งพระราชาเช่นนี้ จักมาสู่สำนักเรา จักบรรลุพระอรหัตตผลในเวลาเรากล่าวคาถาเพียงแค่จบบท ๔ แล้ว เขาจักนั่งบนอากาศสูงชั่ว ๗ ลำตาล และปรินิพาน"
เดี๋ยวอ่านบล๊อกต่อ