เมษายน 2556

 
1
2
3
4
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
ห้วงพันธนาการ บทที่ 24

Chapter 24

ความเงียบคืบคลานยึดพื้นที่ภายในบ้านร่วมสองชั่วโมงแล้วที่หม่อนไหมไม่แสดงตัว ยังคงนิ่งเงียบ ทำให้ไตรภาคินร้อนใจพยายามรื้อค้นหากุญแจไขประตูห้องแทบพลิกแผ่นดินผู้เป็นยายได้แต่ส่งเสียงเรียกชื่อหม่อนไหมเป็นระยะจนเหนื่อยใจ ไม่รู้เลยว่าเวลานี้หลานสาวจะเศร้าโศกเพียงใดวิภานีกระวนกระวายเดินวนเวียนมองนาฬิกาข้อมือสลับกับประตูทางเข้า เกือบได้เวลาเพื่อนสนิทของเธอจะเดินทางมาถึงเสียทีและการรอคอยก็สิ้นสุด เมื่อหญิงสาวเดินผ่านประตูบ้านเข้ามา ไม่รอช้ากระเป๋าเดินทางถูกวางแอบไว้ข้างกำแพงก่อนก้าวขึ้นชั้นสองอย่างเร่งด่วนสีหน้าหม่นหมองของทุกคนเบื้องหน้าทำให้เธอใจคอไม่ดีเอาเสียเลย นิลนราก้าวเดินยังหน้าประตูห้องนอนลูกสาวพลางหันมองสามีคล้ายต้องการขอเวลาแก้ไขปัญหาของหม่อนไหมให้เสร็จสิ้นเสียก่อนคงได้คุยกันไตรภาคินเบือนหน้าหนีไม่อยากมองเห็นบุคคลที่ทำให้เขาเจ็บปวดใจอย่างสาหัส

“น้องไหมคะแม่นิลกลับมาหาน้องไหมแล้วค่ะ เปิดประตูให้แม่นิลได้ไหมคะ”

มือยกเคาะเป็นจังหวะส่งสัญญาณขอร้องให้เด็กหญิงตัวน้อยใจอ่อนและยอมเปิดประตูที่ปิดกั้นตนเองเอาไว้ภายในนิลนราเรียกลูกสาวอยู่อย่างนั้นสองสามครั้งและทุกอย่างก็เป็นผลสำเร็จ ประตูห้องค่อยๆเปิดออกพร้อมเด็กหญิงโผเข้ากอดมารดา ส่งเสียงร้องไห้โฮแทบขาดใจ นิลนราย่อกายโอบอุ้มร่างเล็กขึ้นแนบอกรู้สึกสะเทือนใจหนักหนาวงหน้าหวานหันกลับมามองทุกคนที่คอยดูเหตุการณ์อย่างห่วงใย ก่อนก้าวเข้าในห้องและปิดประตูลงเพื่อพูดจาเป็นการส่วนตัวต้องการอธิบายบางอย่างให้เด็กหญิงเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุที่เกิดขึ้น แม้รู้ดีว่าหม่อนไหมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจก็ตาม

“น้องไหมคะบอกแม่นิลได้ไหมคะว่าใครทำให้น้องไหมเป็นแบบนี้”

เสียงสะอึกสะอื้นพยายามกลืนก้อนจุกลงคอมือน้อยปาดน้ำใสที่ไหลออกจากดวงตา พลางขยับกายห่างอ้อมกอดนั่งลงยังพื้นเตียงนอนนุ่มนิลนรายกมือเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าลูกสาวและลูบไล้ศีรษะอย่างเอ็นดูคงปวดใจและโดดเดี่ยวไม่น้อยภายในห้องสี่เหลี่ยมโดยไร้ใครปลอบใจ จริงๆ แล้วเธอเองไม่อยากซักถามเรื่องราวที่อาจสะกิดบาดแผลกัดกินจิตใจของหม่อนไหมให้เจ็บปวดมากกว่าเดิมแต่มันจำเป็นต้องหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อให้เด็กน้อยคนหนึ่งได้เรียนรู้ชีวิตหากต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเป็นจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“พ่อไตรกับน้าวิอึกๆ หม่อนไหมไม่รัก.. ทั้งสองคนแล้วค่ะ ฮือๆ”

“ทำไมล่ะคะเมื่อก่อนทั้งพ่อไตรกับน้าวิเป็นคนที่น้องไหมเคยรักมากนี่คะ ทำไมถึงเปลี่ยนใจไม่รักแล้วล่ะคะ”

“เพราะน้าวิจะแย่งพ่อไตรไปอึกๆ หม่อนไหมอยากให้พ่อไตรอยู่กับแม่นิลค่ะ ฮือๆ”

“น้องไหมฟังแม่นิลนะคะตอนนี้น้องไหมยังเด็กคงไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่ว่าเขาคิดอะไรกัน หากน้องไหมโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเข้าใจพ่อไตรกับน้าวินะคะไม่ดีใจเหรอคะที่จะมีน้าวิคอยมาดูแลและอยู่กับน้องไหมเพิ่มอีกคน”

นิลนราพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อให้หม่อนไหมหยุดร้องไห้เสียใจหรือหากไม่ตะล่อมให้เข้าใจเรื่องราวไว้บ้าง อนาคตข้างหน้าทุกคนคงเจอศึกหนักไม่แพ้กันเมื่อถึงวันที่ชีวิตครอบครัวไม่ลงตัวนิลนรายกมือขึ้นลูบไล้ผมยาวของหม่อนไหมก่อนคว้าร่างเล็กเข้ามาโอบกอดอีกครั้งต้องการปลอบขวัญและให้กำลังใจ

เวลาผ่านนานเป็นชั่วโมงเด็กหญิงตัวน้อยสะอื้นไห้จนเผลอหลับในอ้อมอกมารดานิลนราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เธอพยายามสื่อสารให้หม่อนไหมเข้าใจจะมีผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดหากแต่หวังไว้สักวันเด็กหญิงคงเข้าใจชีวิตขึ้นมาบ้าง ร่างเล็กถูกประคองวางลงบนเตียงกว้างพร้อมผ้าห่มถูกคลุมกายเพิ่มความอบอุ่นนิลนรานั่งมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาที่ยังคงหลงสะอื้นอยู่บ้างเป็นบางที

โซฟาห้องรับแขกหลงเหลือเพียงไตรภาคินและวิภานีนั่งทอดถอนใจรอฟังข่าวคราวเกี่ยวกับสภาวะทางจิตใจของหม่อนไหมว่าดีขึ้นหรือย่ำแย่หนักกว่าเดิมดวงตาสองคู่หันเหทิศทางเมื่อเห็นร่างบอบบางเคลื่อนย้ายตัวเองลงจากชั้นบนของบ้านนิลนราก้าวเดินยังส่วนของห้องรับแขก ถอนใจเบาๆเมื่อเห็นชายหนุ่มที่มองเธอด้วยสายตาเย็นชาจนจับสัมผัสได้

“คุณแม่กลับไปแล้วเหรอคะ”

ไตรภาคินพยักหน้าตอบคำถามก่อนหลุบตาลงต่ำยังรู้สึกขุ่นเคืองในใจวิภานีมองตามเพื่อนสนิทไม่วางตา อยากรับรู้เรื่องราวของหม่อนไหมใจแทบขาด ส่งคำถามให้หายคับข้องใจ

“น้องไหมเป็นไงบ้างนิล”

“ร้องไห้จนหลับไป สงสัยน้ำตาคงหมดตัวเลยล่ะ”

“เพราะฉันเองแกฉันนี่มันเลวจริงๆ ทำร้ายน้องไหมได้ลงคอ”

“อย่าโทษตัวเองเลยวิเราว่าอะไรมันก็เกิดขึ้นได้”

“นั่นสินะอะไรมันก็เกิดขึ้นได้”

ไตรภาคินทวนประโยคของภรรยาด้วยน้ำเสียงประชดประชันพาหญิงสาวที่ถูกกระแทกกระทั้นหันขวับหาเขาทันที คงสมควรแก่เวลาคลี่คลายปัญหาเพื่อจบเรื่องราวยืดเยื้อเสียที

“คุณอยากต่อว่าหรือด่าทออะไรก็เชิญเลยค่ะฉันพร้อมแล้ว”

ไตรภาคินปรายสายตามองหญิงสาวทั้งสองก่อนลุกยืนเต็มความสูงและเดินออกจากประตูบ้านไปปล่อยให้สองสาวมองตามอย่างประหลาดใจ รู้สึกผิดความคาดหมายว่าเขาคงโกรธเคืองและโมโหใส่จนแตกหักกันวันนี้อย่างแน่นอนแต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร ทั้งเปลี่ยนท่าทีและลุกหนีไปเสียเฉยๆ

“แก..ฉันไม่สบายใจเลย หม่อนไหมคงเกลียดฉันน่าดู”

“ไม่หรอกวิเมื่อกี้เราพูดกับน้องไหมจนแกสงบลง และดูเหมือนแกจะฟังในสิ่งที่เราพูดอยู่บ้างไว้รออีกสักพักวิคงต้องหาทางปรับความเข้าใจกันอีกที อย่าเพิ่งท้อแท้นะ”

“ฉันจะพยายามนะแก”

“คุณไตรคงเครียดมากไหนจะเรื่องเรา ไหนจะเรื่องลูกสาว”

“คงต้องให้เวลาเขาปรับตัวปรับใจเหมือนกันนะแก”

“เราเข้าใจพรุ่งนี้จะเป็นไงค่อยว่ากัน มันคงลงตัวสักทาง”

นิลนราไม่อยากใส่ใจกับสิ่งใดอีกแล้วในเมื่อเวลานี้เธอได้กำลังใจจากมารดามาเก็บสะสมไว้เพื่อสู้ปัญหา และยังมีใครบางคนพร้อมอยู่เคียงข้างเธอตลอดไปคำพูดของภายุวรรตยังคงดังวนเวียนในใจ ไม่จำเป็นที่เธอจะเกรงกลัวต่อโชคชะตาอีกแล้วหลังจากนี้

วันทำงานไม่ปกติเนื่องจากทั่วทั้งอาคารเงียบกริบราวป่าช้าพนักงานทั้งหลายยังคงรื่นเริงและเพลิดเพลินอยู่กับการท่องเที่ยวเมื่อเจ้าของบริษัทเปิดโอกาสให้ไปพักผ่อนหย่อนใจภายุวรรตนั่งประจำตำแหน่งภายในห้องทำงานคล้ายจะขยันขันแข็ง แต่เปล่าเลยเขายังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับคนรักเมื่อต้องกลับไปเผชิญหน้าปีศาจร้ายในคราบสามีตั้งแต่คืนวานหลังจากส่งนิลนราลงยังหน้าบ้าน เขาจอดรถรอส่งจนเธอหายลับจากสายตาและอยู่รอดูสถานการณ์นิ่งๆหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นเขาคงวิ่งลงไปช่วยเธอได้อย่างทันท่วงที ทว่าเฝ้าคอยอยู่จนค่อนคืนไม่มีแววการทะเลาะเบาะแว้งเขาจึงยอมล่าถอยเดินทางกลับที่พักอาศัย จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้หลับตานอนเต็มตื่นเป็นห่วงเป็นใยบุคคลอันเป็นที่รัก

เสียงเปิดประตูทำลายความคิดภายุวรรตเลื่อนเก้าอี้หันกลับ มองยังหญิงสาวที่เดินตรงมาหาเขา สายตาเฉยชาไม่แสดงท่าทางใดๆนอกจากมองเธอนิ่งๆ

“คุณคงส่งคนสะกดรอยตามผมอีกสินะถึงได้รู้ว่าผมเข้าทำงานวันนี้ มีอะไรกับผมงั้นเหรอตรีชาดา”

“ตรีแค่อยากมาคุยกับบอสเรื่องนังนิล”

“...”เขาไม่แปลกใจสักนิดที่ได้ยินประโยคนี้หลุดจากปากอดีตเลขาตั้งแต่เห็นเธอเดินเข้ามาก็คาดเดาได้อย่างง่ายดายไม่ต้องเสียเวลาคิดภายุวรรตยังคงแสดงท่าทางนิ่งเฉย รอฟังในสิ่งที่ตรีชาดาต้องการเจรจา

“ทำไมบอสถึงต้องไปอยู่เชียงใหม่กับนังนิลมันด้วยล่ะคะหรือมันหลอกลวงบอสไปที่นั่น”

“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณผมเพิ่งรู้ว่าลูกผู้ดีอย่างคุณเรียกจิกคนอื่นว่านังทุกคำ”

ภายุวรรตแค่นยิ้มมองตรีชาดาที่แสดงสีหน้าตกใจ เผลอลืมตัวไปชั่วขณะเธอคงต้องเปลี่ยนสรรพนามเสียใหม่เพื่อไม่ให้เสียภาพพจน์ที่พยายามทำให้เจ้านายหนุ่มเห็นว่าดีมาโดยตลอดอย่างน้อยเขาก็ยังเข้าใจว่าเธอเป็นคุณหนูลูกผู้ดี

“คือ..ตรีลืมตัวไปหน่อยค่ะ ว่าแต่บอสทำไม่ถูกนะคะ รู้ทั้งรู้ว่านิลนรามีสามีเป็นตัวเป็นตนไหนจะลูกสาวอีกล่ะ ยังคิดจะคบชู้กัน บอสคงไม่อยากตกกระทะทองแดง หรือปีนต้นงิ้วใช่ไหมคะ”

“ถ้าเพียงแค่ผมเดินทางไปต่างจังหวัดกับพี่สะใภ้คุณแล้วผมต้องตกนรกหลายขุม ผมว่ายังดีกว่าต้องมานั่งคุยกับคุณแบบนี้”

“บอสว่าตรีเลวร้ายยิ่งกว่าตกนรกอีกหรือคะ”

“ครับคุณคงเข้าใจไม่ผิด”

ตรีชาดาได้แต่กรีดร้องในใจกำมือแน่นสะกดอารมณ์โกรธเอาไว้พยายามควบคุมสถานการณ์ว่าเธอไม่เป็นอะไรและฝืนยิ้มต่อไปถึงแม้เธอจะไม่เคยยอมใครต่อใครแต่สำหรับภายุวรรตคงต้องยกเว้นเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีข้างหน้าตรีชาดายังหวังว่าเขาอาจยอมรับและเห็นความดีของเธอบ้าง แต่ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์คงทนได้อีกไม่นานถึงแม้ภายุวรรตจะใกล้ชิดกับตรีชาดามาเพียงไม่กี่เดือนแต่เขาก็รู้จักธาตุแท้ของเธอดีว่าเป็นอย่างไร ตรีชาดาจะเกลียดมากกับคนที่ทำเมินและมองไม่เห็นเธออยู่ในสายตาคงไม่มีวิธีไหนแก้นิสัยเอาแต่ใจของเธอได้ นอกเสียจากรอคอยว่าสักวันเธอคงสำนึกตัวได้เองแต่คงไม่ใช่วันนี้

“ตรีขอถามบอสตรงๆนะคะ บอสรักนัง.. รักนิลนราหรือไงคะ อย่าคิดว่าตรีดูไม่ออกนะคะ”

“หากผมรักเธอคุณจะทำอะไรงั้นเหรอตรี หรือคิดหาทางเล่นงานนิลไม่หยุดอย่าลืมนะว่าตอนนี้คุณไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทผมอีกแล้ว เอาล่ะ.. ผมขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายคุณเข้าใจไม่ผิดหรอกตรีชาดา ผมรักเธอ รักที่ตัวตนแท้จริง รักที่จิตใจของเธอและที่สำคัญเธอเป็นคนดี ไม่เคยริษยาหรือทำร้ายใครต่อให้ใครจะมองผมกับเธอในแง่ร้ายยังไง ผมก็ไม่แคร์ผมถือว่าเราสองคนเข้าใจกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ และหลังจากนี้เป็นต้นไป หากคุณคิดทำร้ายเธออีกไม่ว่ารูปแบบไหนก็ตามคุณได้เห็นดีกับผมแน่ หากนิลนราต้องเจ็บปวดเพราะคุณผมจะทำให้คุณเจ็บปวดยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า ไม่เชื่อก็ลองดู”

น้ำเสียงจริงจังบวกกับสายตาดุดันจ้องมองหญิงสาวเบื้องหน้าไม่มีกะพริบเขาส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่าไม่ล้อเล่นอีกต่อไปตรีชาดาพยายามทำใจดีสู้เสือทั้งที่ภายในจิตใจลนลานหวาดกลัวต่อสายตาเย็นชาคู่นั้นแต่ยังต้องข่มใจสู้เพื่อชัยชนะที่ต้องการ

“บะบอส คิดว่าตรี.. จะกลัวบอสหรือไงคะ”

ท่าทางหลุกหลิกภายใต้น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกให้รับรู้ว่าเธอเริ่มหวั่นไหวในคำขู่ของเขาไม่น้อยหากแต่ไม่อยากเสียหน้าและเป็นฝ่ายยอมแพ้

“ผมรู้ว่าคุณไม่กลัวใครหากคุณไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด ผมก็ไม่ห้าม แต่ผมยังยืนยันคำเดิม ถ้านิลนราต้องเจ็บคุณจะเจ็บยิ่งกว่า ผมสาบานได้”

อีกครั้งที่สายตาดุดันจ้องมองราวกับอยากฉีกร่างเธอออกเป็นชิ้นๆเวลานี้ภายุวรรตคล้ายปีศาจร้ายแผ่รังสีอำมหิตทำลายล้างจิตใจให้หวาดหวั่น ตรีชาดาพยายามหาหนทางเพื่อต่อสู้ทั้งที่กลัวสายตาจริงจังคู่นั้นจับใจ

“ตรี..จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ”

“ครับผมเข้าใจ แต่คุณคงลืมไปแล้วนะตรีชาดา คุณยังมีชนักติดหลัง ผมมีหลักฐานยืนยันว่าคุณก่อคดีลักทรัพย์ผมสามารถนำคุณส่งตำรวจได้ตลอดเวลา หากคุณอยากเข้าไปนอนเล่นในมุ้งสายบัวผมก็ไม่ขัดศรัทธา”

สีหน้าเลิกลั่กมองภายุวรรตด้วยท่าทางหวาดผวายืนร้อนรนไม่เป็นสุข เจ้านายหนุ่มกดปุ่มบนเครื่องโทรศัพท์ตั้งโต๊ะพร้อมพูดส่งแขกให้เธอได้ยินมือไม้สั่นกุมกระเป๋าถือในมือไว้แน่นคล้ายกำลังตื่นเต้นอย่างหนัก เสียงฝีเท้าหนักเดินเข้ามาในห้องที่เปิดประตูค้างเอาไว้ทำให้อดีตเลขาหันมองยังต้นทางเสียง หน่วยรักษาความปลอดภัยสองนายเดินเข้ามายืนขนาบข้างเตรียมล็อกแขนสองข้างของตรีชาดาไว้คงหมดหนทางสู้อีกต่อไป คราวนี้เธอคงพ่ายแพ้ยับเยินและไม่สนุกแน่หากต้องถูกจับในข้อหาลักทรัพย์เจ้านายเพื่อกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมงานมันไม่คุ้มกันเสียเลย

“ปล่อยฉัน!!”

ตรีชาดาสะบัดแขนออกจากการจับกุมวิ่งแนบพ้นห้องผู้บริหารอย่างรวดเร็ว นิ้วเรียวกดปุ่มไฟย้ำๆเพื่อให้ประตูลิฟต์เปิดตัวออก หากแต่ไม่ทันใจ สายตาเลิกลั่กมองหาทางหนีทีไล่ตัดสินใจวิ่งพรวดลงบันได เพื่อไปให้พ้นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่วิ่งตามเธอมาติดๆเจ้าหน้าที่สองนายหยุดฝีเท้ายืนคอยลิฟต์เพื่อลงไปดักเธอด้านล่าง ดีกว่าจะยอมเสียพลังงานวิ่งตามลงจากตึกที่มีความสูงเป็นสิบชั้นผลจะเป็นอย่างไรคงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารที่หลุดยิ้มอยู่ภายในห้อง หลังจากนี้ตรีชาดาคงเป็นได้แค่ลูกไก่ในกำมือจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด เขาไม่หวั่นเกรงว่าเธอจะทำร้ายใครได้อีกต่อไป


(มีต่อด้านล่างค่ะ)




Create Date : 05 เมษายน 2556
Last Update : 5 เมษายน 2556 19:07:31 น.
Counter : 237 Pageviews.

1 comments
  
วันธรรมดาตามชีวิตปกติของผู้ใหญ่วัยทำงานต้องเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน ไม่ต่างจากเด็กวัยเรียนต้องเดินทางเพื่อศึกษาเล่าเรียนตามหน้าที่เช่นกัน ตั้งแต่เกิดเรื่องมากมายเมื่อวานนี้ ตลอดทั้งคืนไม่มีใครได้หลับสนิท อาจไม่ทันได้ข่มตาลงด้วยซ้ำ ไตรภาคินเดินทางส่งวิภานียังห้องภาพในช่วงรุ่งเช้าก่อนจะกลับมาทำหน้าที่ส่งลูกสาวยังโรงเรียนต่อไป

ตั้งแต่ตื่นนอนหม่อนไหมดูหงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย เด็กหญิงตัวน้อยยอมปฏิบัติตามคำขอของมารดาอาบน้ำแต่งตัวและเดินทางไปโรงเรียนตามปกติ นิลนราทำหน้าที่เดินนำหม่อนไหมส่งถึงมือครูประจำชั้นและฝากฝังให้ดูแลลูกสาวจนกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียน เธอเดินกลับขึ้นรถยนต์คันคุ้นเคยอีกครั้งเมื่อเสร็จสิ้นภาระหน้าที่ เตรียมพร้อมทำในสิ่งที่สมควรถึงแก่เวลาเสียที

“ฉันพร้อมแล้วค่ะ หากคุณต้องการให้ฉันไปลาออกจากงาน”

ไตรภาคินปรายสายตามองหญิงสาวด้านข้าง เธอคงคิดดีแล้วถึงได้กล้าเอ่ยประโยคนั้นออกมา ในเมื่อเธอยังทำใจได้ เขาก็ต้องทำให้ได้เช่นกัน

“คุณคงไม่ผิดหวังหรอกนะ”

“ค่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว”

รถยนต์เคลื่อนที่เดินทางอีกครั้ง ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร นิลนราได้แต่เตือนตนเองว่าอย่าหวั่นไหว แม้จะไม่ได้ทำงานใกล้ชิดกับคนรัก หากแต่เขาคงอยู่ในจิตใจและเคียงข้างเธอตลอดเวลา คงเพียงพอแล้วสำหรับกำลังใจเพื่อเผชิญต่ออุปสรรคข้างหน้าที่กำลังเดินทางมาถึง เพียงแต่เวลานี้เธอยังกังวลเกี่ยวกับบุคคลรอบกาย ไม่ว่าจะเป็นวิภานี หรือหม่อนไหม และครอบครัวของนิลนราเองก็ตาม ในเมื่อไตรภาคินตัดสินใจที่จะเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ ทุกฝ่ายก็คงเจ็บปวดไม่ต่างกัน โดยเฉพาะวิภานี สีหน้าเศร้าโศกเมื่อเช้านี้ยังจำติดตาไม่ลืม ต่อให้เพื่อนสนิทปากกับใจแข็งเพียงใด แต่ในใจลึกๆ ก็หวั่นไหวกับการตัดสินใจของไตรภาคินเมื่อเขาไม่คิดจะปล่อยให้ลี่เป็นอิสระ กักขังให้เป็นนิลนราต่อไป

“คุณจะพาฉันไปไหนคะ มันไม่ใช่เส้นทางที่จะไปบริษัทนี่คะ”

ไตรภาคินนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามหญิงสาวที่นั่งด้านข้าง รถยนต์ยังคงขับต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีหยุดพัก จนเลี้ยวเข้ายังลานจอดรถของสถานที่ราชการ นิลนราหันมองคนด้านข้างอย่างประหลาดใจ พยายามคิดทวนว่าเขาต้องการทำอะไรกันแน่

“ลงไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเถอะ จะได้จบเรื่องซะที”

“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”

“ผมจะหย่าให้คุณ เพื่อที่คุณจะได้ไปตามทางอย่างที่ต้องการ ผมไม่อยากบังคับจิตใจใครให้อยู่ด้วยกันทั้งที่ไม่มีความรักหลงเหลืออีกต่อไป”

“คุณไตร..”

“รีบไปเถอะ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ ไม่ยอมหย่าให้คุณขึ้นมา”

น้ำเสียงละมุนเจือความเศร้าโศกทำให้คนฟังรู้สึกหดหู่ ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินว่าเขาจะยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระแล้วจริงๆ นิลนรามองตามคนตัวสูงที่เดินลงจากรถและยืนคอยให้เธอเดินตามออกไปเช่นกัน อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่มีฐานะเป็นสามีภรรยากันเพียงในนามจะสิ้นสุดลง



หน้าตึกสูงตระหง่านสถานที่ทำงานของนิลนรา หลังจากการเซ็นชื่อลงนามหย่าเสร็จสิ้น พันธะในการเป็นสามีภรรยาตามกฏหมายถือว่ายุติลงอย่างเป็นทางการ ไตรภาคินนำหญิงสาวมาส่งตามความต้องการของเธอ คงหมดสิ้นหน้าที่ของเขาแล้วหลังจากนี้

“ผมขอบคุณที่คุณยอมเป็นนิลอยู่หลายเดือน แม้มันจะทำให้ผมเจ็บปวด แต่ก็ทำให้ผมตาสว่างและกลับตัวทำอะไรเพื่อคนที่รักผมบ้าง ผมไม่สัญญาว่าจะพูดคุยกับคุณได้สนิทใจเหมือนเดิม แต่ผมยินดีที่จะให้คุณอยู่ดูแลหม่อนไหมได้ตามแต่คุณต้องการ”

“ขอบคุณนะคะ ที่คุณเข้าใจทุกอย่าง ฉันขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไว้กับคุณและครอบครัว ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ฉันขอให้คุณมีความสุขกับคนที่รักคุณตลอดไปนะคะคุณไตร ถึงยังไงฉันจะจดจำว่าครั้งหนึ่งคุณเคยมีบุญคุณต่อฉัน ขอให้คุณโชคดีค่ะ”

นิลนราเบี่ยงกายเตรียมเปิดประตูก้าวลงจากรถ หากแต่ถูกฝ่ามืออบอุ่นดึงรั้งเอาไว้ทำให้ต้องชะงักการเคลื่อนไหวกะทันหัน

“นิล.. ผมขอกอดคุณได้ไหม เพื่อให้ผมได้จดจำว่าร่างกายนี้คือภรรยาของผม และจะจดจำไว้ตลอดไปแม้นิลนราจะตายจากผมไปแล้วก็ตาม”

นิลนราหันกายกลับยินยอมนั่งนิ่งเฉยให้ไตรภาคินโอบกอดสัมผัสไออุ่นก่อนจากเพื่อเก็บทุกสิ่งไว้ในความทรงจำ วงแขนกระชับแน่นราวกับไม่ต้องการให้ร่างกายนี้จากเขาไปไหน ทุกอย่างจบลงด้วยดีเมื่อนิลนราก้าวลงจากรถ เธอยืนส่งจนไตรภาคินขับรถยนต์เคลื่อนพ้นจากสายตาก่อนก้าวเดินเข้าด้านในอาคารสำนักงาน

ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมความเงียบผิดปกติ ทำให้นิลนรานึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนเข้าทำงานภายในตึกแห่งนี้

“คุณครับวันนี้เป็นวันหยุดนะครับ ทำไมขยันทำงานจังเลย”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่งยิ้มทักทายหญิงสาวที่เห็นจนคุ้นเคยระหว่างเดินตรวจตราความเรียบร้อยภายในอาคารสำนักงาน

“พอดีฉันมาเก็บของน่ะค่ะ”

“ไม่ทราบว่าคุณเจอผู้บริหารหรือยังครับ เมื่อเช้าผมเห็นท่านมาทำงานแต่เช้า”

“เอ่อ.. ยังไม่เจอค่ะ”

“งั้นหรือครับ เชิญคุณตามสบายนะครับ ผมขอตัวตรวจเช็คความเรียบร้อยต่อ”

นิลนราพยักหน้าพร้อมคลี่ยิ้มส่งให้ก่อนแยกย้ายปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ประตูห้องผู้บริหารดึงดูดสายตาให้หันมองและหยุดก้าวเดิน เวลานี้เธอเป็นอิสระหลุดพ้นห้วงพันธนาการแล้ว แต่เหตุใดภายในใจกลับไม่รู้สึกยินดีเมื่อจะได้เจอะเจอกับภายุวรรตที่ยังรักอยู่เต็มหัวใจ เธอไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วเขายังรักเธอในร่างของหญิงอื่นหรือไม่ ยากเหลือเกินกับการเดาจิตใจใครต่อใคร

ประตูห้องผู้บริหารค่อยๆ เปิดออก สายตาอ่อนโยนจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าที่เดินเข้ามาหาด้วยความรู้สึกโล่งใจ

“ลี่.. คุณมาทำงานงั้นเหรอ ลืมไปหรือเปล่าว่าวันนี้เป็นวันหยุดพักร้อน”

“ตอนแรกก็ลืมค่ะ พอเห็นว่าเงียบผิดปกติเลยนึกได้ว่าคนอื่นยังไม่กลับจากท่องเที่ยว”

“ทุกอย่างที่บ้านลงตัวดีใช่ไหม ว่าแต่วันนี้คุณมาทำอะไร”

“ลี่มาเก็บของ”

“เก็บของ..” ภายุวรรตทวนประโยคอีกครั้ง ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เธอพูดถึง

“ค่ะ.. ลี่มาเก็บของ เพราะลี่จะขอลาออกจากงาน”

ใจแกร่งวูบไหว ไม่เข้าใจความคิดของเธอ ว่าเหตุใดถึงต้องการลาออกจากหน้าที่การงานทั้งที่เพิ่งเริ่มต้นทำได้เพียงไม่นานเท่านั้น ภายุวรรตก้าวเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าหญิงสาวซึ่งกำลังหลบสายตาจากเขาเสมองทางอื่น

“เพราะอะไรคุณถึงอยากลาออก”

“ลี่อยากทำงานในด้านที่ถนัดและใฝ่ฝัน”

“ผมไม่อนุญาตให้คุณลาออก”

“ทำไมคะภายุ ทำไมคุณถึงไม่ให้ลี่ลาออก คุณไม่มีสิทธิ์บังคับพนักงานคนไหนนี่คะ”

“ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรนะลี่ ผมก็ไม่ให้คุณออก”

“แม้ว่าลี่มีหนทางที่จะอยู่ใกล้คุณได้ตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะที่บริษัทงั้นเหรอคะ”

“...” ภายุวรรตจ้องมองวงหน้าหวานด้วยความไม่เข้าใจ

“ฟังให้ดีนะคะภายุ ตอนนี้ลี่เป็นอิสระแล้ว คุณไตรเซ็นใบหย่าให้ลี่เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา”

“คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหมลี่”

ท่าทางตื่นตระหนกพานิลนราหลุดขำ สีหน้าจริงจังบวกกับสายตาที่จ้องมองอย่างคาดคั้นรอฟังคำตอบจากเธอ หรือแท้จริงเธอแค่แกล้งแหย่ให้เขาสบายใจ ทั้งที่ความเป็นจริงถูกไตรภาคินบังคับให้เธอไกลห่างจากเขาเท่านั้น

“ลี่พูดจริงค่ะ และนี่คือหลักฐาน”

นิลนราล้วงมือลงกระเป๋าดึงกระดาษที่พับไว้เป็นสี่ส่วนขึ้นมายื่นส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า พร้อมแหวนเพชรวงกำลังเหมาะส่องประกายบนนิ้วเรียว ภายุวรรตดึงกระดาษเปิดอ่านพลางหันสายตาระคนดีใจ คลี่ยิ้มยินดี มันเป็นความจริงตามที่เธอบอกกล่าว เอกสารใบหย่าที่มีลายเซ็นของสามีภรรยาและพยานยืนยันว่าเธอเป็นอิสระไร้ซึ่งพันธะใดๆ ร่างสูงโผเข้าโอบกอดหญิงสาวไว้แนบแน่นอย่างลืมตัว และเมื่อนึกขึ้นได้เขาถอนอ้อมแขนปล่อยร่างกายเธอเป็นอิสระ ยังไม่ถึงเวลาที่จะดีใจออกนอกหน้าในตอนนี้ ถึงอย่างไรลี่ก็ยังไม่ได้เป็นของเขาอย่างเต็มตัว ภายุวรรตกำกุมมือบางที่สวมแหวนเพชรของเขาเอาไว้ และพาเธอเดินไปนั่งลงยังโซฟารับแขก ต้องการฟังเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ เหตุใดไตรภาคินจึงยอมปล่อยให้เธอคนนี้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย



สาวมาดเซอร์นอนหลับใหลอยู่ภายในห้องภาพ ทุกอย่างรอบกายพร่ามัว ร่างกายรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ สมองเบลอคล้ายคนกำลังจะเป็นไข้ มือยกกุมขมับกดบีบคลายความเจ็บปวด คงเพราะช่วงนี้มีเรื่องกังวลใจประเดประดังเข้ามาให้คิดหนัก แถมพักผ่อนไม่เพียงพอ เลยทำให้ล้มป่วยเอาง่ายๆ ถึงแม้วิภานีจะเป็นคนมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยสักเท่าไหร่ หากแต่ถูกทุกอย่างรุมเร้าทั้งความเครียด ทั้งหน้าที่การงาน ร่างกายคงต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บไม่ไหวเช่นกัน ตั้งแต่เดินทางกลับถึงที่พักอาศัยเมื่อรุ่งเช้า วิภานีก็เอาแต่นอนซมอยู่บนโซฟาไม่ได้ลุกไปไหนเนื่องจากอาการป่วยถามหา

เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังแว่วผ่านโสตประสาท หากแต่เปลือกตาหนักอึ้งไม่สามารถเปิดขึ้นมามองได้ว่าใครคือบุคคลผู้มาเยือน

“วิ”

ประสาทสัมผัสได้ยินเสียงละมุนเรียกชื่อแผ่วเบา คล้ายกำลังกึ่งหลับกึ่งฝันล่องลอยแล้วสติดับวูบในที่สุด ไตรภาคินยกหลังมืออังหน้าผากรับรู้ถึงไอร้อนระอุจากร่างกายที่ส่งผ่านระหว่างกัน ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นวิภานีล้มป่วยมาก่อน ครั้งนี้คงเกิดสภาวะเครียดหนักจนทำลายภูมิคุ้มกัน เป็นไข้เอาเสียดื้อๆ

ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดถูกเช็ดตามใบหน้าและลำคอคนป่วยเพื่อดูดซับความร้อนให้บรรเทาลงเป็นระยะ ไตรภาคินอยู่ดูแลวิภานีได้พักใหญ่ รู้สึกห่วงใยและสำนึกผิด คิดว่าตนเองมีส่วนทำให้เธอต้องคิดมากจนล้มป่วยเช่นนี้ มือบอบบางถูกกำกุมขึ้นมาจับไว้

“วิ พี่ขอโทษ ที่ไม่เคยทำอะไรชัดเจนสักครั้ง ขอโอกาสอีกครั้งได้ไหม พี่จะไม่ปล่อยให้ความรักของวิต้องหลุดลอยไปไหนอีกแล้ว พี่สัญญา”

ประโยคขอร้องและคำมั่นสัญญาที่หลุดผ่านลำคอ กังวานดังในโสตประสาทชัดเจน นานหลายนาทีที่วิภานีพยายามฝืนเปิดเปลือกตาให้ลืมขึ้นอีกครั้งเพื่อมองคนด้านข้างที่กำลังสื่อสารกับเธอ

“พี่ไตร..”

“วิ.. เป็นไงบ้าง ไปหาหมอไหม ลุกไหวหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไร.. ว่าแต่พี่ไตรมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก่อนเที่ยง”

วิภานีเลื่อนสายตามองนาฬิกาบนฝาผนังบ่งบอกว่าใกล้หกโมงเย็นเต็มที ร่างกายขยับเคลื่อนไหวพยายามลุกขึ้นนั่งทั้งที่เรี่ยวแรงก็แทบไม่มีเหลือ จนไตรภาคินต้องช่วยประคองอีกแรง

“มาอยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน ไม่ห่วงน้องไหมหรือไง แล้วไอ้นิลล่ะ พี่ไตรไม่ต้องไปรับมันกลับบ้านเหรอ”

“น้องไหมพี่ฝากให้ยายเขาดูแลแล้วล่ะ เดี๋ยวค่ำๆ ค่อยกลับไปรับ ส่วนนิล..”

เสียงพูดจาขาดหายจากลำคอทำให้คนรอฟังมองอย่างสงสัย อยากรับรู้เรื่องราวว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีกระหว่างครอบครัวของเขา

“มีอะไรพี่ไตร”

“ต่อไปนี้ชีวิตของนิลไม่ได้เป็นหน้าที่ของพี่อีกแล้ว”

“ทำไม..”

“พี่หย่ากับนิลแล้ว”

วิภานีนิ่งอึ้งรู้สึกใจหายไม่น้อย ไม่คิดว่าไตรภาคินจะด่วนตัดสินใจเช่นนี้ ทั้งที่ตลอดเวลาเขาพยายามปฏิเสธที่จะปล่อยให้นิลนราเป็นอิสระ แต่ครั้งนี้กลับสวนทาง ไม่คิดฝันว่าลี่ที่อยู่ในร่างของนิลนราจะได้มีความสุขกับเขาเสียที

“วินับถือพี่ไตรนะ ที่พี่ตัดสินใจปล่อยให้ไอ้นิลมันเป็นอิสระ”

“พี่ไม่ได้หย่าเพื่อผู้หญิงคนนั้น พี่หย่าเพราะพี่.. ต้องการวิ..”

“พี่ไตร..”

สมองพร่าเบลอเมื่อครู่ เวลานี้กลับมึนหนักกว่าเดิม เขาจะหย่ากับนิลนราเพื่อเธอได้อย่างไรกัน ในเมื่อเธอไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้

“เรากลับมาคบกันได้ไหมวิ พี่อยากดูแลและตอบแทนความรักที่วิมีให้พี่ตลอดมา วิไม่ต้องตอบพี่ตอนนี้ก็ได้ พี่ไม่บังคับและไม่เร่งรัดให้วิกลับมาเป็นเหมือนเดิมตอนนี้ พี่รู้ว่ามันทำใจลำบาก แต่ถ้าวิยังมีความรักหลงเหลือให้พี่อยู่บ้าง กลับมาคบกันอีกครั้งได้ไหม”

มันไม่ใช่ความรักที่ยังหลงเหลือ แต่เพราะมันไม่เคยจางหายไปเลยต่างหาก วิภานีลังเลกับสิ่งที่ไตรภาคินร้องขอ เธอไม่มั่นใจว่าจะตอบตกลงหรือปฏิเสธเขาในเวลานี้

“พี่ไตรเพี้ยนไปแล้วหรือไง มาขอให้วิกลับไปคบกัน พี่ก็เห็นว่าหม่อนไหมไม่ยอมรับวิ”

“พี่เชื่อว่าสักวันน้องไหมต้องเข้าใจ เราช่วยกันทำให้น้องไหมยอมรับเรื่องของเราด้วยกันนะวิ”

“พี่ไตรแน่ใจเหรอว่าจะคบกับวิจริงๆ”

“พี่ไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อน พี่ไม่อยากให้วิคิดว่า พอไม่มีนิลพี่ถึงหันมาสนใจวิ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ วิเข้าใจพี่ใช่ไหม”

“วิไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้นหรอกนะพี่ไตร วิรักพี่ วิถึงอยากเห็นพี่มีความสุข”

“วิว่าไงนะ..”

“อะไร..”

“เมื่อกี้วิบอกว่ารักพี่”

“หูฝาดหรือเปล่า วิยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”

“อืม.. พี่คงหูฝาดไปเอง”

ใบหน้าคมเข้มสลดวูบ รอยยิ้มหุบลงกะทันหัน ปรายสายตามองหญิงสาวที่วางสีหน้านิ่งเฉยก่อนลุกยืนเต็มความสูงเตรียมเดินจากไปเมื่อได้รู้คำตอบว่าวิภานีหมดสิ้นแล้วเยื่อใย คนตัวสูงค่อยๆ ย่างก้าวอย่างเชื่องช้า

“พี่ไตร!”

วิภานีใจคอไม่ดีทำให้เขารู้สึกแย่ขึ้นมาอีกทั้งที่เมื่อครู่ยังเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าคมคาย หญิงสาวขยับกายลุกขึ้นด้วยท่าทางจะล้มไม่ล้มแหล่คว้าแขนของเขาเอาไว้

“วิไม่ต้องสงสารพี่หรอก ถ้าไม่รักก็ปล่อยให้พี่ไปให้พ้น”

“พี่ไตร.. วิรักพี่ วิไม่ได้สงสารพี่ วิไม่อยากให้พี่ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

ไตรภาคินกระตุกยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์ไว้ภายในก่อนหันกายกลับมายืนเผชิญหน้ากับวิภานีอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างทำให้หญิงสาวรู้ทันทีว่าเขาแกล้งแหย่ให้เธอต้องพูดความจริงออกมา วิภานียกมือขึ้นปิดปากหลบสายตาแสร้งมองทางอื่น ใบหน้าร้อนวูบวาบจนขึ้นสีแดงระเรื่อ

“แปลกดีนะผู้หญิงห้าวก็อายเป็นกับเขาด้วย” ฝ่ามือฟาดลงบนแขนของไตรภาคินอย่างแรงก่อนจะถูกคว้าไปจับกุมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“ปล่อยนะพี่ไตร”

“พี่ไม่ปล่อย ต่อไปนี้พี่จะไม่ยอมปล่อยให้วิไปไหนอีกแล้ว ไม่ว่าวิจะผลักไสให้พี่ไปหาใคร พี่ก็ไม่ยอมไป”

ร่างบอบบางถูกโอบกอดแนบแน่น ส่งผ่านความอบอุ่นระหว่างร่างกาย เตรียมคว้าความสุขที่กำลังจะได้ครอบครองในอีกไม่ช้า ระหว่างเรื่องราวของไตรภาคินและวิภานีคงมีเพียงหม่อนไหมคนเดียวเท่านั้น ที่เขาทั้งสองต้องหาหนทางชนะใจให้กลับมายอมรับวิภานีในฐานะมารดาคนใหม่

โปรดติดตามตอนต่อไป
โดย: มาโซคิส วันที่: 5 เมษายน 2556 เวลา:19:12:19 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments