มกราคม 2556

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
20
22
23
24
25
27
28
29
 
 
All Blog
ห้วงพันธนาการ บทที่ 5

Chapter5

บนรถเมล์ประจำทางแบบปรับอากาศ หญิงสาวผู้ซึมเศร้ามองหาที่ว่างพลางหย่อนกายลงนั่งยังเก้าอี้แถวเดียวติดริมหน้าต่างเธอไม่รู้หรอกว่าขึ้นรถคันนี้มาทำไม เพียงแค่ก่อนก้าวเท้าขึ้นรถมองเห็นเลขสายรถเมล์คุ้นตาจึงก้าวขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ นิลนราแค่นยิ้มให้ตนเอง เวลานี้เธอคงใกล้บ้าเต็มที กับการค้นหาตนเองไม่เจอทำให้เพี้ยนไปได้ถึงขนาดนี้เดินตามท้องถนนคล้ายหุ่นยนต์ไขลาน เดินชนผู้คนอย่างไม่มีสะทกสะท้าน และยังก้าวขึ้นรถประจำทางทั้งที่ไม่มีจุดหมายใดอยู่ในสมองทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความคุ้นชินจากภาพที่เห็นในจินตนการเท่านั้น

“ไม่ทราบว่าลงตรงไหนคะ”

พนักงานประจำรถเมล์ปรับอากาศเดินทำหน้าที่เก็บเงินกับผู้โดยสารนิลนราก้มมองกระเป๋าสะพายที่ตั้งบนตักควานมือล้วงหากระเป๋าสตางค์ที่ไตรภาคินให้พกติดตัวไว้หากทว่าเวลานี้มันล่องหนไปไหนแล้ว ในใจวูบไหว คิดย้อนทบทวนความจำ ระหว่างที่ชนเข้ากับใครอีกคนเมื่อครู่คงทำให้กระเป๋าสตางค์ร่วงตกในตอนนั้น นิลนราพยายามควานหาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกระเป๋าสตางค์แล้วจริงๆ

“เอ่อ.. คือ..”

“คุณไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ”

“มะ มี ค่ะ แต่มันตกหายไปแล้ว”

น้ำเสียงอึกอัก สีหน้าซีดเผือกรู้สึกอับอายสายตารอบด้านที่มองมาทางเธอราวกับเป็นคนดังระดับโลก ทุกคนภายในรถดูจะให้ความสนใจเธอเป็นพิเศษเนื่องจากน้ำเสียงที่เปล่งดังของพนักงานเก็บสตางค์คนนั้นพูดจาด้วยอารมณ์ขึงขังไม่ปรากฎรอยยิ้มให้เห็น

“ไม่มีเงินแล้วขึ้นรถมาได้ยังไงกันพี่! จอดรถส่งคุณผู้หญิงลงด้วย”

นิลนราลุกยืนแบบเก้ๆ กังๆพยายามหลบสายตาหลายสิบคู่ที่มองตามแล้วอมยิ้มขำขันราวกับเธอเป็นตลกชั้นแนวหน้าของประเทศรถเมล์ประจำทางหยุดเคลื่อนที่ยังป้ายจอดหญิงสาวรีบก้าวลงจากรถทันทีโดยไม่ต้องรอให้โดนไล่อีกเป็นรอบที่สอง วันนี้คงเป็นวันซวยของเธอทั้งที่พยายามแทบตายเพื่อจะค้นหาความทรงจำแต่กลับไม่ได้เรื่องอะไรมิหน่ำซ้ำกระเป๋าสตางค์ดันมาหาย สร้างความอับอายหนักหนาคราวนี้คงเป็นบทเรียนครั้งสำคัญสำหรับชีวิตเธอเลยก็ว่าได้ นิลนราพาตนเองเดินย้อนกลับทางเก่าเพื่อติดตามค้นหากระเป๋าสตางค์ที่หล่นหายถึงแม้จะไม่มีหวังแต่ขอให้ผ่านไปเห็นก็ยังดีว่ามันไม่อยู่ตรงนั้นแล้วจริงๆ ระหว่างทางที่ก้าวเดินเกิดฉุกคิดถึงใครบางคนขึ้นมาหญิงสาวที่เธอนัดหมายเอาไว้ป่านนี้คงรอคอยและออกตามหาตัวเธอให้วุ่นวายแล้วก็เป็นได้

แสงแดดยามเย็นทยอยแสงสลัว เริ่มลิบหรี่ลงทุกทีสองเท้าก้าวเดินตามฟุตบาทริมทางเท้า พยายามดึงสติให้อยู่กับตัวไม่วอกแวกไปที่ใดอีกเนื่องจากวันนี้เธอเข็ดแล้วกับการเดินเหม่อลอยไม่สนใจสิ่งใดรอบกายสายตากวาดมองตามพื้นถนนบริเวณที่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเดินชนกับใครบางคนจนล้มลงแต่กลับไม่พบสิ่งใดที่เป็นสมบัติของเธอ กลับถึงบ้านจะแก้ตัวกับสามีแปลกหน้าได้อย่างไรว่าเงินที่เขาให้พกติดตัวหายจนหมดเกลี้ยงทั้งกระเป๋าสตางค์

เมื่อนึกได้อีกครั้ง มือบางล้วงลงหยิบเครื่องมือสื่อสารที่พกติดตัวมาต่อสายหาใครสักคนปุ่มเปิดเครื่องถูกกดค้าง แสงไฟหน้าจอสว่างวาบปรากฎสัญญาณบนจอกระจกเรืองแสงโชว์แบตเตอรี่อ่อนก่อนทุกอย่างจะดับวูบกลับมามืดมิดอีกครั้ง เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรืออย่างไร แม้แต่โทรศัพท์มือถือยังใช้การไม่ได้แล้วอย่างนี้เธอจะกลับยังสถานที่ที่เรียกว่าบ้านด้วยวิธีใดหากไม่เจอวิภานียังห้างสรรพสินค้าที่เธอกำลังมุ่งหน้าเดินไปหา

นิลนราเยื้องย่างอย่างคนหมดเรี่ยวแรงท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกที ป่านนี้วิภานีจะร้อนรนเพียงใดหากต้องตามหาเธอจนทั่วห้างสรรพสินค้าทุกอย่างเหมือนไร้หนทาง เธอคงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากกลับไปตั้งต้นยังจุดเดิมร่างบอบบางสาวเท้าต่อไปอย่างมีความหวัง

“นิล!”

“...”เจ้าของชื่อหันซ้ายแลขวามองหาต้นทางที่ดังเรียก น้ำเสียงฟังดูคุ้นชินเนื่องจากได้ยินบ่อยครั้งรถยนต์คันหรูเปิดประตูออกพร้อมคนตัวสูงก้าวลงจากรถมุ่งหน้าทางเธออย่างร้อนรน

“ทำไมคุณถึงมาเดินอยู่ตรงนี้!”

วิภานีวิ่งตามลงมาเมื่อเปิดสัญญาณไฟสีส้มกะพริบจอดรถข้างทางในมือถือโทรศัพท์กำไว้แน่น ทั้งพะวง สับสน เป็นห่วง สารพัดความรู้สึก รวมถึงโล่งอกเมื่อเห็นหน้าเพื่อนสนิทอยู่ในสายตา

“ไอ้นิล.. ฉันติดต่อแกไม่ได้เลยตามหาซะทั่วห้าง ใจคอไม่ดีเลยรู้ไหม”

วิภานีโผ่เข้ากอดร่างบางไว้แน่นราวกับนิลนราจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้งน้ำตาค่อยๆ ไหลซึม ตื้นตันจนต้องปล่อยโฮออกมา เสียงร่ำไห้สุดกลั้น ดีใจที่ตามหาเพื่อนสนิทจนเจอไตรภาคินถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งอกตามอีกคน คราวต่อไปคงยอมปล่อยให้เธอไปไหนไม่ได้อีกแล้วตามลำพัง

“เราไม่เป็นอะไรซะหน่อยอย่าร้องไห้ไปเลยนะ”

“ฉันเป็นห่วงแก ฮือๆ อีกอย่างฉันกลัวพี่ไตรหักคอฆ่าฉันตาย โทษฐานทำให้แกหายตัวไป อึกๆ”

วิภานีสะอึกสะอื้นระบายความในใจทำเอานิลนราถึงกับหลุดยิ้ม ขำขันหญิงสาวที่โอบกอดเธอไว้ ดูท่าวิภานีจะมีอารมณ์หวั่นไหวมากมายจริงๆไม่แปลกใจเลยทำไมเธอจึงมีจิตใจไปทางแนวงานศิลป์ ชอบศิลปะเป็นชีวิตจิตใจ แต่แล้วไม่ทันไรยิ้มเจือจางเมื่อครู่ต้องหุบลงเมื่อหันสายตาเห็นชายหนุ่มด้านข้างที่มองมาอย่างห่วงใยเธอลืมเขาไปเสียสนิทเกี่ยวกับสามีผู้แปลกหน้า หากเอาใจเขามาใส่ใจเราสักนิด เธอคงรับรู้ได้ทันทีว่าเขาคนนี้เป็นห่วงเป็นใยเธอมากกว่าหญิงสาวที่ยืนร้องไห้หลายร้อยเท่าจิตใจนิลนราเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข รู้สึกมีความผิดติดตัวขึ้นมาทันที

“เอ่อ..คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”

“วิโทรบอกว่าคุณหายตัวไปจะติดต่อหาก็ไม่ได้ ทำไมคุณไม่เปิดเครื่อง”

“คือ.. แบตหมดเปิดเครื่องติดมันก็ดับวูบ ก็เลย..”

“เอาล่ะ คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้วรู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงคุณขนาดไหน”

“เอ่อ.. ยังไม่หมดค่ะ คือฉันมีเรื่องจะสารภาพกับคุณ”

“เรื่องอะไร..”

วิภานีคลายวงแขนผละออกจากร่างกายของนิลนราปล่อยให้สองสามีภรรยาได้พูดคุยกันถนัดถนี่โดยไม่มีเธอแทรกระหว่างกลางมือบางยกขึ้นปาดน้ำตาแบบลวกๆ ก่อนร่นถอยไปยืนด้านข้าง พยายามกลั้นสะอื้นหยุดร้องไห้

“คือก่อนจะเจอพวกคุณฉันซุ่มซ่ามเดินชนคนอื่นจนข้าวของหล่น แล้ว.. กระเป๋าสตางค์ก็หายไปเงินที่คุณให้ไว้มันก็เลย..”

“หายไปด้วย”

“ค่ะ..ไว้มีโอกาสฉันจะหามาคืนนะคะ ว่าแต่ช่วยบอกจำนวนได้ไหม ฉันจะได้หามาคืนถูก..”

“นิล.. ทำไมคุณต้องคืนผมเรื่องแค่นี้ช่างมันเถอะ ยังไงของก็หายไปแล้ว ว่าแต่บัตรต่างๆ ในกระเป๋าหายไปคงต้องแจ้งอายัดก่อน แล้วว่างเมื่อไหร่ผมจะพาคุณไปทำใบใหม่แล้วกัน”

“...” นิลนราหลบสายตาแสร้งมองทางอื่นรู้สึกผิดเต็มประตู แต่ถึงอย่างไรเธอจะต้องหาหนทางนำเงินมาคืนเขาให้ได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้แม้ยังไม่รู้ว่าจะหามาด้วยวิธีใดก็ตาม

“กลับกันเถอะ มืดแล้ว”

ทั้งสามชีวิตพากันก้าวเดินกลับขึ้นรถผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน แม้วันนี้ความทรงจำต่างๆ จะยังไม่ฟื้นคืนแต่นิลนราก็ได้รับรู้เกี่ยวกับภาพในจินตนาการเพิ่มเติม และได้รู้ถึงความห่วงใยที่ผู้คนรอบข้างมีให้กับเธออย่างมากมาย


====================


หลากหลายสุ่มเสียงเซ็งแซ่วุ่นวายจนสับสนวิ่งผ่านเข้าโสตประสาทแต่จับใจความไม่ได้ว่าเป็นเสียงอะไร ในความว่างเปล่าเบื้องหน้าเมื่อหันมองทางไหนไม่มีสิ่งใดทาทับนอกเสียจากสีดำทมิฬสายตาพยายามสาดส่ายไปมาในความมืดมิด แต่เพียงไม่นานแสงสว่างก็ปรากฎขึ้นพร้อมกับภาพเลือนรางของหญิงสาวผมยาวสยายส่องสะท้อนโปร่งแสงเป็นประกายราวเทพธิดาบนฟ้า ใบหน้านวลเนียนงดงาม หญิงสาวแย้มยิ้มส่งให้ก่อนภาพทุกอย่างค่อยๆเคลื่อนย้ายราวกับสายลมพัดหมอกควันจนสลายหายไปในพริบตา หลงเหลือไว้เพียงความมืดอีกครั้ง

‘อย่าทิ้งผมไป คุณต้องไม่ทิ้งผมไป ผมรักคุณ’

เสียงแว่วสะท้อนกึกก้องไม่รู้ทิศทางกังวานดังรอบกาย หันแลทางไหนไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะก้าวเดินสองขาหนักอึ้งจนยกไม่ขึ้นและขยับไปไหนไม่ได้เลยคล้ายโดนเชือกรัดพันธนาการไว้ทั่วทั้งตัว

‘คุณกลับมาซะทีสิผมต้องการคุณ ทุกคนต้องการคุณ’

‘ฝากดูแล ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้โปรดอย่างละทิ้งสิ่งสำคัญของฉันไป ได้โปรด..’

น้ำเสียงโศกเศร้าค่อยๆ จางหาย หลายประโยคผ่านมาแล้วผ่านไปจนเกิดความสับสนหากเพียงไม่นานแสงสว่างปรากฎขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวคนเดิมกลับมายืนเปล่งแสงในความมืดมองเห็นเป็นภาพเลือนรางราวกับเธอเป็นเงาสะท้อนบนผิวน้ำที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเชื่องช้าเมื่อเพ่งเข้าไปที่ใบหน้านวลเนียน มองเห็นรอยยิ้มค่อยๆ แสยะกว้าง เลือดสีแดงฉาดค่อยๆไหลทะลักจากศรีษะรดลงใบหน้า ซึมผ่านเสื้อผ้าเนื้อบางที่กำลังพลิวไสวจนกลายเป็นสีเลือดในพริบตาเสียงกรีดร้องปนหัวเราะดังผ่านโสตประสาทจนแสบแก้วหู

‘เธอต้องอยู่ตรงนี้ตลอดไปถูกกักขังไว้ตลอดกาล’

“ไปให้พ้น! ออกไป!”

“นิล!คุณเป็นอะไร!”

ร่างกายสั่นสะท้านเปิดเปลือกตากว้างเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือใครบางคน เขย่าให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นจากความน่ากลัวสยดสยองไตรภาคินกำบีบมือภรรยาไว้แน่น ปลอบขวัญกระเจิดกระเจิงให้กลับมาหญิงสาวประคองตนเองลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิถอนใจเฮือกใหญ่ ภาพทั้งหลายและเสียงที่ได้ยินเป็นเพียงสิ่งหลอกหลอนจิตใจ

“ไอ้นิล..แกฝันร้ายเหรอ”

“คงจะฝันร้ายดูเหงื่อแตกเต็มไปหมด คุณไม่เป็นไรใช่ไหมนิล”

“ฉันไม่เป็นไรนอนกันต่อเถอะค่ะ ขอโทษที่ทำให้ทุกคนตื่นกลางดึก”

“...”วิภานีเลื่อนกายลงนอนข้างเพื่อนสนิท หลับต่ออีกครั้งในทันที คงเสียพลังงานไปเยอะกับการวิ่งหานิลนราที่หายตัวไปและร้องไห้จนตาบวมเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมามีเพียงไตรภาคินที่ยังคงเป็นห่วงภรรยาตนเอง ข้อศอกท้าวขอบเตียงดึงมือบอบบางจับกุมไว้ก่อนก้มหอมสัมผัสความอ่อนโยนส่งผ่านความอบอุ่นแก่เธอผู้หวาดหวั่นในแววตา ปลอบประโลมให้รู้สึกดีขึ้น

“ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”

“นอนต่อเถอะคะอย่าทำให้ฉันรู้สึกผิดเลย”

มือบอบบางค่อยๆชักออกจากการเกาะกุม นิลนราขยับกายล้มตัวลงนอนอีกครั้งหากแต่อยู่ในดวงตาห่วงใยที่จ้องมองไม่วางตา ไตรภาคินรู้สึกกังวลใจเมื่อเห็นสีหน้าของภรรยาดูไม่สู้ดีเขายอมล้มกายลงนอนอย่างไม่วางใจบนพื้นห้องข้างเตียง ไตรภาคินนับเป็นสุภาพบุรุษสละที่นอนในส่วนของเขาให้วิภานียึดครองเต็มพื้นที่ทำให้ตนเองต้องระเห็จลงมานอนยังพื้นด้านล่างโดยมีที่นอนปิคนิคปูราบพร้อมผ้าห่มคลุมกายผืนใหญ่สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่ายกาย

ทุกคนในห้องหลับไหลมีเพียงนิลนราที่ยังนอนตาแป๋วมองผืนเพดานคิดอะไรหลายอย่างที่เกิดจากความฝันเมื่อครู่เวลานี้เธอกำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใด ภาพฝันต้องการบอกเหตุอะไรหรือไม่ นิลนรายังคงไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตนเองความกังวลเกาะกุมความรู้สึกทำให้ข่มตาหลับไม่ลง

แสงตะวันคืบคลานทะลุผ่านกระจกใสเล็ดลอดส่องถึงผ้าม่านสีอ่อนทำให้ทั้งห้องเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆดวงตาปรือกะพริบปรับภาพจนชัดเจน กวาดมองรอบห้องก่อนบิดกาย ยืดแข้งขายาวเหยียดชายหนุ่มยกร่างลุกขึ้นนั่ง จุดแรกที่ดึงดูดสายตาให้หันไปมองคือเตียงนอนทว่าเวลานี้ว่างเปล่าไร้ใครเอนพักกาย หญิงสาวสองคนที่เคยอยู่ตรงนี้หายไปไหน ไตรภาคินนิ่งคิดก่อนลุกยืนเต็มตัว

สองเท้าก้าวพาร่างกายเดินโงนเงนลงตามขั้นบันไดมือยกเสยผมเส้นเล็กลวกๆ จัดทรงให้เข้าที่เข้าทาง พยายามกวาดสายตามองหาสิ่งมีชีวิตระหว่างทางเดินจนเห็นด้านหลังของใครบางคน

“แตง..เห็นคุณนิลไหม”

คำถามส่งตรงยังเด็กรับใช้ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเช็ดทำความสะอาดชั้นวางของบริเวณใกล้เคียงเธอหันกลับตามเสียงถามไถ่ด้วยท่าทางสำรวมก่อนตอบในสิ่งที่รู้

“คุณนิลเดินเล่นอยู่ในสวนค่ะคุณไตร”

“อืม..”

เมื่อรู้ถึงจุดหมายปลายทางไตรภาคินมุ่งหน้าเดินต่อเพื่อติดตามบุคคลที่อยากพบเจอสายตาทอดมองหญิงสาวทั้งสองที่เดินชมวิวในสวนดอกไม้อย่างเพลิดเพลิน

“อ้าวพี่ไตรตื่นแล้วเหรอ”

วิภานีเอ่ยทักคนตัวสูงเมื่อเห็นเขาเดินเข้าหาในระยะใกล้ชิดทำให้นิลนราหันมองตามชายหนุ่มที่หญิงสาวทักทาย

“อืม..ทำไมตื่นเช้ากันจัง”

“ใครเขาจะนอนกินบ้านกินเมืองเหมือนพี่ล่ะ”

วิภานีแขวะใส่พรางกลั้วหัวเราะในลำคอพานิลนราส่งยิ้มหวานร่วมวงสนทนา

“นิลเมื่อคืนคุณนอนไม่หลับงั้นเหรอ”

“คะ..?”

หญิงสาวหันสายตาหาสามีแปลกหน้าอีกครั้งจ้องมองด้วยความแปลกใจ เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอไม่ได้หลับนอนดังเขาว่าไว้จริงๆ

“หน้าตาคุณดูอิดโรยขอบตาก็ดำเป็นหมีแพนด้าไปแล้วนะ”

ความเอาใจใส่ของผู้ชายหนึ่งคนทำให้สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าและท่าทางที่แสดงออกจะว่าไปตลอดคืนที่ผ่านมาไตรภาคินเป็นห่วงภรรยาจนนอนไม่หลับเช่นกันในใจกังวลกระสับกระส่ายพยายามข่มตานอนจนเผลอหลับไปในช่วงใกล้สว่างเต็มที

“พอดีฉันนอนคิดอะไรนิดหน่อย”

“เออ..เมื่อคืนนี้แกฝันอะไรไอ้นิล ร้องลั่นเลย”

สายตาทุกคู่จับจ้องที่นิลนราอยากรู้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างของความฝันที่ทำให้เธอผวาหวาดกลัวหญิงสาวนิ่งคิดชั่วครู่นึกย้อนเหตุการณ์ความน่าสยดสยองที่วนเวียนในจิตใจตั้งแต่กลางดึกจนถึงปัจจุบันมันไม่ได้จางหายไปจากความคิดเธอเลยสักนาที

“เรา..ฝันเห็นตัวเองมีเลือดเต็มไปหมด แล้วก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ของคนหลายคนพูดซ้ำไปซ้ำมา”

“ฝันร้ายอาจกลายเป็นดีก็ได้คุณอย่าคิดมาก เอางี้.. วันนี้ช่วงเช้าผมว่าง เราไปทำบุญถวายสังฆทานกันคุณจะได้สบายใจ แล้วเดี๋ยวคืนนี้ผมจะมารับคุณไปหาลูก”

“ค่ะ”

คงหนีปัญหาไม่พ้นอีกต่อไปถึงอย่างไรเธอต้องเผชิญหน้ายอมรับความจริง ว่าตนเองเป็นผู้หญิงที่แต่งงานมีสามียืนอยู่เคียงข้างพร้อมลูกสาวตัวน้อยวัยกำลังน่ารักน่าเอ็นดูให้คอยดูแลมอบความรัก ความห่วงใยไม่ทำร้ายจิตใจดวงน้อยอย่างเช่นที่เคยผ่านมามีพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รอคอยให้ปรับตัวเข้าหา แม้สภาวะจิตใจจะยังไม่พร้อมยอมรับอย่างเต็มตัวก็ตาม


===================


สถานที่สงบร่มเย็นเป็นที่พึ่งทางใจของใครหลายคนทั้งที่ฝักใฝ่ในธรรม หรือต้องการพักพิงเพื่อจิตใจที่แน่วแน่มีสมาธิ ไม่ว่าจะสังคมเมืองหรือชนบทต้องมีสถานที่แห่งนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจหากในรุ่นปู่ย่าตายายสมัยก่อนถ้าเอ่ยถึงวัดคงต้องยอมตื่นแต่มืดเพื่อเตรียมหากับข้าวทำบุญเลี้ยงพระจัดข้าวของเพื่อใส่บาตรถวายสังฆทาน แต่ปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างแปรเปลี่ยน ในช่วงที่มีเวลาเร่งด่วนเป็นเงินเป็นทองเช่นนี้การทำบุญใส่บาตร สะดวกและหาได้ง่ายดาย แค่เดินตามเขตชุมชนก็เจอร้านขายกับข้าวสำเร็จรูปผูกแกงใส่ถุง จัดสำรับเป็นชุดไว้เตรียมพร้อม แค่ควักเงินจ่ายถือเป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมากพิธีรีตอง การทำสังฆทานก็เช่นกัน ถังเหลืองจัดเครื่องถวายบรรจุจนเต็ม วางเรียงรายให้เลือกขนาดและราคาหยิบเข้าทำบุญร่วมกันหลายครอบครัว สะดวกและรวดเร็ว ราวกับวงจรธุรกิจ

สองหญิงหนึ่งชาย ก้าวเดินตามลานดินโล่งกว้าง ต้นไม้ใหญ่ยืนตระหง่านให้ร่มเงา บดบังแสงแดงที่ส่องสะท้อนจนไม่หลงเหลือความร้อนสัมผัสแตะโดนผิวกายหลังจากได้ทำบุญถวายสังฆทาน จิตใจที่เคยร้อนรนของนิลนราดูสงบลงมากยิ่งได้มาอยู่ยังสถานที่ร่มเย็นด้วยแล้ว ทำให้เธอรู้สึกถึงการปล่อยวางทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้สักพักใหญ่เลยทีเดียว

“เป็นไงนิลทำบุญแล้วดีขึ้นบ้างไหม หลังจากนี้คุณคงไม่ฝันร้ายอีกแล้วล่ะ”

นิลนราเงยหน้ามองชายหนุ่มด้านข้างพร้อมส่งยิ้มหวานให้เขาคล้ายเป็นการขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพยายามปลอบประโลมให้เธอรู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิมนิลนราละสายตาจากวงหน้าคมสันหันมองรอบบริเวณเก็บเกี่ยวความสดชื่นของธรรมชาติสูดกลิ่นไอของบรรยากาศที่ตลบอบอวลไปด้วยต้นไม้ใบหญ้านานาพันธุ์ระหว่างทางเดิน

“แม่หนูใบหน้าหมองเศร้า มีเรื่องคิดหนักอย่างนั้นใช่ไหมจ๊ะ”

เสียงราบเรียงพูดจาอย่างเชื่องช้าแผ่วเบา ของหญิงชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าปีเอ่ยทักระหว่างเดินสวนกับนิลนรา ทำให้เธอจ้องมองหญิงชราคนนั้นด้วยอาการตะลึงและแปลกใจถูกทักทายจากบุคคลไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หญิงสาวพยายามหันซ้ายแลขวามองหาคนคุ้นเคยทั้งไตรภาคินและวิภานีเดินนำหน้าไปก่อนจึงไม่ทันได้อยู่ช่วยเหลือเธอเวลานี้ สองมือเอื้อมประคองหญิงชราที่ทำท่าราวกับจะเดินไม่ไหวมองไปรอบด้านเพื่อหาญาติสนิทที่อาจจะเดินมาพร้อมกับหญิงชราผู้นี้

“เอ่อ..คุณยาย มีอะไรกับหนูหรือเปล่าคะ แล้วญาติๆ คุณยายไปไหนหมด”

“แม่หนูมีกรรมไร้ที่อยู่ ตัวตายตัวแทนเกิดขึ้นแล้ว”

“อะไรคะคุณยาย”

ความคิดเดียวที่เธอรู้สึกได้ในเวลานี้คือหญิงชราคนนี้ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ พูดจาอะไรไม่รู้เรื่องคงเป็นอาการของผู้สูงอายุที่ความจำเริ่มสับสนเลอะเลือนก็เป็นได้ จึงทักอะไรแปลกๆนิลนราได้แต่แอบคิดในใจ

“แม่หนูต้องมีสมาธินะจ๊ะเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะได้รู้ในสิ่งที่ค้นหา”

“คุณยายพูดเรื่องอะไรคะหนูไม่เข้าใจ”

เจรจาจบประโยคหญิงชราดังกล่าวก้าวออกห่างจากเธออย่างเชื่องช้าราวกับค่อยๆย่องเดิน มือบางที่จับแกประคองไว้เมื่อครู่คลายออกจนหลุดพ้นร่างของหญิงชราคนนั้นนิลนราพยายามมองตาม หวังส่งให้บุคคลที่เธอเรียกว่าคุณยายเดินไปอย่างปลอดภัย

“นิล..คุณมัวทำอะไรอยู่”

หญิงสาวหันตามเสียงเรียกชื่อจึงเห็นว่าไตรภาคินและวิภานีเดินย้อนกลับมาหาและมองเธอด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหยุดยืนอยู่ตรงนี้เป็นนานสองนาน

“พอดีมีคุณยายมาคุยกับฉันค่ะ”

ใบหน้าและสายตาหันกลับชี้นิ้วชวนให้ทั้งสองมองยังหญิงชราคนนั้นทว่าเวลานี้ไม่มีใครอยู่รอบบริเวณแม้สักคนเดียวสายตากวาดส่ายไปมาพยายามเพ่งมองให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดที่จะบดบังร่างเล็กของหญิงชราได้เลยพื้นที่รอบบริเวณเป็นลานดินโล่งกว้าง เป็นไปไม่ได้ที่คุณยายคนนั้นจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“คุณมองหาอะไรนิล”

“เอ่อ..ฉันมองหาคุณยายคนเมื่อกี้ที่เดินสวนกันหนะค่ะ”

“พวกเราเดินสวนกับใครด้วยเหรอไอ้นิลตั้งแต่ออกจากถวายสังฆทานเราก็เดินอยู่แถวนี้แค่สามคน ไม่เห็นมีใครสักคน แกตาฟาดไปหรือเปล่า”

“นั่นสินิลผมก็ไม่เห็นใคร ก็มีแค่คุณนี่ล่ะ ที่หยุดนิ่งอยู่ตรงนี้”

“แต่เมื่อกี้ฉันเห็น..เอ่อ.. ไม่มีอะไร เรากลับกันดีกว่านะคะ อย่ามาเสียเวลากับฉันเลย”

ร่างบางก้าวเดินเกิดข้อสงสัยในใจ คุณยายที่คุยกับเธอเมื่อครู่หายไปทางไหนและหายไปได้อย่างไรในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งๆ ที่แกเดินออกตัวอย่างเชื่องช้า ‘คุณยายหายไปไหน’ขนตามตัวลุกพองอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมากะทันหัน

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจทุกคนก้าวเดินขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่ตรงลานหน้าวัดกว้างขวาง พูดคุยสนุกสนานระหว่างทางมีเพียงนิลนราคนเดียวที่ไม่ร่วมสนทนาใดๆ เธอยังคงนึกถึงหญิงชราที่ได้พบเจอและย้อนทวนคำพูดทั้งหมด มีความหมายอะไร ความคิดทำให้เธอดูเหม่อลอยผิดปกติจนคนด้านข้างจับสัมผัสได้

“นิลคุณเป็นอะไรหรือเปล่าตั้งแต่ออกจากวัดก็นิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่สบายตรงไหนไหม”

“อ่อ..ไม่ค่ะ ฉันสบายดี”

ประโยคถามไถ่ดึงเธอหลุดจากความคิดทั้งปวงปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ไม่มีพิรุธใดๆ ปรากฎให้ใครได้เห็นอีก

“พี่ไตรวิรบกวนส่งวิที่ห้องภาพด้วยสิ เป็นทางผ่านพอดีใช่ไหม”

“ได้สิ”

“เราขอไปเที่ยวที่ห้องภาพของวิบ้างได้ไหม”

“ไม่อยากกลับไปพักผ่อนเหรอนิลดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยสบายนะ ผมว่ากลับบ้านพร้อมผมดีกว่าคุณนอนพักผ่อนเอาแรงรอผมกลับจากทำงาน แล้วเราไปหาน้องไหมด้วยกัน”

“ฉันไม่อยากพักค่ะอยากไปเปิดหูเปิดตามากกว่า”

“ไปสิแกฉันมีงานอยากอวดแกเยอะแยะเลย ตั้งแต่เปิดห้องภาพมาแกแวะไปไม่กี่หนเองก็เกิดเรื่องซะก่อน”

“ให้ฉันไปได้ไหมคะ”

ประโยคขออนุญาตพาชายหนุ่มที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับถึงกับหนักอกหนักใจไม่อยากอ่อนข้อให้สักเท่าใด เกรงจะเกิดเรื่องวุ่นวายจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแต่แววตาเศร้าหมองทำให้ใจอ่อนเสียทุกที หากเขากักเก็บเธอไว้ในขวดโหลได้คงดีจะขังไว้แบบนั้นแล้วพกติดตัวไม่ให้คาดสายตา

“สัญญากับผมก่อนว่าคุณจะไม่เถร่ไถลไปที่อื่น และจะรออยู่ที่นั่นจนกว่าผมจะไปรับ”

“ได้ค่ะฉันสัญญา”

น้ำเสียงหนักแน่นแสดงออกถึงความยินดีสมหวังดังตั้งใจไว้ ถึงแม้รู้ดีไปสถานที่ทำงานของวิภานี เธอคงไม่มีอะไรทำอยู่ดีแต่มันยังดีกว่ากลับไปบ้านหลังใหญ่โตและต้องเผชิญหน้ากับตรีชาดาคู่อริที่คงไม่ลงรอยกันง่ายๆ

มีต่อด้านล่างค่ะ




Create Date : 30 มกราคม 2556
Last Update : 30 มกราคม 2556 21:30:17 น.
Counter : 620 Pageviews.

2 comments
  
รถยนต์ขับทยานไปตามท้องถนนที่ดูโล่งไม่ติดขัดสักเท่าใดกับการจราจรช่วงเช้า ระหว่างทางมีการพูดคุยสนุกสนาน หากแต่นิลนรายังคงนิ่งเงียบนึกตามคำพูดของหญิงชราที่บังเอิญพบเจอในวัด และข้อข้องใจที่ยังไม่ถูกคลี่คลาย คุณยายคนนั้นหายไปจากสายตาได้อย่างไรโดยไร้ร่องรอย นิลนราพยายามตั้งสติ ควบคุมสมาธิ ดึงภาพต่างๆ ที่วนเวียนในสมองออกมาปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด หญิงสาวและชายหนุ่มที่โผล่ปรากฎให้เห็นในจินตนาการ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ทั้งสองเคยไป ไหนจะคำพูดที่ดังผ่านโสตประสาทถึงตัวตายตัวแทน สิ่งเหล่านั้นคือต้นเหตุที่เธอต้องค้นหาคำตอบให้ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับชีวิตเธออย่างไร ตั้งสติต่อสู้ภาพหลอนคือหนทางเดียวที่เธอควรจะทำ

“นิล.. คุณหลับเหรอ”

เสียงละมุนของคนด้านข้างปลุกเธอตื่นจากการหลับไหล จริงๆ แล้วเธอไม่ได้หลับลึก เพียงแค่ปิดเปลือกตาจมดิ่งกับสมาธิ จนดูทุกสิ่งว่างเปล่าและไร้ตัวตนสำหรับเธอ มือแข็งแรงจับไหล่กลมกลึงเขย่าเบาๆ ให้ภรรยารู้สึกตัว เปลือกตาปรือเปิดพร้อมเหลือบมองคนด้านข้างและหันมองหญิงสาวด้านหลังที่ชะโงกหน้ามองเธออย่างสงสัย

“ค่ะ ฉันคงจะเผลอหลับไป”

“ลงได้แล้วไอ้นิล ถึงห้องภาพแล้วแก”

วิภานีเปิดประตูนำลงจากรถ เมื่อยานพาหนะจอดสนิทยังสถานที่ร่มรื่น รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าแซมดอกไม้หลากสีสวยงามระรานตา ราวกับเป็นสวนหย่อมขนาดย่อม บางมุมมีโต๊ะเก้าอี้ตกแต่งไว้คล้ายตั้งใจจัดทำเพื่อใช้สำหรับวาดภาพโดยเฉพาะตามลักษณะของงานศิลปะ สาวมาดเซอร์พานำเดินตรงยังบ้านหลังกะทัดรัดไม่ใหญ่โตอลังการและไม่เล็กจนคับแคบ ชั้นบนของห้องภาพปลูกเป็นไม้ทาทับด้วยสีขาวสะอาดตา ชั้นล่างเป็นปูนทาสีสลับฟ้าขาวสวยงาม

ห้องภาพแห่งนี้วิภานีจงใจตกแต่งให้ออกมาใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากความเป็นธรรมชาติจะเข้าถึงอารมณ์ศิลปะได้ดีและที่สำคัญทำให้สมองปลอดโปร่ง จิตใจเบิกบานเมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า และสีต่างๆ นานา ของดอกไม้สวยงาม

ประตูห้องภาพถูกเปิดออกเมื่อก้าวเดินมาถึงตัวบ้าน ภายในคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นไอของสีหลากชนิดที่ใช้ประกอบการวาดภาพชวนเวียนหัวหากยังไม่คุ้นชิน ขาตั้งภาพขนาดใหญ่วางอยู่กลางห้อง มีผ้าคลุมสีขาวปิดหน้ากระดาษเอาไว้ พอแง้มให้เห็นภาพที่กำลังถูกวาดแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ผ้าม่านตามบานหน้าต่างถูกผูกรวบทำให้แสงผ่านเข้ามาด้านในเต็มที่ สว่างรอบบริเวณไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวันเช่นนี้

“นิลผมไปทำงานก่อนนะ ไว้ค่ำๆ จะกลับมารับ”

หญิงสาวหันกลับมามองคนตัวสูงที่เดินตามหลัง พร้อมพยักหน้าให้เขาเป็นการทำความเข้าใจกันเรียบร้อย

“ไม่กินขนม กินน้ำก่อนเหรอพี่ไตร”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวจะสาย พอดีพี่นัดลูกค้าเอาไว้ ยังไงพี่ฝากดูแลนิลด้วยนะวิ พี่ไปก่อนล่ะ”

วิภานีพยักหน้ารับปาก ยกมือโบกส่ายไปมา

“ขับรถดีๆ นะคะ”

นิลนราเอ่ยคำลา พาชายหนุ่มคลี่ยิ้มส่งให้ภรรยาก่อนเดินจากไปขึ้นรถยนต์เพื่อเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่สำคัญ ทั้งที่จริงไม่อยากปล่อยให้ภรรยาของเขาอยู่ห่างไกลกันเลยแม้สักนาที

“แกนั่งเล่นตรงโซฟาไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันหยิบขนมมาให้”

วิภานีเดินลึกเข้าด้านใน ปล่อยให้นิลนราเดินดูโน้นดูนี่ไปพลาง ตามกำแพงรอบห้องมีแต่รูปภาพวิว ต้นไม้ ดอกไม้ตกแต่งไว้เต็มพื้นที่ นิลนราย่างเดินชมฝีมือวาดภาพหลากหลายแบบของวิภานีทีละภาพ เรื่อยไปจนครบรอบด้านที่ประดับประดาไว้ ถัดมาไม่ไกลกันมีโต๊ะวางเครื่องมือเกลื่อนกลาด บนผืนหนังสือพิมพ์ที่ปูรองไว้เคลอะไปด้วยสีที่แข็งตัวจนเป็นก้อน พู่กันเสียบจนเต็มกระป๋องมีหลายขนาดปนเป ดินสอไม้ทั้งสีดำและมีสีสันกองเรียงเต็มโต๊ะดังกล่าว คงเป็นโอกาสดีที่นิลนราจะได้สำรวจสิ่งต่างๆ ที่คล้ายเป็นโลกส่วนตัวของวิภานี เพื่อที่เธอจะได้เข้าใจถึงนิสัยใจคอของหญิงสาวที่เป็นเพื่อนสนิท สายตาเลื่อนมองไปเรื่อยเปื่อยโดยที่ไม่คิดจะจับแตะสิ่งใดให้เสียหายหรืออยู่ผิดที่ผิดทาง

ระหว่างทอดสายตามองไปเรื่อยๆ หางตาเหลือบเห็นรูปถ่ายวางนิ่งบนโต๊ะ รู้สึกสะดุดตาเป็นอย่างมาก มือบางเอื้อมหยิบขึ้นมาดูอย่างถือวิสาสะ เมื่อเพ่งมองจนชัดเจน ในรูปถ่ายใบนั้นปรากฎหญิงสาวผมซอยสั้น วงหน้าสวยงามไปด้วยการแต่งแต้มสีสันโทนอ่อนของเครื่องสำอางครบทุกส่วนบนใบหน้า รอยยิ้มกระตุกเชิดข้างปากทำให้ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล แม้จะไม่ได้แย้มยิ้มอะไรมากนัก ใจดวงน้อยของนิลนราสั่นไหวรุนแรง ยืนมองภาพในมือด้วยอาการตกตะลึง ไม่คาดฝันว่าเธอจะเคยเห็นหญิงสาวในรูปผ่านสายตามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เนื่องจากหญิงสาวคนนี้คือคนที่อยู่ภายในจินตนาการของเธอตลอดเวลา

นิลนราช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จ้องมองรูปถ่ายใบนั้นเนิ่นนาน ภาพที่อยู่ในจินตนาการลอยออกมาให้เห็นมากมายในสมองของเธออีกครั้ง

“ไอ้นิล.. แกไปยืนทำอะไรตรงนั้น”

“...” เสียงวิภานีไม่ได้ผ่านเข้าโสตประสาทแต่อย่างใด เวลานี้คล้ายจิตใจหลุดลอยออกจากร่างกายจนหาทางกลับเข้าร่างไม่ได้

“ไอ้นิล! แกเป็นอะไรของแก”

วิภานีเรียกชื่อเพื่อนซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นถึงความผิดปกติเกิดขึ้น นิลนราหันสายตาละจากรูปภาพมองหน้าวิภานีแน่นิ่ง คำพูดหล่นหายจากลำคอ ไม่รู้จะเริ่มต้นสื่อสารกับเพื่อนเบื้องหน้าได้อย่างไร ให้เชื่อในสิ่งที่เธอกำลังเผชิญ นิลนราพยายามตั้งสติ ทำสมาธิ สูดลมหายใจเข้าปอด จ้องมองหน้าวิภานีตัดสินใจบอกในสิ่งที่เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับเธอ

“เรา.. รู้แล้วว่าเราเป็นใคร..”

“อะไรนะแก!”

วิภานีใจเต้นโครมคราม รู้สึกตื่นเต้น กับการฟื้นคืนความทรงจำของเพื่อนสาวที่ยืนเบื้องหน้า ถึงเวลาเสียทีกับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นิลนราคนเดิมกลับมาแล้ว วิภานีได้แต่ร้องยินดีในใจ

“เราคือ..”

-กุ๊งกริ๊ง- เสียงกระดิ่งที่แขวนไว้ตรงกระจกบานประตูดังเตือนมีผู้มาเยือน หญิงสาวทั้งสองละสายตาจากทุกสิ่งหันมองตามเสียงตรงประตูทางเข้า พบชายหนุ่มร่างผอมสูงโปร่งราวร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตร เปิดประตูก้าวเดินเข้ามาด้านใน ผมยาวปะบ่าถูกเสยขึ้นจนเข้าที่เข้าทางหลังจากถอดหมวกออกจากศรีษะ วิภานีส่งยิ้มให้แขกผู้มาเยือนอย่างคนสนิทชิดเชื้อ ผิดกับนิลนราที่ยืนมองหน้าเขาด้วยอาการช็อคหนักกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้ชายหนุ่มมองเธอกลับด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจเหตุใดเธอจึงจ้องมองเขาหนักหนา จนคิดว่ามีอะไรบางอย่างติดอยู่บนใบหน้าเขาหรือไม่

“นายอิฐ..”

นิลนราพูดเสียงแผ่วในลำคอ พยายามดึงสติกลับมาอยู่กับตนเองอีกครั้ง แต่สายตายังจับจดอยู่ที่ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ละสายตา เธอก้มมองภาพถ่ายในมือ แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มอีกครั้ง ราวกับทุกสิ่งเป็นเรื่องบังเอิญ หรือสวรรค์กลั่นแกล้งเธอในหลายๆ อย่าง และเขาคนนี้คือคนที่เธอรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี


โปรดติดตามตอนต่อไป..
โดย: มาโซคิส วันที่: 30 มกราคม 2556 เวลา:21:31:16 น.
  
แวะมาเยี่ยมอีกแล้วค่ะพี่มาโซ
อ่านไปเรียบร้อยแล้วที่กระทู้ อิอิ

โดย: lovereason วันที่: 30 มกราคม 2556 เวลา:23:45:58 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments