หมอเต็มศักดิ์ได้รับเลือกเป็นอาจารย์แพทย์ดีเด่นของมหาวิทยาลัย
นับเป็นเกียรติประวัติที่น่าภาคภูมิใจ แต่เขาไม่รู้สึกยินดีเอาเสียเลย
เพราะกำลังประสบ ปัญหารุมเร้าหลายอย่าง ทั้งในครอบครัวและที่ทำงาน
เกิดความท้อแท้เหนื่อยหน่ายเป็นกำลังจนต้องขอพักงาน
เป็นเพราะต้องไปปรากฏตัวในงานแสดงมุทิตาจิตที่โรงพยาบาลจัดให้เขา
หมอเต็มศักดิ์จึงแวะไปที่โรงพยาบาลหลังจากลางานไปแล้วนับสิบวัน
แห่งแรกที่เขาเข้าไปก็คือ ตึกผู้ป่วยหญิง เพื่อเยี่ยมคนไข้มะเร็งผู้หนึ่งที่เขาเคยรักษา
ก่อนพักงาน เมื่อเขาเข้าไปในห้องผู้ป่วยคนนั้น ภาพที่ได้เห็นสะกดเขาจนแน่นิ่ง
หญิงสาวกำลังนอนอย่างสงบ ข้างเตียงคือแม่ของเธอ สองแม่ลูกกุมมือและสบตากัน
อย่างเงียบ ๆ ไม่มีถ้อยคำใดเอื้อนเอ่ยออกมา
ในห้วงยามอันสงบนั้น เขารู้สึกถึงความรักและความเอื้ออาทรที่แม่ลูกสื่อถึงกัน
อย่างเต็มเปี่ยม ในยามนั้นไม่ปรากฏร่องรอยแห่งความเจ็บปวดทุรนทุราย
ราวกับถูกสยบเอาไว้ให้แน่นิ่ง ผู้ป่วยกำลังอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต
แต่หมอเต็มศักดิ์ได้ประจักษ์แก่ใจว่า เธอหาได้ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ จากเขา
หรือหมอคนใดไม่ เธอไม่ต้องการยาหรือเคมีบำบัดใด ๆ
อย่างเดียวที่เธอปรารถนาคือ ความรัก เพียงความรักจากใจของแม่หรือคนใกล้ชิด
ก็พอแล้วสำหรับเธอ แม้แต่ถ้อยคำก็ไม่ใช่ สิ่งจำเป็นด้วยซ้ำ
อาการนิ่งสงบของสองแม่ลูกได้สะกดความวุ่นวายสับสนในใจของหมอเต็มศักดิ์
ที่ยืดเยื้อมานานหลายอาทิตย์ ให้สงบลงไปด้วย เขาได้ตระหนักว่า ถึงที่สุดแล้ว
คนเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความรักและความเอื้ออาทรจากคนใกล้ชิด
ยิ่งในวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยแล้ว อะไรเล่าที่จะสำคัญไปกว่าสายตาและสัมผัส
ที่เปี่ยมด้วยความรักจากคนรู้ใจ
จิตใจที่เคยหนักอึ้งด้วยความทุกข์กลับโปร่งเบาขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพียงเพราะว่า
ความทุกข์ของเขานั้นเทียบไม่ได้กับความทุกข์ที่สองแม่ลูกกำลังเผชิญ
หากยังเป็นเพราะเขามาได้คิดว่าสิ่งที่ทำให้เขาทุกข์นั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นสาระสำคัญ
สำหรับชีวิตเลย ชื่อเสียง ความสำเร็จ หน้าตา เงินทอง และอะไรต่ออะไรอีกมากมาย
หาใช่สิ่งที่คนเราต้องการในส่วนลึกของจิตใจไม่
โดยเฉพาะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรเลย
ถึงที่สุดแล้วเราก็ ต้องการเพียงแค่ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ
จากคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
จะว่าไปแล้วนี้คือบทเรียนสำคัญของชีวิตที่น้อยคนจะตระหนัก
สิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตมักเป็นเรื่องพื้น ๆ สามัญจนดูเหมือนไม่มีค่า
ผู้คนส่วนใหญ่จึงมองข้ามไป กลับไปให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นที่หวือหวาน่าตื่นตาตื่นใจ
น้ำ และอากาศ นั้นเป็นสิ่งสามัญที่ทุกชีวิตขาดไม่ได้ แต่ใครบ้างที่เห็นค่า
ต่อเมื่อปล่อยปละละเลยจนน้ำขาดแคลน อากาศเป็นพิษ เราถึงมาเห็นคุณค่า
ความรักและความเอื้ออาทรก็เช่นกัน ไม่มีชีวิตใดที่ขาดสิ่งนี้ไปได้
แต่เป็นเพราะได้รับจากคนรอบตัวมาตั้งแต่เล็ก เราถึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
ที่ไร้ความสำคัญ
ร้ายกว่านั้นก็คือไม่สนใจทะนุถนอมความรักที่ได้มา และไม่คิดจะเพิ่มพูนให้มากขึ้น
ตรงกันข้ามกลับบั่นทอนทำลายด้วยการแย่งชิงแข่งขัน ทะเลาะวิวาท
หรือฉวยประโยชน์จากกันและกัน เพราะเห็นสิ่งอื่นสำคัญกว่า
ผลก็คือเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง จึงไม่มีต้นทุนความรักหลงเหลือ
ที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจ กลับต้องอยู่และจากไปอย่างอ้างว้างและแห้งผาก
คงไม่มีอะไรที่น่าเศร้าเท่ากับการแวดล้อมด้วยผู้คนแต่ไร้ความรักให้สัมผัส
ทุกความรักที่ได้รับล้วนมีค่า จึงควรรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณ
ขณะเดียวกันก็อย่าลืมทะนุถนอมและบ่มเพาะความรักนั้นให้เจริญงอกงาม
ไม่ใช่ในใจของเราเท่านั้น แต่ในใจของผู้ที่ให้ความรักแก่เรา ด้วยการมีน้ำใจให้เขา
ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ และทำความดีตอบแทน
ที่ขาดไม่ได้คือ การให้อภัยและ ความอดทนอดกลั้น
ตระเตรียมความรักเป็นทุนถนอมรักษ์สัมพันธภาพอันงดงามไว้ให้ยั่งยืน
แล้วความรักจักเกื้อหนุนให้เราผ่านวิกฤตไปได้ด้วยดี เหตุการณ์ครั้งนี้
อย่างน้อยก็ทำให้เราคิดอะไรได้หลายๆ อย่าง เราเริ่มมองรอบๆ ตัว
มองไปที่ครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง และทุกคนที่เรารักและรักเรา
เราเริ่มกลัว กลัวว่าเรามีเวลามากแค่ไหน ที่จะทำความดีกับเค้า
กลัวว่าเค้าจะจากเราไปเสียก่อน หรือ เราอาจจะต้องจากโลกนี้ไปเสียก่อน
ที่เราจะได้ทำอะไรๆ ที่เราได้แต่คิด และอยากจะทำ แต่ไม่เริ่มทำสักที
ชีวิตคนเราสั้นนัก เราไม่มีวันรู้เลยว่า เรายังมีพรุ่งนี้อยู่รึเปล่า
เพราะฉะนั้น วันนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองและคนที่เรารัก
ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่านะคะ