การให้ทานที่ได้รับผลต่างกัน และ การให้ทานที่เลื่อนขั้นทางจิต




การให้ทานที่ได้รับผลต่างกัน


เจ้าปายาสิผู้ครองนคร ที่ขึ้นกับพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นมิจฉาทิฐิ
คือเห็นว่า โลกหน้าไม่มี ผลของการทำความดี และความชั่วไม่มี
แต่พระกุมารกัสสปได้เทศนาทางถูกให้ฟัง จนเจ้าปายาสิกลับเป็นสัมมาทิฐิ
และได้บริจาคทานเป็นประจำ..

แต่การบริจาคทานนั้น เจ้าปายาสิ ให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ให้ทานด้วยมือของตน
ให้ทานด้วยความไม่นอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้
เจ้าปายาสิได้มอบหมายให้อุตตรมาณพผู้เป็นบ่าวให้เป็นผู้ให้แทน

ส่วนอุตตรมาณพนั้น ได้ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน
ให้ทานด้วยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้

ผลปรากฎว่า หลังจากบุคคลทั้งสองได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว
เจ้าปายาสิได้ไปเกิดในวิมานชื่อ "เสรีสกะ" ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช
ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุดในบรรดาสววรค์ทั้งหมด และวิมานนั้นยังว่างเปล่า
ไม่มีเครื่องประดับประดาอะไรเลย และไม่มีนางฟ้าเป็นบริวารแวดล้อมด้วย

ส่วนอุตตรมาณพได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ซึ่งสูงกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชหนึ่งชั้น
และพรุ่งพร้อมด้วยยศและบริวารเป็นอันมาก.


ปายาสิราชัญญสูตร 10/307




-------------




การให้ทานที่เลื่อนชั้นทางจิต


พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ฝั่งสระโบกขรณีคัตครา เมืองจัมปา
พระสารีบุตรได้พาพวกบุบาสกชาวนครจัมปาเข้าเฝ้าและทูลถามปัญหา
ถึงผลของทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบ และทรงแสดงผลของทานตามลำดับ ดังนี้..

๑. คนบางคนในโลกนี้ มีความหวังแล้วให้ทาน มีจิตผูกพันในทาน
มุ่งการสั่งสมทาน ด้วยคิดว่าเราตายไปจะได้รับผลของทานนี้
เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก

๒. คนบางคนในโลกนี้ ไม่มีความหวังแล้วให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลของทาน
ไม่มุ่งการสั่งสมทาน ไม่คิดว่าตายแล้วจะได้รับผลของทานนี้ แล้วจึงให้ทาน
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป้นของดี
เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก

๓. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นของดี
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เคยให้เคยทำมา
เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แล้วจึงให้ทาน
เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา เมื้อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก

๔. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เคยให้เคยทำมา
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน พวกนับบวชเหล่านี้ไม่ได้หุงหากิน
เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่ท่านผู้ไม่หุงหา ดูเป็นการไม่สมควร แล้วจึงให้ทานเมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นดุสิต เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก

๕. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ แต่นักบวชเหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จึงให้ทาน
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจะเป็นผู้บริจาค เหมือนฤาษีต่างๆ ในอดีต แล้วจึงให้ทาน
เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นนิมมานรดี เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก

๖. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจะเป็นผู้บริจาคทาน เหมือนฤาษีต่างๆ ในอดีต
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจ และโสมนัส แล้วจึงให้ทาน
เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมตวสวัสดี เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก

๗. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส
แต่ให้ทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต คือเพื่อเลื่อนขั้นทางจิต แล้วจึงให้ทาน
เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นพรหม เมื่อสิ้นกรรมแล้ว ก้ไม่ต้องกลับมา คือไม่ต้องกลับมาสู่โลกนี้อีกแล้ว

นี้แลเป็นเหตุและปัจจัย ที่คนบางคนในโลกนี้ ให้ทานแล้ว จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก.


ทานสูตร 23/59




------------------



พระไตรปิฎก (ฉบับดับทุกข์)
โดย ธรรมรักษา






















จริงๆ ต้องยอมรับว่า ผมอ่านพระสูตรนี้แล้ว
พบว่ามีบางส่วน ต่างจากความรู้ที่ผมเคยรับรู้มาก่อนหน้านี้บ้างในบางส่วน

ผมเองก็เป็นผู้รู้น้อย หัดเรียนรู้อยู่ ก็ไม่กล้าวิพากษวิจารณ์มากนัก
ก็ต้องคิดเสียว่า อาจจะเป็นเรื่องของการ "ตีความ" แล้วมาบอกเล่ากันต่อมา


ถึงอย่างไร การศึกษาธรรมะ
ต้องยึดถือพระไตรปิฎกมาก่อน (และต้องยึดถือ คำจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้ามากก่อน)
แล้วจึงมาเป็นคำของพระสาวก และคำบอกกล่าว การตีความของผู้รู้ถัดๆ มา


เมื่อหนังสือเล่มนี้ คือการถอดความาจากพระไตรปิฎก
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจัดหมวดหมู่ ความน่าเชื่อถือว่าสูงกว่า
หนังสือ how to ทางธรรมะ จากผู้รู้ ที่นับว่าเป็นการตีความ เป็นการย่อยความมาเพื่อบอกกล่าวให้ง่ายกว่าอีกที


อันที่จริง พระไตรปิฏก(ฉบับดับทุกข์) ของ 'ธรรมรักษา' นี้
มีส่วนเสริม ที่เป็นการอรรถาธิบายเพิ่มเติมด้วยในทุกบท
..ทว่าผมไม่ได้คัดลอกลงมาด้วยตรงนี้






(ส่วนของผม)
ซึ่งหลายส่วนก็สอดคล้องกันกับความรู้ ที่ผมมีก่อนหน้านี้ อาทิ
การให้ทานนั้น ควรมีความยินดีทั้งก่อนให้ทาน
มีความเลื่อมใสในระหว่างให้ทาน และมีความปลาบปลื้มใจหลัวจากให้ทานแล้ว

การให้ทาน ต้องให้ด้วยความเต็มใจให้ ยินดี และเลื่อมใส มีศรัทธาที่จะให้ ฯ

การให้ทานต้องไม่เบียนเบียนตนเอง และไม่เบียดเบียนผู้อื่น


ผมตรวจสอบตัวเอง ตาม "ทานสุตร" นี้ ,
บางมุมก็แอบสงสัยว่าเราให้ทานโดยเน้นหนักข้อไหนมากเกินไปหรือเปล่า??

หนักไปที่ข้อ 1. หรือเปล่าหว่า.. หรือหนักไปที่ข้อ 2.
หรือว่าหนักไปที่ข้อ 6. , อ่านทวนๆ ไป ข้อ 7. เราก็พอมีมั้ง!! (สละออก)


เรื่องการเลื่อนขั้นทางจิต , เคยฟังๆ มา(จากไหนไม่แน่ใจ-อาจจะ 'ดังตฤณ'?)
ว่าการให้ทาน คือการฝึกการ "สละออก" , ลดความตระหนี่ถี่เหนียวในใจ
ลดความยึดมั่นถือมั่น ว่านี้เป็นของของตน..

ให้ทานก็ได้ฝึกการสละออก ลดความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของของตน
..คิดแบบนี้ได้ ก็ว่าน่าจะดีนะ น่าจะเข้าข่ายฝึกใจได้



แต่ก่อน สมัยก่อน , ผมทำบุญทำทานน้อย เพราะคิดเห็นว่าตัวเองยังมีน้อยอยู่
จึงไม่ค่อยได้ทำ หรือทำก็ทำเพียงน้อยๆ

จริงๆ จะทำน้อย หรือทำมาก ไม่น่าเป็นสาระสำคัญ
เท่ากับว่า การเต็มใจทำหรือเปล่า?
มีน้อยก็ทำน้อย ทำด้วยเจตนาที่ดี มีใจจะทำจริงๆ ก็ดีกว่า
ทำมาก แต่ไม่เต็มใจทำ (หรือทำด้วยความไม่น้อบน้อม ตามปายาสิราชัญญสูตร)


หลังๆ มาเดี๋ยวนี้ ,
ผมเอง ก็น่าจะเข้าข่ายตระหนี่น้อยลงมากแล้วหล่ะ(เทียบกับแต่ก่อนอ่ะนะ)
ทำบุญทำทานเก่งขึ้น(ถึงจะไม่มากมาย แต่ก็เก่งขึ้นเยอะอ่ะนะ)

..แต่พอมาอ่านเจอ "ทานสูตร" นี้
ก็เอ๊ะ..หลังๆ มานี้ เหมือนจะเข้าข่ายสะสมทานหรือเปล่าหว่า??
อาจจะ..เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่คิดว่าเรามีจิตผูกพันในทานก็เถอะ
แต่ชอบใช้คำว่า "หยอดกระปุก" บ่อยๆ

จริงๆ หลักๆ เราน่าจะเข้าข่ายข้อ 6. ซ่ะมากกว่านะ
เพราะก่อนทำทานใดๆ แบบรู้ตัว ก็มักจะทำใจ ตั้งจิตก่อน ตามที่ว่า..
คือทำใจดีๆ ก่อนทำทาน ทั้งระหว่างทำทาน และหลังทำทานแล้ว , มักจะตั้งจิตประมาณนี้ไว้เสมอๆ


ทั้งๆ ที่แรกเริ่ม ที่เดียวนี้ ทำทานง่ายขึ้น เก่งขึ้น เพราะอยากฝึกละความตระหนี่เป็นหลัก
อยากฝึกการ "สละออก" , และไม่ใช่แค่เรื่องทรัพย์ทานเท่านั้น
แต่รวมๆ ไปถึงทานอื่นๆ อาทิ วิทยาทาน ธรรมทาน อภัยทานด้วย เป็นต้น


เขียนมาถึงตรงนี้ เริ่มรู้สึกว่า
เราจะมีจิตผูกกับทานมากเกินไปหรือเปล่าหว่า 555(คิดซ่ะขนาดนี้)

ทำใจให้สบายๆ ทำสิ่งใดๆ ด้วยความเต็มใจให้-หวังดี ให้ด้วยความเลื่อมใส-ศรัทธา
ฝึกการสละออกเพื่อยกระดับจิตใจตัวเองดีกว่านะเรา







เอาเป็นว่า สำหรับ ฆารวาส หรือคฤหัสถ์ แล้ว
...ทาน-ศีล-ภาวนา... หมั่นทำไว้ให้เคยชินเป็นนิสัยดีที่สุด
คงไม่ต้องถึงกับเลิศหรูเลิศลอย เอาแบบเป็นไปตามธรรมชาติสบายๆ ชิวๆ ดีกว่าเนอะ
จำไว้ว่าอย่าตรหนี่ เพราะยิ่งเราตระหนี่มาก ก็ยิ่งยึดติดมาก เป็นทุกข์มาก ทำใจยาก






ท้ายนี้ คงไม่เชิงบอกบุญหรอกนะ
ทุกๆคนรู้อยู่แล้ว เหตุที่เกิดขึ้นที่เฮติ น่าสงสารนะ , คนละนิดคนละหน่อยก็ดีนะ

ของรัฐบาลก็มี ผ่าน ktb(ผมหาข้อมูลไม่ได้นาทีนี้)
ช่อง 3 ก็มี , สรยุทธก็มี ดาราก็มีเยอะแยะ เห้นมีหลายที่

ผมเองก้คงเน้นผ่านที่สภากาชาดไทยอ่ะนะ รู้สึกว่าใกล้ชิดดี



สภากาชาดไทย (redcross.or.th)

สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนประชาชนร่วม บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ประเทศเฮติ ได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเฮติ" หมายเลขบัญชี กระแสรายวัน 045-3-04368-1 พร้อมส่งใบโอนเงินไปที่ คุณ ภารดี วนกุล หัวหน้าฝ่ายการเงิน สำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย หมายเลข FAX 0-2250-0120 พร้อมระบุ ชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อให้ชัดเจนเพื่อขอรับใบเสร็จ

สภากาชาดไทยยินดีรับบริจาคเป็นเงินเท่านั้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายส่งสิ่งของสูงมาก เงินบริจาคดังกล่าวจะนำไปสนับสนุนปฎิ บัติการบรรเทาทุกข์ของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ ซึ่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่ในประเทศเฮติขณะนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1664 และ 0-2256-4068 หรือ 0-256-4047- 8


หรือจะดูที่อื่นๆ ตามลิงค์นี้ก็ได้นะ มีอีกหลายที่ แล้วแต่ที่เราสะดวก
//news.sanook.com/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%95%E0%B8%B4-891965.html





สวัสดีครับ..


Create Date : 24 มกราคม 2553
Last Update : 24 มกราคม 2553 0:02:13 น. 9 comments
Counter : 581 Pageviews.

 

กลับมาจากเชียงใหม่เมื่อต้นสัปดาห์
ด้วยความที่หัวใจอ่อนแอ บวกกับความที่ร่างกายเดี๋ยวนี้ไม่ฟิต
ทำให้เป็นหวัดงอมแงมมาหลายวันแล้ว...


ที่น่าเศร้ายิ่งกว่า คือ ไม่มีใครสักคนมาเป็นห่วงตูเลย แงๆๆ




(มันเรียกร้องให้ใครมาเป็นห่วงมันเนี่ย 555)







โดย: หนมเม็ด IP: 203.144.144.165 วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:0:39:43 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

แวะมาอ่านจ๊ะเขียนได้ดีจังเลย


โดย: อุ้มสี วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:14:50:59 น.  

 
ให้ทานที่ดีที่สุดคือให้ด้วยเจตนาดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน บริสุทธิ์ที่จิตใจน่ะค่ะ

เสริมอีกหน่อย การให้ทานอีกแบบที่สำคัญมากคือ ให้ทานแก่อะไรๆที่อยู่ต่ำชั้นกว่ามนุษย์น่ะค่ะ แบบนั้นเรียกว่าให้อาหารบุญ ให้ด้วยการ ถือศีลบริสุทธิ์ และ ทำสมาธิ ค่ะ


โดย: Chulapinan วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:0:02:12 น.  

 
อ้อ อีกนิด เมื่อถือศีลบริสุทธิ์และทำสมาธิ ปัญญาค่อยๆเกิด การตีความพระไตรปิฎก เราจะทำได้เองค่ะ โดยที่ไม่ต้องผ่านใครให้ตีความให้เลย


โดย: Chulapinan วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:0:04:33 น.  

 
หายป่วยเร็ว ๆ นะคะ ^^


โดย: The Sphinx IP: 125.25.11.135 วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:14:28:56 น.  

 
..หนูไม่ทราบว่าพี่m&m ไม่สบายจริงๆนะคะ

ขอให้หายป่วย

และก็ขอให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ และเป็นปรกติ น่ารักเหมือนเดิมเร็วๆนะคะ




โดย: อายาโกะ IP: 114.128.125.21 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:16:50:37 น.  

 
สำหรับบุคคลที่ไม่ใช่นักบวช บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา

สำหรับบุคคลที่เป็นนักบวช บำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา

ข้อสังเกตในการให้ทานข้อ7 นั้น ตายไปแล้วยังไปเกิดในพรหมโลก จึงแสดงว่ายังไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ดับขันธ์แล้วนิพพานเลยไม่มีการเกิดอีก

แต่ถึงแม้ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ต้องเป็นพระอริยะชั้นอนาคามี เพราะจะไม่กลับมาเกิดยังโลกมนุษย์อีก โดยเป็นพรหมอนาคามีชั้นสุทธาวาส

๗. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส
แต่ให้ทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต คือเพื่อเลื่อนขั้นทางจิต แล้วจึงให้ทาน
เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นพรหม เมื่อสิ้นกรรมแล้ว ก้ไม่ต้องกลับมา คือไม่ต้องกลับมาสู่โลกนี้อีกแล้ว

ความเห็นนะครับ

การให้ทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เพื่อเลื่อนขั้นทางจิตนั้น เป็นให้ทานเพื่อให้จิตมีความผ่องใสอย่างแท้จริง เป็นการให้เพื่อลดความยึดมั่นถือมั่น เพื่อให้หมดความอาลัยในกามคุณ5 หมดความโกรธ ความขัดเคืองใจ หมดความอาลัยในโลก จึงไม่กลับมายังโลกอีก เห็นศัตรูเสมอด้วยมิตร จึงสามารถให้ทานโดยไม่เลือก เป็นการให้เพื่อยกระดับจิตใจจริงๆ


โดย: ak IP: 203.144.144.164 วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:0:39:51 น.  

 

หวัดดีคุณอุ้มสี

หวัดดีคุณ Chulapinan

ไว้จะไปทักทายที่บล็อกนะครับ :D:D



คุณ The Sphinx
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ
..ทักทายกันมาตั้งนานแล้ว
แต่ผมก็ยังแทบไม่รู้จักคุณThe Sphinx เลยนะครับ :D



น้องอายาโกะ ขอบใจจ้า ไม่สบายก็แค่เป้นหวัดเท่านั้นเอง
ซึ่งตามปกติเป็นไม่นานก็หายเองได้ ,
แต่คราวนี้ คราวนี้มีไข้ใจเสริม เลยเป็นนานหน่อย(มันสำออยน่ะ555)

ก็หวังว่าอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นทั้ง 2 ไข้อ่ะนะ :P


โดย: หนมเม็ด IP: 203.144.144.165 วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:0:43:00 น.  

 

อ่ะ.. หวัดดีพี่ อะคลูครับผม :D:D

แหมสวนกับผมนิดเดียวเอง
..ขอบคุณสำหรับความรู้เพิ่มเติมด้วยนะครับผม






โดย: หนมเม็ด IP: 203.144.144.165 วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:0:47:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

บุญทับ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




กฎของเราก็คือ
เรามีความสุขสนุกสนาน
ได้มากเท่าที่เราต้องการ
แต่ต้องไม่ทำร้ายจิตใจใคร
..แม้แต่คนเดียว


จากหนังสือ ฟ้ากว้าง..ทางไกล



มวลเมฆ คือเนินเขาทำด้วยไอน้ำ เนินเขา คือมวลเมฆสร้างด้วยศิลา..(รพินทรฯ)
Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
24 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add บุญทับ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.