เข้าสู่วันที่2 กับการมาค้นหาตัวเองที่โตเกียว ชั้นตื่นประมาณ 9 โมง ออกเดินทางไป Asakusa เพื่อชมวัดเซนโซจิ
ที่นี่คนเยอะมากจริงๆแม้จะเป็นวันธรรมดา แต่ก็ยังเห็นชาวญี่ปุ่นทั้งวัยทำงาน ทั้งนักเรียนมาเที่ยวที่นี่ ส่วนนักท่องเที่ยวก็เยอะเป็นปกติอยู่แล้วชั้นเดินมาตั้งขากล้องสำหรับถ่ายรูปมือถือที่หน้าวัดเพราะอยากถ่ายรูปตัวเองกับโคมไฟวัด บริเวณนั้นมีทั้งชาวต่างชาติชาวญี่ปุ่นมาถ่ายรูปกันเยอะแยะไปหมด การมาคนเดียวมันก็ลำบากหน่อยตรงที่เวลาอยากมีรูปตัวเองแต่ไม่มีเพื่อนถ่ายให้นั่นแหละก่อนมาแฟนของชั้นก็ซื้อขาตั้งสำหรับถ่ายรูปให้เพื่อที่ชั้นจะได้ไม่ต้องเคอะเขินขอคนอื่นถ่ายรูปให้
ระหว่างที่ชั้นเซ็ตกล้องถ่ายรูปด้วยความที่ขากล้องมันเอียงๆ ถ้าเซ็ตไม่ดีมันจะล้มได้ ชั้นจึงรีบถ่ายทำท่าแบบกังวลๆ ลุงชาวญี่ปุ่นที่กำลังถ่ายรูปอยู่แถวนั้นพอดีเห็นเข้าก็มายืนจับขากล้องให้ ขอเสียของการใช้ขากล้องนี้คือ เราจะไม่ได้รูปแบบแนวตั้งเลยเพราะด้ามยึดมันเอาไว้สำหรับตั้งมือถือแนวนอนอย่างเดียวลุงชาวญี่ปุ่นคนนั้นก็เสนอถ่ายรูปแนวตั้งให้ชั้น ภาพที่ลุงถ่ายออกมาสวยมากพร้อมแนะนำชั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งชั้นพอเข้าใจได้นิดหน่อย ลุงแกแนะนำว่า ควรมีทั้งรูปแนวนอนและแนวตั้งชั้นกับลุงยืนดูรูปในมือถือที่แกถ่ายให้ แล้วแกก็ชี้ให้เห็นองค์ประกอบภาพที่แกถ่ายออกมาลุงแกน่ารักจริงๆนะ ชั้นก็ได้แต่กล่าวคำขอบคุณแกไป
ทางเดินเข้าตัววัดเต็มไปด้วยร้านค้าทั้งขายของฝากและอาหารคนเต็มทางเดินไปหมด แต่แปลกนะ ชั้นไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิดได้เห็นกลุ่มนักเรียนยืนดูของฝาก คุยกัน หัวเราะกัน วิ่งไปวิ่งมาดูแล้วมันก็สุขใจดีนะ ครั้งหนึ่งเมื่อตอนชั้นเรียน ม.ปลาย ชั้นก็อยากมีชีวิตแบบพวกเขาเนี่ยแหละแต่ก็ทำไม่ได้ นึกย้อนไปตอนชั้นเป็นเด็ก ม.ปลายชั้นคิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่มีปัญหาอยู่เหมือนกันนะ เป็นเด็กที่ไม่มีความสดใสร่าเริง เหมือนเด็กทั่วๆไป ป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย ไม่ค่อยได้ไปโรงเรียนมีแต่ความเครียด คิดมาก เป็นการใช้ชีวิตเด็กที่ไม่คุ้มเลยจริงๆ
ระหว่างที่ชั้นเดินไปรอบๆวัดความรู้สึก ความใฝ่ฝันที่อยากจะมาใช้ชีวิตที่นี่ก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อยากจะมาตั้งต้นเรียนภาษาญี่ปุ่นสักปีนึงต่อด้วยเรียน ป.โท ถ้าหางานทำได้ก็ทำเลย แต่ก็นั่นแหละตอนนี้มันก็ยังเป็นได้แค่ความอยากเหมือนเดิม ชั้นไม่มีเงินพอที่จะทำได้หรอกนะใครว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ ? นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วล่ะว่าเงินมันช่วยได้
หลังจากเดินทั่ววัดแล้วชั้นก็เดินไป Tokyo SkyTree ที่จริงเราสามารถนั่งรถไฟจากAsakusa ไปได้ แต่ชั้นอยากเดินเพราะชั้นรู้ว่าถ้านั่งรถไฟ มันได้เห็นแค่บรรยากาศในรถไฟ เห็นคนนั่งนิ่งๆอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง เล่นมือถือบ้าง ซึ่งชั้นเห็นจนเบื่อแล้ว จาก Asakusa ไป Tokyo Sky Tree มันก็ไม่ได้ไกลมากนัก ชั้นเดินไปตามทิศที่ชั้นเห็นยอด Tokyo Sky Tree เลย เดินไป ชมบรรยากาศข้างทางไปชั้นมีจุดประสงค์ที่จะไปที่นั่นเพื่อขึ้นรถ Sky Duck เป็นรถทัวร์ชมเมืองและสามารถแปลงเป็นเรือได้ด้วย ชั้นจำจากเว็บไซต์ที่ดูเมื่อคืนได้ว่าอยู่แถวสถานีรถไฟ Tokyo Sky Tree ชั้นคิดว่าคงหาได้ไม่ยาก แต่ไม่เลย เดินวนรอบห้างรอบตึก ยังไม่เจอที่ซื้อตั๋วเลย ชั้นต้องไปถามประชาสัมพันธ์จนได้ความว่ามันอยู่ตรงจุดที่ชั้นเดินวนเวียนหาอยู่หลายรอบแล้วเซ่ออีก
ชั้นตั้งใจจะขึ้นรอบ12.00 ซึ่ง ณ เวลาที่ชั้นไปถึงเคาท์เตอร์คือ 11.55 พนักงานถึงกับร้องหูยและถามชั้นว่าจะไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำนะ หน้าต่างรถไม่มีนะจะหนาวมากไกด์พูดแต่ญี่ปุ่นนะ ชั้นก็บอกว่าโอเคๆๆ แบบลนๆ เพราะรู้ว่าคนญี่ปุ่นตรงเวลามากชั้นกลัวว่าถ้าคุยไปเรื่อยๆ มันจะเลย 12.00 พนักงานจะแนะนำเส้นทางให้ ชั้นก็รีบโอเคๆๆรีบยื่นเงินให้เลย เพราะศึกษามาจากเว็บแล้ว และอยากขึ้นรถตรงเวลาและชั้นก็ขึ้นรถเวลา 12.00 พอดี รถก็ออกทันทีเลย รถคันนี้มีแต่ชาวญี่ปุ่นมีชั้นคนเดียวที่เป็นชาวต่างชาติ ไกด์ก็พูดแต่ญี่ปุ่นและไม่มีหูฟังหรือเครื่องมือใดๆแปลงภาษาเหมือน Sky bus รถทัวร์นี้อาจสร้างมาเพื่อนำเที่ยวเฉพาะคนญี่ปุ่นก็เป็นได้มีแต่ชาวต่างชาติแบบชั้นที่เสล่อขึ้นมาหรือเปล่า
เส้นทางรถนี้ขับรอบTokyo Sky Tree และออกชมรอบเมืองชั้นไม่เข้าใจที่ไกด์พูดเท่าไหร่ จับใจความได้ว่า มีการแนะนำร้านอาหารร้านค้าต่างๆ เวลาที่รถขับผ่าน ไกด์น่ารักมากเวลาขับผ่านสถานที่ที่คนเยอะๆจะชวนลูกทัวร์ โบกมือให้คนข้างทางพร้อมกับแจกนกหวีดทรงเป็ดผลิตที่จีน ที่เป่าแล้วจะมีเสียงเป็ดออกมาเอาไว้ใช้ทักทายคนข้างทางได้ เมื่อมาถึงแม่น้ำรถก็กลายมาเป็นเรือขับวนอยู่กับที่สักพักนึงไกด์ก็แนะนำอะไรสักอย่างที่ชั้นฟังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแม่น้ำนี้แต่ถึงแม้ว่าชั้นจะฟังไม่รู้เรื่องเลยตลอดเส้นทางแต่ชั้นก็มีความสุขที่ได้มากับทัวร์นี้นะได้เห็นหลายๆครอบครัวญี่ปุ่นที่มากับทัวร์นี้ด้วยกัน เห็นเค้ายิ้ม เค้าหัวเราะชั้นก็มีความสุขไปด้วย จากนั้นรถทัวร์ก็วนกลับมาที่เดิมชั้นก็เดินทางกลับที่พักไปนอนเอาแรงสัก 2 ชั่วโมง
ชั้นตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ6 โมงเย็น วินาทีที่ชั้นตื่นมาชั้นรู้สึกแปลกๆเหมือนใจมันหวิวๆชอบกลเราเหงาหรือเปล่า? ก็ไม่นะ แต่มันรู้สึกเคว้งๆในใจยังไงก็บอกไม่ถูก ชั้นรีบสลัดความรู้สึกนั้นออกอาบน้ำแต่งตัวไปรปปงหงิ ตามแพลนที่ชั้นวางไว้
แต่เมื่อมาถึงรปปงหงิบอกตรงๆว่าชั้นรู้สึกเฉยๆ อาจจะเป็นเพราะชั้นมากลางคืน หรือชั้นไปตรงจุดที่ไม่มีอะไรชั้นเห็นแต่ห้างสรรพสินค้า ตึกสูงๆ มีร้านหรูๆเต็มไปหมด แต่นั่นไม่ใช่สไตล์ของชั้นชั้นไม่ชอบความหรูหราหรือชอบการช็อปปิ้งแต่อย่างใดชั้นเลยตัดสินใจเดินทางไปชิบูย่าอีกครั้ง เพราะใจชั้นอยากไปมากบอกแล้วว่าทริปนี้ตามใจตัวเองสุดๆ
เมื่อมาถึงชิบูย่าชั้นก็เดินเล่นไปมาเรื่อยๆหาร้านราเมงนั่งทาน ทางข้ามชิบูย่านี่ชั้นเดินข้ามเปรียบเสมือนเป็นรันเวย์อยากข้ามก็ข้าม ไม่มีจุดหมายอะไรทั้งนั้น
ระหว่างที่ชั้นเดินเล่นอยู่แถวนั้นอยู่ดีๆก็มีผู้ชายญี่ปุ่นใส่ชุดสูททำงาน สูงเท่าชั้น (165 ซม) หน้าตาไม่แย่ เดินเข้ามาทักมาถามว่าชั้นมาจากไหน มาทำอะไร เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นแท้ๆเค้าอยากคุยด้วยเพราะอยากฝึกภาษาอังกฤษ (สงสัยทำไมไม่ไปคุยกับฝรั่งชั้นนี่หน้าเอเชียไทยแท้แต่ดั้งเดิม) และบอกให้ชั้นพูดอังกฤษช้าๆเค้าฟังไม่ทันเค้าฝึกอยู่ ชั้นเลยถามไปเลยว่า ต้องการอะไร เค้าก็ตอบกลับมาเลยว่า I wanna tell you that I LOVE YOU (ช็อค) You are very beautiful (x2) ชั้นก็ตอบไปว่า OK Thank เค้าก็พยายามถามว่าชั้นจะไปไหน เค้าจะแนะนำให้ กินข้าวเย็นหรือยังชั้นก็บอกว่ากินแล้ว นางก็พยายามจะชวนไปกินเบียร์อีก ชั้นก็ปฏิเสธไปนางก็ถามว่าชั้นจะไปไหน ชั้นเลยบอกว่าจะกลับโรงแรมแล้ว ดึกแล้วจะไปนอนนางก็ถามอีกว่า จะไปกับเค้าใช่มั้ย? เอากับนางสิชั้นก็ปฏิเสธจนนางยอม นางก็บอกว่า โอเค ไม่เป็นไร ยินดีที่ได้รู้จักนะ และขอจับมือ1 ที ชั้นก็จับมือไปตามมารยาท ชั้นไม่ได้รังเกียจหรือกลัวอะไรเค้าหรอกนะชั้นก็มองว่ามันเป็นเรื่องขำๆ การพูดคุยกับเค้าตอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะภาษาอังกฤษเค้าก็ไม่ดี ต้องพูดหลายๆรอบ เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่งอีกอย่างนึงคือชั้นไม่ใช่สไตล์ใครชวนไปไหนก็ไปด้วย เพราะชั้นตั้งใจมาเดินมาเที่ยวมาปล่อยความคิดที่นี่คนเดียวอยู่แล้วก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ ตอนแรกนึกว่าตัวเองสเปคฝรั่งอย่างเดียว แต่ที่จริงก็เป็นสเปคคนญี่ปุ่นได้ด้วยเหมือนกัน555
ดีใจที่มีเพื่อนชอบการ postcard เหมือนกันค่ะ