For The Love of The Reds !!!!!
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2548
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
17 พฤษภาคม 2548
 
All Blogs
 
---- รวมฤดูกาลแห่งความทรงจำของ "หงส์แดง" ในทรรศนะของผม ----

สวัสดีครับ
พี่ๆ-เพื่อนๆ-น้องๆ เดอะค๊อป และ ทุกท่านครับ..

เมื่อคืน ผมเฝ้ารอ และนั่งดูฟุตบอลนัดประวัติศาสตร์ของสโมสรอีกนัดหนึ่งไป อย่งระทึกใจ
และ อิ่มเอมใจ มาก...

เกมส์จบแล้ว
ผมก็ยังนอนไม่หลับ

เป็นลักษณะที่ผมเคยเจอมาก่อนในฤดูกาล 1989
ที่ทำให้ผมนอนนิ่งๆอยุ่บนเตียง จนรุ่งเช้า..

แต่ คืนนี้
ผลการแข่งขันที่ต่างออกไป
ทำให้ การนอนไม่หลับของผม
เป็นไปอย่างมีความสุข..

เลยคิดว่า ไหนๆก็นอนไม่หลับแล้ว
ออกมา นั่ง "ระบาย" ภาพแห่งความทรงจำ ที่ผม
ในฐานะ เดอะ ค๊อป ที่ติดตามทีมมาตลอด
ได้มีโอกาสได้ชม - ได้อ่าน -และ ได้ติดตาม
ผลงานของทีมที่ผมและหลายๆคน รัก มาอย่างต่อเนื่อง...

เพื่อน่าจะทำให้น้องๆๆ หลายท่านในนี้
ที่อาจเพิ่งมาเชียร์ หงส์แดง หรือ ทีมอื่นๆๆ ในยุคหลัง

ได้เห็นถึง ประวัติศาสตร์ของทีมทีมหนึ่ง
ที่จัดเป็นทีมใหญ่ในอดีต ปัจจุบัน และ น่าจะในอนาคต

รวมถึง ได้เห็นภาพว่า
เหตุใด ฟุตบอลอังกฤษ ถึงยังคงความเป็นหนึ่งสำหรับแฟนบอลทั่วโลก.. มาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน

ทั้งที่ ในบางครั้ง
ทีมในอังกฤษ ก็ไม่ได้มีฝีมือที่ดี หรือ เด่นกว่าทีมในลีกใหญ่ประเทศอื่นแต่อย่างใด...

สำหรับแฟนทีมอื่น..
จะแสดงความเห็น หรือ แชร์ประสบการณ์เก่าๆๆ ร่วมกัน

ขอเชิญตามอัธยาศัยนะครับ

---------------------


อันดับที่ 5 ของช่วงเวลาแห่งความทรงจำ
“Two of the greatest Premiership games ever played”


Liverpool 4 : Newcastle United 3
Premier League 1995/1996
3 เมษายน 1996

และ

Liverpool 4 : Newcastle United 3
Premier League 1996/1997
10 มีนาคม 1997

สนาม Anfield เมือง Liverpool

ใครมันจะไปเชื่อว่า ความมันส์แบบสุดเร้าใจ และสุดคลาสสิค
มันจะมีซ้ำสองได้ในเกมส์ฟุตบอล

แต่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ทำให้ผมต้องเบิ่งตาค้างมาแล้ว สองหนซ้อน ในเกมส์พรีเมียร์ชิพที่ว่ากันว่า เป็น “Two of the greatest Premiership games ever played”

นอกเหนือจากผลงานอันยิ่งใหญ่และน่าประทับใจในเกมส์ลีกของ แมนยู แล้ว

สิ่งที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ในวงการฟุตบอลสโมสรอังกฤษทศวรรษที่ 90 คือ เกมส์ฝาแฝด ระหว่างสองทีมเดิม
ที่ต่าง โรมรัน พันตู เยี่ยงการทำสงครามลูกหนังกันแบบลืมตาย ในช่วงท้่ายของฤดูกาลอันน่าประทับใจ

น่ายินดียิ่งที่ ทั้งสองนัดนี้ มีการถ่ายทอดสดกลับมาที่เมืองไทยแบบสดๆ

และ เป็นเกมส์ที่ต้องชี้วัดด้วยประตูในช่วง (วิ)นาทีสุดท้ายของเกมส์ทั้งสองนัด

สำหรับผมแล้ว แม้ว่าสกอร์ 4-3 ของนัดแรก จะเร้าใจและคลาสสิคกว่า เพราะเป็นเกมส์ที่มีการสลับกัน ขึ้นนำและตาม อย่างตื่นเต้น
และ จบลงในนาที 90 ด้วยประตูชัยของ สแตน "เดอะ แมน" คอลลีมอร์
ผู้ซึ่งตีเสมอลูก 3-3 และยิงประตูชัย ลูก 4-3 ในวินาทีทดเจ็บ

ในยุคที่ ดาวรุ่งลิเวอร์พูลฉายแสงอย่างโดดเด่นในชื่อ Spice boys
เช่น สแตน คอลลีมอร์ ร๊อบบี้ ฟาวเลอร์ และ สตีฟ แม๊คมานามาน
ซึ่ง เกมส์นี้ สแตน และ ฟาวเลอร์ ทำประตูได้คนละ 2 ประตู ในนัดนี้ ภายใต้การคุมทีมของ “มรดกบู๊ทรูมคนสุดท้าย” รอย อีแวนส์

แต่ ผมคงไม่สามารถลืม “ใจ” ที่ใหญ่โต ของนักเตะสาลิกาดง ที่แสดงให้เห็นในปีต่อมา ที่แอนฟิลด์ ไปได้
ที่คราวนี้ แม้ถูกนำ 3-1 จากการเล่นในครึ่งแรกอันยอดเยี่ยมของหงส์แดงและประตูจาก แม๊คก้า ฟาวเลอร์ และ แบร์เกอร์

แต่ สาลิกาดง ของ เควิน คีแกน ก็ไล่ขึ้นมาเป็น 3-3 ได้อย่างน่าตื่นเต้น
และ ก็เหมือนกับหนังม้วนเดิมที่เอามาฉายซ้ำในตอนจบ

สกอร์ จบลงแบบเดิม ในนาทีเดิมอีกครั้ง โดย ฟาวเลอร์ ในวินาทีสุดท้าย ที่ เป็นผู้โหม่งประตูชัยให้ หงส์แดง
กำชัยชนะที่แอนฟิลด์ เหนือ สาลิกาดง เป็นปีที่สองติดต่อกัน

ด้วยสกอร์ และ
ความมันส์ในระดับ สิบลูกระเบิดปรมาณูมารวมกัน
... เช่นเดิม


Create Date : 17 พฤษภาคม 2548
Last Update : 17 พฤษภาคม 2548 13:25:51 น. 17 comments
Counter : 980 Pageviews.

 
อันดับ 4
ความสำเร็จสูงสุดในปีของ โจ ฟาเกน

Liverpool 0 : Everton 0
League Cup Final 1984
25 มีนาคม 1984
สนาม Wembley กรุง London

Liverpool 1 : Everton 0
League Cup Final 1984 (Replay)
28 มีนาคม 1984
สนาม Maine Road เมือง Manchester

และ

Liverpool 1 : A.S. Roma 1 (Liverpool won 4-2 by penalty)
European Cup Final 1984
30 พฤษภาคม 1984
สนาม Olympic Stadium กรุง Rome Italy

ในปีที่การถ่ายทอดสดกีฬาต่างประเทศ ถูกจำกัดไว้ที่มวยเฮฟวี่เวตนัดสำคัญของ มูฮัมหมัด อาลี และ ลารี่ โฮล์ม รวมถึงฟุตบอลเอฟ เอคัพ และบอลโลกรอบชิงชนะเลิศ

ดังนั้น...
การติดตามผลงานในฤดูกาลที่หงส์แดงประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ในยุคนั้นของผม
จึงอาศัยผ่านทางการติดตามอ่านจาก นิตยสาร สตาร์ ซ๊อคเกอร์รายสัปดาห์ นิตยสาร ซ๊อคเกอร์ มิดวีก (ปัจจุบัน เปลี่ยนไปเป็น สตาร์ ซ๊อคเกอร์รายวันไปแล้ว) และ หนังสือพิมพ์ Bangkok Post เท่านั้น

ในปีแรกที่ โจ ฟาเกน คุมทีมต่อจากทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ บ๊อบ เพสลีย์
ผู้ที่เกษียณตัวเองหลังจากคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพไปถึง 3 ครั้ง และแชมป์ลีกอีก 6 สมัย ใน 9 ปีแห่งการคุมทีม
เพียงฤดูกาลแรกเท่านั้น ... ฟาเกน ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาในทันที


โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:27:03 น.  

 
จากเกมส์ลีกสูงสุด หรือ ดิวิชั่นหนึ่ง เดิม ที่หงส์์แดงสามารถคว้าแชมป์ได้ล่วงหน้า และเป็นแชมป์ลีกสูงสุด เป็นปีที่สามติดต่อกัน
โดยมีที่สองคือ เซาท์์แธมป์ตัน (ว้าว....!!!!!)

รวมไปถึง การทำทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ ที่ในยุคนั้น
ทุกทีมต่างส่งผู้เล่นตัวจริงลงเล่นครบ
ด้วยการเล่นนัดชิง ที่ต้องบดกับคู่ปรับสำคัญ คือ อีเวอร์ตัน ถึง 2 นัด

ในนัดแรกที่เวมบลีย์ ท่ามกลางคนดูราว 100,000 คน ทั้งสองทีมต่างทำอะไรกัน
ไม่ได้
แต่...
ในนัดแก้มือ ในสนามเก่าของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้
หงส์แดง สามารถกำชัดชนะได้จาก การยิงของ แกรม ซูเนสต์


ในส่วนของการบุกยุโรป หงส์แดงต้องฝ่าฟันทั้ง แอธเลธิก บิลเบา แห่งสเปน
ถล่มเบนฟีก้า เหยี่ยวลิสบอน ซึ่งเป็นเจ้าแห่งโปรตุเกสในเวลานั้น และ มาจบลงในนัดสำคัญที่สนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม กรุงโรม

โดยในนัดชิงที่กำหนดสนามล่วงหน้านี้ หงส์แดง พบกับ เจ้าของสนามตัวจริงอย่าง โรม่า ... ผู้ซึ่งเปรียบเสมือน เจ้าถิ่น ในนัดชิงบอลยุโรปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในนัดชิงที่เข้มข้น และ เต็มไปด้วยแท๊คติก (ผมดูนัดนี้จากวีดีโอ ในอีกหลายปีต่อมา)
เกมส์จบลงที่ สกอร์ 1-1 โดย ฟีล นีล เป็นผู้ยิงให้หงส์แดงนำไปก่อนนาทีที่ 14 ก่อนที่โรม่า จะตามตีเสมอจาก Pruzzo ในช่วงก่อนหมดครึ่งแรก

แต่ ความระทึกใจอย่างแท้จริงคือ การยิงลูกโทษตัดสินชี้ขาด.....


โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:27:27 น.  

 
ผมยังจำได้ดี

การยิงลูกแรกนั้น สตีฟ นิโคล ยิงไม่เข้าก่อน ทำให้โรม่า มีเปรียบมาก แต่ บรูโน คอนติ ก็ยิงให้โรม่าไม่เข้าเช่นกัน (ข้ามคาน)

จากนั้น ซูเนสต์ และรัช ก็มาจัดการลูกโทษให้หงส์แดง ทำให้ขึ้นนำ 3-2

ก่อนที่ นักเตะโรม่าคนถัดมาถูก กร๊อบเบล่าห์ ผู้รักษาประตูจอมทะเล้นของลิเวอร์พูล
(ผู้มีพรสวรรค์ในการรับลูกยากๆๆ แต่ มักจะพังในลูกง่ายๆ เสมอๆๆ ) เล่นจิตวิทยาสับขาไขว้ไปมา ทำให้ยิงข้ามคาน

อลัน เคเนดี้ จึงมีหน้าที่มายิงให้เข้าเพื่อให้แต้มขาด และอลันก็ทำได้ ส่งผลให้หงส์แดงชนะการยิงจุดโทษที่สกอร์ 4-2 ในที่สุด

นี่คือการคว้าแชมป์สโมสรยุโรปเป็นครั้งที่ 4
และเป็นครั้งที่ 2 บนพื้นสนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม กรุงโรม

หงส์แดง ตะแคงฟ้า ครองความเป็นเจ้าแห่งสโมสรยุโรป ในยุคนั้น.... อย่างแท้จริง

ทำให้ โจ ฟาเกน กลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสรอังกฤษที่สามารถนำทีมคว้า 3 แชมป์ได้ในหนึ่งฤดูกาล

ก่อนที่เขาจะลาออกจากผู้จัดการทีมก่อนเวลาอันควร อย่างน่าเสียดายอย่างยิ่ง
อันเนื่องมาจากผลพวงของเหตุการณ์ที่เฮย์เซล ในนัดชิงยูโรเปี้ยนคัพ ของฤดูกาลถัดไป....

-------------


โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:30:01 น.  

 
อันดับ 3

The Spanish Era and the Revenge of the Reds

Liverpool 1 : Chelsea 0
UEFA Champions League Semi-Final 2005 (Second-leg)
3 พฤษภาคม 2005
สนาม Anfield เมือง Liverpool

--------------------

ท่ามกลางบรรยากาศที่เร่าร้อนอีกครั้งในเกมส์ยุโรป ที่หงส์แดงร้างราจากจุดที่ใกล้เคีัยงความเป็น เจ้ายุโรป นี้ไปถึง 20 ปี

ในเกมส์ England-European Derby ที่หาดูไม่ได้ง่ายนัก ที่สามารถออกได้ทั้ง 3 หน้า ไม่ว่าจะเป็น ชนะ เสมอ หรือ แพ้
อันเนื่องมาจากการเสมอแบบไร้สกอร์ในนัดแรกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทำให้รูปแบบการเล่นของทีมเยือนและแชมป์พรีเมียร์ลีก สดๆๆร้อนๆ “เชลซี” ไม่ได้ตกเป็นรองเจ้าบ้านแต่อย่างใด
โดยขอเพียงแค่เสมอแบบมีสกอร์ก็เพียงพอต่อการเข้าชิงถ้วยยูโรเปี้ยนคัพ เป็นครั้งแรกของสโมสรแล้ว

แต่...
ความหวังของเชลซีได้จบสิ้นลงในนาทีที่ 4 จากลูกปัญหาที่ หลุยส์ การ์เซีย ศูนย์หน้าทีมชาติสเปนของหงส์แดง เขี่ยบอลไปสู่ประตู ในลักษณะที่ถูกสกัดออกมาจากตำแหน่งเหนือเส้น

อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่เหลืออีกกว่า 90 นาที (รวมทดเจ็บ)

เมื่อ เชลซีทำได้เพียงแค่ “เฉียด”
ทีมที่เล่นและครอบครองบอลได้เหนือกว่าตลอดเกมส์
จึงเป็นทีมที่ต้องตกรอบไป


โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:30:13 น.  

 
หงส์แดงของ ราฟาเอล เบนิเตซ
ได้ดับความหวังที่ เชลซี ของ โฮเซ่ มูริญโญ่ จะดำเนินตามรอยในสิ่งที่ โจ ฟาเกน และลูกทีมได้ทำไว้ถึง 3 แชมป์ในฤดูกาล 1983/84 โดยสิ้นเชิง

รวมถึงยังคงสถิติแพ้เพียงหนึ่งครั้ง จาก 12 เกมส์ของรอบรองชนะเลิศยูโรเปี้ยนคัพ ต่อ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในปี 1971 ไว้เช่นเดิม...

สิ่งที่สำคัญและโดดเด่นในเกมส์นัดนี้
ไม่ได้มีเพียงผลการแข่งขันและฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ เจมี่ คาราเกอร์ (ที่สำหรับผม.. เขาได้เข้าสู่ทำเนียบนักเตะคลาสสิคของทีมจากฟอร์มในปีนี้ไปแล้ว) และ ดิตม่าร์ ฮาร์มันส์ ที่ราฟา ส่งมาแทน อลองโซ่ เท่านั้น..

หากแต่เป็น บรรยากาศและ ความเป็น The Kop ที่มีชื่อเสียงก้องวงการมาอย่างยาวนาน ได้หวนกลับมาอีกครั้ง

กัปตันทีม สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องปรกติเลย ที่ บรรดาเดอะ ค๊อป ต่างเข้ามาเชียร์ โดยการกระโดดและกระทืบเท้าในสนาม จน พื้นสะท้าน-แผ่นดินสะเทือนไปทั่วทุ่งแอนฟิลด์ ก่อนเกมส์การแข่งขันอันเร่าร้อนและเร้าใจจะเริ่มขึ้นถึง 50 นาที

เพื่อข่มขวัญทีมเยือน และปลุกกำลังใจเจ้าบ้าน .....
และ เดอะ ค๊อป ทุกคน ต่างทำอย่างนั้นไปจนจบเกมส์


แม้สถิติการเชียร์ที่ดังที่สุดในโลก ที่ 131.8 เดซิเบล ที่บรรดาเดอะ ค๊อป ทำไว้ที่ มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม ในนัดชิง คาร์ลิ่ง ลีก คัพ กับเชลซี ในต้นปีนี้ จะไม่ถูกทำลายลงไปก็ตาม

แต่ ในคืนแห่งยูโร ที่แอนฟิลด์
ผอง เดอะ ค๊อป ก็ร่วมกันเปล่งเสียงเชียร์ดังถึง 119.8 เดซิเบล ในวินาทีสำคัญหลังจากการทำประตูของ การ์เซีย...

และแม้ว่า หงส์แดงจะได้รับโควตาจากยูฟ่า ในการเข้าชมเกมส์นัดชิงของกองเชียร์เพียง 2 หมื่นคน ที่อิสตันบูล จากความจุของสนาม 7 หมื่นคน

แต่ ...
ภาพบรรยากาศ การเปล่งเสียง ร้องเพลง การชูผ้าพันคอและธงทิว ในค่ำคืนแห่งยูโรเปี้ยน คัพ ปีนี้ ของเดอะ ค๊อป คงไม่หยุดแค่ค่ำคืนแห่งความสุขสันต์และน่าประทับใจที่แอนฟิลด์เป็นคืนสุดท้าย...


หากแต่ บรรยากาศที่เร่าร้อน เข้มแข็ง และ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่างนี้
ย่อมมีให้พวกเราเห็น และ อิ่มเอมใจ อีก ที่อิสตัน บูล ...
อย่างแน่นอน...


โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:30:52 น.  

 
อันดับ 2
The “Saint” Final and EURO MAGIC

Liverpool 2 : Arsenal 1

FA Cup Final 2001
12 พฤษภาคม 2001
สนาม Millennium Stadium เมือง Cardiff

----------------------

ในเกมส์ที่เป็นรองในทุกรูปแบบ ถึง 80 นาที
ใคร รวมทั้งผม มันจะไปนึกว่า หงส์แดง ในยุคฟื้นฟู จะสามารถกลับมาได้ ด้วยประสิทธิภาพของนักเตะเพียงคนเดียว ที่ชื่อว่า ไมเคิล โอเว่น

เกมส์ที่หงส์แดงต้องเตะลูกพ้นจากเส้นประตูหลายต่อหลายครั้ง

เกมส์ที่ถูกบุกกดดันในแดนตนเองอย่างหนัก แบบต่อเนื่องยาวนาน

เกมส์ที่ ลุงเบิร์ก ยิงนำในนาที 73 อย่างที่อาร์เซนอล สมควรนำเป็นอย่างยิ่ง

แต่...
เกมส์นี้ ก็เป็นเกมส์ที่จะทำให้แฟนหงส์ (และ แน่นอน แฟนอาร์เซนอล)
ไม่สามารถลืมชื่อของ ไมเคิล โอเว่น ออกไปจากความทรงจำไปได้ ตลอดกาล...

ในนาทีที่ 82 และ 88
โอเว่น ใช้เวลาเพียง 6 นาที ในการพลิกเกมส์จากที่เป็นรองแบบสุดกู่
มาสู่การเป็นต่อในช่วงท้ายเกมส์การแข่งขัน

โชคยังดีที่ เธีัยร์รี่ อองรี ในเวลานั้น และในเกมส์นี้นั้น
มิใช่เป็น อองรี ที่ทุกทีมต่างเกรงขาม ในช่วงสองปีหลังนี้

มิเช่นนั้น ... ผมเองยังมองไม่ออกเลยว่า เราจะหาทางเอาชนะปืนใหญ่ได้อย่างไร

ขอบคุณ ในเกมส์แห่งโชคชะตา
และ ขอบคุณ เจ้าหนูมหัศจรรย์ ไมเคิล โอเว่น.....


โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:31:29 น.  

 
อันดับ 2 (ต่อ)
Liverpool 5 : Deportivo Alaves 4

UEFA Cup Final 2001
16 พฤษภาคม 2001
สนาม Westfalden Stadium เมือง Dortmund

4 วันต่อมา....

ท่ามกลางการคาดเดาที่ต่างเห็นว่า หงส์แดงเป็นต่อก่อนแข่ง
เนื่องจากเป็น หงส์แดง ที่กำลังได้ใจ ติดปีกบินสูง
โค่นมาแล้วทั้ง โรม่า ของกุนซือ ฟาบิโอ คาเปลโล่ เอฟ ซี ปอร์โต้ และ บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลัน ในรอบก่อนหน้านั้น รวมถึงคว้าแชมป์บอลถ้วยในประเทศมาแล้วทั้ง 2 ใบ

แต่ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า
เกมส์นัดชิงที่ ว่ากันว่า เป็นหนึ่งในเกมส์นัดชิงที่เร้าใจที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสโมสรยุโรป จะเกิดขึ้นกับ อาลาเบส ทีมที่ปัจจุบันได้ตกชั้นไปจาก ลา ลีกา เรียบร้อยมาหลายปีแล้ว

หลังจากที่นำ 3-1 ในครึ่งแรก โดย บับเบิ้ล เจอร์ราร์ดแและ น้าแม็ค (แกรี่ แม๊คอัลลิสเตอร์)
แทบไม่มีใครคิดว่า อลาเบส จะกลับมาได้
แต่ ใน 8 นาทีของครึ่งหลัง สกอร์ก็กลับเป็น 3-3 อย่างรวดเร็วและเหลือเชื่อสำหรับเดอะค๊อปทั้งหลาย

หงส์แดง เร่งเครื่องขึ้นอีกครั้งก่อนนำเป็น 4-3 จากการยิงของ “The God” ร๊อบบี้ ฟาวเลอร์ ในนาทีที่ 73
แต่ สิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งไปกว่านั้นก็เกิดขึ้นอีก เมื่อ จอร์ดี้ ครัฟท์ บุตรชายของนักเตะในตำนาน โยฮัน ครัฟต์ กลับมาตีเสมอให้อลาเบสอีกครั้งในนาทีที่ 89

นั่นหมายถึง งานที่ยังไม่จบ และต้องมีการต่อเวลาในแบบ golden goal

ท่ามกลางเกมส์ที่เครียดและเหนื่อยล้า...

อลาเบส พยายามตัดเกมส์หงส์ในทุกรูปแบบ ส่งผลไปถึง การโดนใบแดง 2 ใบ ของนักเตะอลาเบส ในช่วงต่อเวลา

จนกระทั่ง จากลูกฟรีคิก อันคุ้นเคยของน้าแม๊ค ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับทีมอีกครั้ง จากการเตะของเขา ที่ทำให้กองหลังอลาเบส โหม่งเข้าประตูตัวเองไปอย่างชอกช้ำ ในนาทีที่ 117

เป็นการคว้่าแชมป์ยูฟ่า คัพ ครั้งที่ 3 ให้กับสโมสรอย่างยิ่งใหญ่และประทับใจ

น้าแม๊คนี่เอง ที่เป็นกุญแจสำคัญ ที่สร้างความแตกต่างในฤดูกาล 2000/2001 อันน่าประทับใจนี้ รวมถึงในเกมส์พรีเมียร์ลีก (ยิงลูกฟรีคิก ในช่วงทดเจ็บ เอาชนะอีเวอร์ตัน แบบสุดเจ็บปวด)

แม้ว่าฤดูกาล 2000/2001 จะเป็นฤดูกาลแห่ง 3 แชมป์แบบเล็กๆ (ยูฟ่า คัพ, เอฟ เอ คัพ และ ลีก คัพ) ในสายตาของแฟนทีมอื่น

และรวมถึง การจบอันดับที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในแบบที่ต้องวัดกับชาร์ลตันในนัดสุดท้าย

แต่...
กลับเป็น 3 แชมป์แห่งศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ ในสายตาของผมและ เดอะ ค๊อป ทั่วโลก

นัดชิงเอฟ เอ คัพ และ ยูฟ่าคัพนี้ จัดเป็นสองเกมส์ที่สร้างชื่อเสียงและความมั่นใจต่อทีมและ กุนซือนอกเกาะอังกฤษคนแรกของสโมสร ที่ชื่อ “บิ๊กโปน” เชราห์ อุลลิเยห์

ก่อนที่เขา จะต้องจากสโมสรไปอย่างชอกช้ำ ในอีก 3 ปีต่อมา...



โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:31:56 น.  

 
อันดับที่ 1
"ที่สุดแห่งความทรงจำ"

ฤดูกาลแห่งความโศกสลด

-------------------------------------------

Liverpool : Nottingham Forest
FA Cup Semi-Final 1989
15 เมษายน 1989
สนาม Hillsborough เมือง เชฟฟิลด์



Liverpool 3 : Everton 2
FA Cup Final 1989
20 พฤษภาคม 1989
สนาม Wembley กรุง London

และ

Liverpool 0 : Arsenal 2
Division One “Final” 1988/1989
26 พฤษภาคม 1989
สนาม Anfield เมือง Liverpool


ฤดูกาลที่มีความพิเศษของลิเวอร์พูลมีไม่บ่อยนัก
ไม่ว่าจะเป็นในฤดูกาล 1983/84 ที่ทีมคว้า 3 แชมป์ (ลีกสูงสุด ยูโรเปี้ยน คัพ และ ลีก คัพ)
หรือ ปี 2001 ที่คว้า 3 แชมป์เล็ก

แต่ สำหรับผมแล้ว
ฤดูกาลที่พิเศษ จริงๆๆ ในแง่ของความรู้สึก คือ ฤดูกาล 1988-1989
ที่รวมเอา 3 เหตุการณ์์ใหญ่ ครอบคลุมทั้ง ความสุขสมหวัง ความเศร้าใจ และ โศกนาฏกรรม ไว้ในปีเดียวกัน

ในรอบรองชนะเลิศ เอฟ เอ คัพ ที่จะต้องจารึกในประวัติศาสตร์ไปตลอดกาลที่ สังเวียน ฮิลส์โบโร่
การเบียดเสียด และเหยียบกันตายของบรรดา เดอะค๊อป ทั้ง 96 คน จากการปล่อยให้แฟนบอลเข้ามาเกินความจุของสนาม ทำให้บางคนตายจากการถูกรั้วกั้นอัฒจันทน์กดทับ
บ้างก็เสียชีวิตการการโดนเหยียบ

ส่งผลให้การผ่านรอบรองชนะเลิศ เอฟ เอ คัพ ในปี 1989 นั้น..
มีความหมายอย่างที่สุด....

หงส์แดง ต้องเอาแชมป์รายการนี้ มาให้ได้....

และหงส์แดง ของ “คิง” เคนนี่ ดัลกลิช ก็ทำได้จริงๆ ....

ท่ามกลาง ยุคปลายแห่งความรุ่งเรืองของสองทีมดังแห่งเมืองลิเวอร์พูล “หงส์แดง” และ “ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน” ที่ต่างแย่งชิงความเป็นหนึ่งในเกาะอังกฤษมาอย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่ 80

ความเป็นต่ออย่างล้นเหลือของหงส์แดงต่ออีเวอร์ตัน
ในเกมส์ชิงเอฟ เอ คัพที่ “ไม่ปรกติ”

เนื่องจากมีขึ้นราวหนึ่งสัปดาห์ ก่อนนัดสุดท้ายของเกมส์ตกค้างลีกสูงสุด คือ ดิวิชั่นหนึ่ง (เดิม) ของฤดูกาลจะเกิดขึ้น

(ปรกติแล้ว ฟุตบอลอังกฤษจะจบที่ นัดชิงเอฟ เอ คัพ ซึ่งจะเล่น ในหนึ่งอาทิตย์หลังจากเกมส์ลีกสูงสุดนัดสุดท้ายเสมอ)

แต่ ในปีนี้ มันมีความแตกต่าง
จากการเลื่อนการแข่งขัน ในเกมส์ดิวิชั่นหนึ่ง ระหว่าง ลิเวอร์พูล – อาร์เซนอล จากช่วงต้นปี ด้วยสภาวะอากาศที่ไม่อำนวยออกมา และโปรแกรมการแข่งขันที่ไม่ลงตัว

ทำให้เกมส์นัดสุดท้ายของฤดูกาลของบอลอังกฤษปีนั้น กลายมาเป็น นัดชิง..

แต่ กลับเป็น นัดชิงของเกมส์ดิวิชั่นหนึ่ง ที่ว่ากันว่า “สูสี” ที่สุดในประวัติศาสตร์กว่าร้อยปีของฟุตบอลสโมสรอังกฤษ

ผมและเพื่อนๆทุกคนที่เชียร์หงส์ในเวลานั้น ปีนั้น ยังคงจำได้ดี....


โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:32:34 น.  

 
หนึ่งสัปดาห์ก่อนพบ ปืนใหญ่ ...

หงส์แดงสร้างความมั่นใจล่วงหน้า เมื่อล้ม อีเวอร์ตัน เพื่อนร่วมเมือง อย่างหืดขึ้นคอ
จากประตูของ จอห์น อัลดริดจ์ และ 2 ประตูของ เอียน รัช (หนึ่งในนั้น คือประตูชัย)ในช่วงต่อเวลา
หลังจากที่อีเวอร์ตันไล่ตีเสมอ 2-2 ในนาทีที่ 89 ของการเล่นปรกติ

และเป็นการเอาชนะ อีเวอร์ตัน เป็นครั้งที่ 2 ในนัดชิง เอฟ เอ คัพ ในช่วงทศวรรษที่ 80

ถ้วยเอฟเอคัพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ได้ถูกยกมาประดับไว้ที่แอนฟิลด์อีกครั้ง
ในโอกาสที่สำคัญสูงสุด คืออุทิศเพื่อ แฟนบอลที่ล่วงลับจากเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโร่นั่นเอง...

แต่.. ฤดูกาลนั้นยังไม่จบ


----


6 วันต่อมา ...

หงส์แดงยังมีเกมส์ลีกนัดสุดท้ายกับ ทีมอันดับสอง “อาร์เซนอล” อยู่
ด้วยแต้มนำ 3 แต้ม และประตูได้เสียที่ดีกว่าอยู่นิดเดียว

หงส์แดง สามารถชูถ้วย เพื่อความเป็น “ดับเบิ้ลแชมป์” ในปีนั้นได้
ด้วยข้อแม้ง่ายๆคือ
แพ้อาร์เซน่อล ก็ยังเป็นแชมป์ได้ หากแพ้ไม่เกิน 1 ลูก

อาร์เซนอล ของจอร์จ แกรแฮม ที่นำโดย ศูนย์หน้าร่างโย่ง อลัน สมิธ (คนละคนกับ อลัน สมิธ ที่เล่นอยู่กับแมนยูในปัจจุบัน) และซุปเปอร์แบ็คโฟร์อันลือลั่น นำหงส์แดง ไปก่อน 1-0

ต้องการประตูอีกเพียงประตูเดียว เพื่อขโมยแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง ไปจากแอนฟิลด์

เกมส์ทำท่าว่าจะจบที่สกอร์นั้น
แต่ ในนาที ไม่ใช่สิ ใน “วินาที” สุดท้ายของเกมส์
(ผมยังจำได้อย่างแม่นยำ เหมือนเกมส์เพิ่งจบลง ในตอนนั้นคือเวลาราวตีสามครึ่งในไทย – ช่อง 7 สีถ่ายสดนัดนี้เป็นพิเศษ มีคุณ ย.โย่งมาพากย์)

หงส์แดงที่เริ่มล้า หลังจากที่โดนปืนใหญ่กดดันและนวดมาตลอด ก็เสียประตูจนได้

ไมเคิล โธมัส ทำประตู 2-0 ตามที่ทีมต้องการให้กับการเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกหลังจากที่ว่างเว้นมาจากต้นทศวรรษที่ 70 ของอาร์เซนอล
.... มันเป็นวินาทีสุดท้ายจริงๆๆ

เพราะหลังจากที่ โธมัส ทำประตูได้แล้ว ทั้ง 2 ทีมก็เลิกเล่นเลย

ผมไม่เห็นแม้กระทั่งการเขี่ยลูกเล่นต่อของหงส์แดง...

ด้วยแต้มที่เท่ากันกับลิเวอร์พูล
ด้วยผลต่างประตูได้-เสีย ที่เท่ากันกับลิเวอร์พูล
แต่.. ยิงประตูได้ มากกว่าลิเวอร์พูลเพียงหนึ่งประตู

ความสำคัญของประตูของ ไมเคิล โธมัส คือ เขาได้สร้างหนึ่ง“ประตูได้” ที่สร้างความแตกต่างระหว่างแชมป์และรองแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง ในปีนั้น...

เป็นคืนที่เศร้าที่สุดในแอนฟิลด์ เท่าที่ผมดูบอลมา
และเป็นคืน ที่ทำให้ผม หลับไม่ลง
และแทบจะข่มน้ำตาไม่ไหว เป็นครั้งแรกอีกด้วย...

(ภายหลัง โธมัส ถูกลิเวอร์พูล ซื้อตัวจากอาร์เซนอล มาเพื่อดอง นัยว่า ไม่ให้มายิงหงส์แดงแบบเจ็บช้ำอีกต่อไป... เอากะพ่อสิ...)




โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:33:10 น.  

 
ทั้งหลาย ทั้งปวงนี้

เป็นการสรุปความทรงจำ
ทั้งในแง่ ดี และ ในแง่ที่ชอกช้ำ ของผม

ตรง-หรือ - ต่าง
จากความเห็นของเพื่อนทุกท่าน

หรือ หากเห็นว่า ranking ไม่ตรงกับผม

ลองแลกเปลี่ยน ความทรงจำกันดูนะครับ...


ปล. ผมหวังว่า
ในกลางเดือนนี้ ที่อิสตัน บูล
บางที
ความทรงจำใหม่ ในถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ

อาจจะขยับขึ้นมาเป็นความประทับใจขั้นสูงสุดก็ได้ครับ.




โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:33:44 น.  

 
"I was only in the game for the love of football
-
and I wanted to bring back happiness to the people of Liverpool"

บิล แชงคลี่ย์
บิดาแห่งสโมสรลิเวอร์พูล



--------

กระทู้ พร้อมภาพประกอบ และความเห็นกว่าร้อยความเห็น
//www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S3455340/S3455340.html


โดย: Liverpool Forever วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:34:21 น.  

 
เริ่มเชียร์หงส์แดงก็ตอนฤดูกาล 88-89 เสียดายที่ไม่ได้ดูนัดสุดท้ายที่พบกับอาร์เซนอล หรือว่าโชคดีก็ไม่แน่ใจ ถ้าดูก็คงนอนไม่หลับแหงๆ เพราะมีเพื่อนคนนึงดูนัดนี้แล้วบอกว่าช้ำใจมาก
ยังจำภาพข่าวจากทีวีได้เลย เหตุการณ์ที่ฮิลล์โบโร่ มันเศร้ามาก ๆ เลย ขนาดนั่งดูข่าวที่บ้านยังเศร้าขนาดนี้เลย

ทุกเหตุการณ์สำคัญเท่าๆกัน

ปล. ไม่ทันยุค โจ ฟาแกน


โดย: uma IP: 210.246.71.6 วันที่: 13 ธันวาคม 2548 เวลา:21:12:31 น.  

 


โดย: กรวิทย์ IP: 58.147.105.181 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:21:54 น.  

 


โดย: แบ๊ง IP: 125.25.218.228 วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:49:21 น.  

 


โดย: แ IP: 125.25.218.228 วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:50:58 น.  

 


โดย: แบ๊ง IP: 125.25.218.228 วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:52:45 น.  

 
แชมป์อย่างเดียวคร๊าบพี่น้อง


โดย: soodteen IP: 202.176.117.103 วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:16:14:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Liverpool Forever
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Liverpool Forever's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.