อัลกุรอานพิสูจน์วิทยาศาสตร์
หลักฐานจากอัลกุรอานที่ถูกกล่าวจากพระผู้เป็นเจ้าก่อน 14 ศตวรรษ ก่อนการรุ่งเรืองของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัลกุรอานว่าด้วยเรื่องการกำเนิดจักรวาล วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องจักรวาลวิทยาสมัยใหม่ที่มาจากข้อมูลการสังเกตุเทหวัตถุบนท้องฟ้า และทฤฏีสมติฐานชี้ชัดว่าจุดหนึ่งของเวลา จักรวาลทั้งหมดเป็นแค่กลุ่มหมอกควัน (นั้นคือมีความหนาแน่นสูงและทึบแสง และมีส่วนประกอบเป็นก๊าซที่มีอุณภูมิสูง) นี่เป็นทฤษฏีหนึ่งที่ไม่อาจมีข้อโต้แย้งใดมาตรฐานด้านจักรวาลวิทยาสมัยใหม่ นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้สังเกตุเห็นดวงดาวดวงใหม่ ๆที่บรรดาเศษเล็กเศษน้อยของกลุ่มหมอกควันกำลังรวมตัวอยู่ 
ดาวดวงใหม่ที่กำลังก่อตัวจากกลุ่มก๊าซและฝุ่นละออง (เนบิวลา) ซึ่งเป็นหนึ่งใน กลุ่มควัน ที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดของทั้งจักรวาล (The Space Atlas ของ Heather และ Henbest หน้า 50) ดาวดวงน้อยที่ส่องสว่างระยิยระยับในตอนกลางคืนที่เรามองเห็นนั้น ดังคำดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าว่า "แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าขณะที่มันเป็นกลุ่มหมอกควัน" (อัลกุรอาน 41:11) เนื่องจากแผ่นดินและชั้นฟ้า (ซึ่งรวมถึงดวงดาวอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวต่างๆ บรรดานพเคราะห์ และบรรดากาแลซี่ต่างๆ ) เกิดการรวมตัวของ "กลุ่มหมอกควัน" เหมือนกัน เราหมายรวมถึงแผ่นดินบรรดาชั้นฟ้านั้นต่างก็เป็นสิ่งเดียวกันมาก่อนในตอนเริ่มต้นหลังจากนั้นบรรดากลุ่มหมอกควันซึ่งเป็นเนื้อเดียวกันนั้น เกิดการรวมตัวกันแล้วแยกออกจากกัน (ทฤษฏีบิ๊กแบง) พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า "บรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลายไม่พิจารณาหรือว่า ชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นในตอนแรกเป็นมวลเดียวกัน หลังจากนั้นเราได้แยกมันออกจากกัน"(อัลกุรอาน 21:30) ดร.อัลเฟรด โครเนอร์ (Alfred Kroner) นักธรณีวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลก ท่านเป็นศาสตร์ด้านธรณีวิทยา และเป็นประธานของภาคธรณีวิทยา ณ สถาบันศาสตร์ด้านธรณีวิทยา (Geosciences) มหาวิทยาลัยเกอเตนเบิร์ก เมืองมายน์ซ (Main) เยอรมนี ท่านกล่าวว่า " เมื่อเราพิจารณาแหล่งอาศัยของมุฮัมหมัด ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถรู้ได้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่นการกำเนิดของจุดเริ่มต้นจักรวาลเพราะว่านักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบได้เมื่อไม่กี่ปีนี้เองด้วยกระบานการที่สลับซับซ้อน และอาศัยวิธีการเทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อใช่ในการนี้โดยเฉพาะ" และกล่าวอีกว่าถ้าใครไมรู้เรื่องด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์ เมื่อ 14 ศตวรรษที่แล้วไม่มีใครรู้ได้

ลากูนเนบิวลา คือ กลุ่มของก๊าซและละอองฝุ่น ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 ปีแสง ซึ่งเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตของดาวที่มีแต่ความร้อน ซึ่งเพิ่งก่อตัวขึ้นภายในใจกลางเนบิวลา (Horizons, Exploring the Universe โดย Seeds) ภาพที่ 9 จาก Association of Universities for Research in Astronomy, Inc.) อัลกุรอานว่าด้วยเรื่องสมองใหญ่หรือซีรีบรัม (cerebrum) พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานถึงคนผู้หนึ่งในกลุ่มของผู้ไร้ความศรัทธาในศาสนาโดยสิ้นเชิง เข้ามาขัดขวางพระมูหะหมัด ไม่ให้ทำละหมาดในวิหารกะบะ (Kaaba): "มิใช่เช่นนั้น ถ้าเขายังไม่หยุดยั้ง เราจะจิกเขาที่ขม่อมอย่างแน่นอน ขม่อมที่โกหกที่ประพฤติชั่ว! " (พระคัมภีร์กุลอาน, 96:15-16) ทำไมพระคัมภีร์กุรอานจึงได้อธิบายบริเวณศรีษะส่วนหน้าว่าเปรียบเสมือนส่วนที่เต็มไปด้วยบาปและความตลบตะแลง ทำไมพระคัมภีร์กุรอานจึงไม่กล่าวว่าบุคคลนั้นเต็มไปด้วยบาปและความตลบตะแลง มีความสัมพันธ์กันอย่างไรระหว่างบริเวณศรีษะส่วนหน้ากับบาปกรรมและความตลบตะแลง? ถ้าเรามองเข้าไปในกระโหลกศีรษะส่วนหน้า เราจะพบบริเวณสมองส่วนหน้า วิชาว่าด้วยสรีระวิทยาบอกกับเราว่าบริเวณนี้มีหน้าที่อะไรบ้าง ในหนังสือที่ชื่อว่า Essentials of Anatomy & Physiology ได้กล่าวถึงบริเวณนี้ไว้ว่า แรงบันดาลใจและการคาดการณ์ล่วงหน้าในการวางแผนและการสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวนั้น เกิดจากกลีบสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ด้านหน้าสุด และเป็นบริเวณศูนย์รวมของเยื่อหุ้มสมอง... ในตำราเล่มนั้นยังกล่าวอีกว่า เนื่องจากว่าบริเวณที่อยู่ด้านหน้าสุดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างแรงบันดาลใจ จึงมีการคิดกันว่าบริเวณส่วนนี้เป็นศูนย์กลางที่ก่อให้เกิดความรุนแรง....ดังนั้นบริเวณของสมองส่วนหน้านี้จึงมีหน้าที่วางแผน สร้างแรงจูงใจ และริเริ่มให้เกิดการกระทำดีหรือชั่ว อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการโป้ปดมดเท็จและบอกเล่าความจริง ดังนั้น จึงจะเหมาะสมกว่าหากอธิบายว่าบริเวณศรีษะส่วนหน้านั้นเปรียบเสมือนส่วนที่เต็มไปด้วยบาปและความตลบตะแลง เมื่อมีผู้ใดโกหกหรือกระทำสิ่งที่เป็นบาป อย่างที่พระคัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้ว่า naseyah (บริเวณส่วนหน้าของศีรษะ) ที่เต็มไปด้วยความตลบตะแลงและบาปกรรม! 
บริเวณสั่งการของเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้าซีกซ้าย บริเวณด้านหน้าจะอยู่ตรงด้านหน้าเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า (Essentials of Anatomy & Physiology ของ Seeley และคณะ หน้า 210)
อัลกุรอานที่ว่าด้วยเรื่องการพัฒนาตัวอ่อนของมนุษย์ (Human Embrio Development) ในพระคัมภีร์กุรอาน พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้เกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ ในการพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์ และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน แล้วเราทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิ อยู่ในที่พักอันมั่นคง (คือมดลูก)แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือดแล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อแล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง... 1 (คัมภีร์กุรอาน, 23:12-14)
ซึ่งเมื่อพิจารณาตามตัวอักษรแล้ว ในภาษาอารบิก คำว่า alaqah นั้น มีอยู่ 3 ความหมาย ได้แก่ (1) ปลิง (2) สิ่งแขวนลอย และ (3) ลิ่มเลือด. ในการเปรียบเทียบปลิงกับตัวอ่อนในระยะที่เป็นalaqah นั้น เราได้พบความคล้ายกันระหว่างสองสิ่งนี้ ซึ่งเราสามารถดูได้จากรูปที่ 1 นอกจากนี้ ตัวอ่อนที่อยู่ในระยะดังกล่าวจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากเลือดของมารดา ซึ่งคล้ายกับปลิงซึ่งได้รับอาหารจากเลือดที่มาจากผู้อื่น ความหมายที่สองของคำว่า alaqah คือ สิ่งแขวนลอย ซึ่งเราสามารถดูได้จากรูปที่ 2 และ 3 สิ่งแขวนลอยของตัวอ่อน ในช่วงระยะ alaqah ในมดลูกของมารดา ความหมายที่สามของคำว่า alaqah คือ ลิ่มเลือด เราพบว่าลักษณะภายนอกของตัวอ่อนและส่วนที่เป็นถุงในช่วงระยะ alaqah นั้น จะดูคล้ายกับลิ่มเลือด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า มีเลือดอยู่ในตัวอ่อนค่อนข้างมากในช่วงระยะดังกล่าว (ดูรูปที่ 4) อีกทั้งในช่วงระยะดังกล่าว เลือดที่มีอยู่ในตัวอ่อนจะไม่หมุนเวียนจนกว่าจะถึงปลายสัปดาห์ที่สาม ดังนั้น ตัวอ่อนในระยะนี้จึงดูเหมือนลิ่มเลือดนั่นเอง. ดังนั้น ทั้งสามความหมายของคำว่า alaqah นั้น ตรงกับลักษณะของตัวอ่อนในระยะ alaqah เป็นอย่างยิ่ง ในระยะต่อมาที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ก็คือ ระยะ mudghah ในภาษาอารบิกคำว่า mudghahหมายความว่า สสารที่ถูกขบเคี้ยว ถ้าคนใดได้หมากฝรั่งมาชิ้นหนึ่ง และใส่ปากเคี้ยว จากนั้นลองเปรียบเทียบหมากฝรั่งกับตัวอ่อนที่อยู่ในช่วงระยะ mudghah เราจึงสรุปได้ว่าตัวอ่อนในช่วงระยะ mudghah จะมีลักษณะเหมือนสสารที่ถูกขบเคี้ยว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ไขสันหลังที่อยู่ด้านหลังของตัวอ่อนมีลักษณะ ค่อนข้างคล้ายกับร่องรอยของฟันบนสสารที่ถูกขบเคี้ยว (ดูรูปที่ 5 และ 6) มูหะหมัด ทรงทราบได้อย่างไรถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้เมื่อ 1400 ปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและกล้องจุลทรรศน์ความละเอียดสูง ซึ่งยังไม่มีใช้ในสมัยก่อน Hamm และ Leeuwenhoek คือนักวิทยาศาสตร์สองคนแรกที่สังเกตเซลล์อสุจิของมนุษย์ (สเปอร์มมาโตซัว) ด้วยการใช้กล้องจุลทรรศน์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2220 (หลังมูหะหมัด ). กว่า 1000 ปี) พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าเซลล์อสุจิเหล่านั้นประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กซึ่งจะก่อตัวเป็นมนุษย์ โดยจะเจริญเติบโตเมื่อฝังตัวลงในอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิง. 
รูปที่ 1: ภาพวาดดังกล่าวอธิบายให้เห็นความคล้ายกันของรูปร่างระหว่างปลิงกับตัวอ่อนมนุษย์ในระยะที่เป็น alaqah (รูปวาดปลิงมาจากหนังสือเรื่อง Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของ Moore และคณะ หน้า 37 ดัดแปลงมาจาก Integrated Principles of Zoology ของ Hickman และคณะ ภาพตัวอ่อนวาดมาจากหนังสือเรื่อง The Developing Human ของ Moore และPersaud)ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 73) 
รูปที่ 2: ในภาพนี้ เราจะเห็นภาพของตัวอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งแขวนลอยในช่วงระยะที่เป็น alaqah อยู่ในมดลูก (ครรภ์) ของมารดา (มาจากเรื่อง The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 66) 
รูปที่ 3: ในภาพที่ถ่ายด้วยระบบโฟโตไมโครกราฟ (photomicrograph) นี้ เราจะเห็นตัวอ่อนซึ่งเป็นสิ่งแขวนลอยได้ (ตรงเครื่องหมายอักษร B) ซึ่งอยู่ในช่วงระยะของ alaqah (อายุประมาณ 15 วัน) ในครรภ์มารดา ขนาดที่แท้จริงของตัวอ่อนนั้นจะมีขนาดประมาณ 0.6 มิลลิเมตร (มาจากเรื่อง The Developing Human ของ Mooreปรับปรุงครั้งที่ 3 หน้า 66 จากเรื่อง Histology ของ Leeson และ Leeson.)  รูปที่ 4: เป็นแผนภูมิระบบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจพอสังเขปในตัวอ่อนในช่วงระยะ alaqah ซึ่งลักษณะภายนอกของตัวอ่อนและส่วนที่เป็นถุงของตัวอ่อนจะดูคล้ายกับลิ่มเลือด เนื่องจากมีเลือดอยู่ค่อนข้างมากในตัวอ่อน (The Developing Human ของ Moore ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 65  รูปที่ 5: ภาพถ่ายของตัวอ่อนในช่วงระยะ mudghah (อายุ 28 วัน) ตัวอ่อนในระยะนี้จะมีลักษณะเหมือนสสารที่ถูกขบเคี้ยว เนื่องจากไขสันหลังที่อยู่ด้านหลังของตัวอ่อนมีลักษณะค่อนข้างคล้ายกับร่องรอยของฟันบนสสารที่ถูกขบเคี้ยว ขนาดที่แท้จริงของตัวอ่อนจะมีขนาด 4 มิลลิเมตร (จากเรื่อง The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 82 ของศาสตราจารย์ Hideo Nishimura) มหาวิทยาลัยเกียวโต ในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น 
รูปที่ 6 เมื่อเปรียบเทียบลักษณะของตัวอ่อนในช่วงระยะ mudghah กับหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว เราจะพบกับความคล้ายคลึงระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ A) รูปวาดของตัวอ่อนในช่วงระยะ mudhah เราจะเห็นไขสันหลังที่ด้านหลังของตัวอ่อน ซึ่งดูเหมือนลักษณะร่องรอยของฟัน (จากเรื่อง(The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 79) B) รูปถ่ายหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว ศาสตาจารย์กิตติมศักดิ์ Emeritus Keith L. Moore หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขากายวิภาควิทยาและวิชาว่าด้วยการศึกษาตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังเป็นผู้แต่งหนังสือที่ชื่อว่า Developing Human ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้นำไปแปลถึงแปดภาษา หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ใช้สำหรับอ้างอิงงานทางวิทยาศาสตร์ และยังได้รับเลือกจากคณะกรรมการพิเศษของสหรัฐอเมริกาให้เป็นหนังสือที่ดีที่สุดที่แต่งขึ้นโดยบุคคลเพียงคนเดียว Dr. Keith Moore เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์แห่งภาควิชากายวิภาควิทยาและเซลล์ชีววิทยา ที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต (University of Toronto) เมืองโตรอนโต ประเทศแคนนาดา.ณ ที่แห่งนั้น เขาดำรงตำแหน่งรองคณบดีสาขาวิทยาศาสตร์มูลฐานของคณะแพทย์ศาสตร์ และดำรงตำแหน่งประธานแผนกกายวิภาควิทยาเป็นเวลา 8 ปี ในปีพ.ศ. 2527 เขาได้รับรางวัลที่น่าชื่นชมที่สุดในสาขากายวิภาคของประเทศแคนนาดา นั่นคือรางวัล J.C.B Grant Award จากสมาคมนักกายวิภาควิทยาแคนนาดา (Canadian Association of Anatomists) เขาได้กำกับดูแลสมาคมนานาชาติต่างๆ มากมาย เช่น สมาคมนักกายวิภาควิทยาแคนนาดาและอเมริกา (Canadian and American Association of Anatomists) และ สภาสหภาพวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Council of the Union of Biological Sciences) เป็นต้น.ในปีพ.ศ 2524 ระหว่างการประชุมด้านการแพทย์ครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแดมแมม ประเทศซาอุดิอาระเบีย ศาสตราจารย์ Moore ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้ช่วยให้เรื่องราวต่างๆ ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์กุรอานเกี่ยวกับการพัฒนาการของมนุษย์ให้มีความชัดเจน อีกทั้งยังทำให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจอย่างกระจ่างชัดว่าคำกล่าวเหล่านี้ต้องมาจากพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านทางพระมูหะหมัด เพราะว่าความรู้เกือบทั้งหมดนี้ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนจนกระทั่งอีกหลายศตวรรษต่อมา สิ่งนี้พิสูจน์ให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระมูหะหมัดจะต้องเป็นผู้ถือสารจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน ต่อมา ศาสตราจารย์ Moore ได้ถูกตั้งคำถามดังต่อไปนี้ หมายความว่า ท่านมีความเชื่อว่า พระคัมภีร์กุรอานนั้นเป็นพระดำรัสจากพระผู้เป็นเจ้าจริงหรือไม่ เขาตอบว่า ข้าพเจ้ายอมรับสิ่งดังกล่าวนี้ได้อย่างสนิทใจ ในระหว่างการประชุมครั้งหนึ่ง ศาสตราจารย์ Moore ได้กล่าวว่า
..เพราะว่าในช่วงระยะตัวอ่อนของมนุษย์นั้นมีความซับซ้อน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในระหว่างการพัฒนาของตัวอ่อน มีการเสนอว่าควรมีการพัฒนาระบบการแบ่งประเภทตัวอ่อนใหม่โดยใช้คำศัพท์ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์กุรอานและซุนนาห์ (Sunnah) (สิ่งที่พระมูหะหมัด ทรงตรัส ทรงกระทำ หรือทรงอนุญาต) ระบบที่เสนอนี้ดูเรียบง่าย ครอบคลุมทุกด้านและสอดคล้องกับความรู้ที่เกี่ยวกับการพัฒนาของตัวอ่อนในปัจจุบัน. แม้ว่า อริสโตเติล (Aristotle) ผู้ก่อตั้งวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต ยังเชื่อว่าการพัฒนาตัวอ่อนของลูกไก่นั้นแบ่งออกเป็นหลายระยะ จากการศึกษาไข่ไก่เมื่อศตวรรษที่สี่หลังคริสตศักราช ซึ่งเขาไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับระยะต่างๆ เหล่านั้นเลย เท่าที่ทราบมาจากประวัติการศึกษาเกี่ยวกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต มีเรื่องระยะและการแยกประเภทของตัวอ่อนมนุษย์อยู่น้อยมาก จนกระทั่งมาถึงศตวรรษที่ยี่สิบนี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ในศตวรรษที่เจ็ด คำอรรถาธิบายเกี่ยวกับตัวอ่อนมนุษย์ในพระคัมภีร์กุรอานนั้น ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ได้ มีเพียงบทสรุปที่พอจะมีเหตุผลเดียวก็คือ คำอรรถาธิบายเหล่านี้ ได้ถูกเปิดเผยโดยพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทรงประทานแก่พระมูหะหมัด พระองค์ทรงไม่ทราบรายละเอียดต่างๆ เพราะว่าพระองค์เป็นคนที่ไม่รู้หนังสือ อีกทั้งไม่เคยฝึกฝนด้านวิทยาศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น อ้างอิง จากหนังสือ สู่ความเข้าใจอิสลามและคำถามร่วมสมัย Free TextEditor
Create Date : 04 เมษายน 2552 |
Last Update : 4 เมษายน 2552 23:29:38 น. |
|
38 comments
|
Counter : 1510 Pageviews. |
 |
|
เรื่องกำเนิดจักรวาลเคยอ่านเจอในคู่สร้างคู่สมครับ