บล๊อคนี้เป็นบล๊อกที่เราอยากจะรวมเรื่องราวในโลกส่วนตัวของมิสเตอร์ลีที่นอกเหนือจากอาร์ตตัวแม่อย่างเรา
พูดถึงโลกของมิสเตอร์ลีแล้วมีหลายมุมเลยทีเดียว มีทั้งเรื่องที่แมนๆๆ และเรื่องที่...ไม่ใช่ไม่แมนนะค่ะ เรียกว่าเรื่องที่ละเอียดอ่อนละกัน เนื่องจากว่าสมัยเรียนกับมิสเตอร์ลีเนี้ย ถือว่าเราก็เก็บรายละเอียดเกี่ยวกับมิสเตอร์ลีเอาไว้เยอะพอควร มีทั้งน่าจดจำและำไม่น่าจดจำ
เรื่องราวชีวิตของมิสเตอร์ลีก็มีทั้งที่สมหวังและผิดหวังเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไป แต่ในความคิดของเราแล้วรู้สึกว่าคนๆนี้มีด้านชีวิตอีกด้านนึงที่น่าเศร้าใจนัก ฟังแล้วดูเหมือนเศร้านะค่ะ แต่ในความเศร้านั้นกลับทำให้มิสเตอร์ลีได้เจอสิ่งดีดีหลายอย่างที่ทำให้เค้ากลับมามีความสุขอีกครั้ง
เปิดตัวบล๊อกอันนี้ขอเล่าชีวประวัติของมิสเตอร์ลีละกัน ไหนๆ ก็เข้าเรื่องโลกของมิสเตอร์ลีแล้ว
มิสเตอร์ลีมีนามจริงว่า นายมูฮำหมัด แวอูมา เพื่อนๆ เรียกสั้นๆ ว่าลี แต่ถ้าเป็นอาจารย์ที่คอยเอ็นดูเนี้ย จะเรียกว่า หมัด (เป็นคำท้ายของชื่อนะค่ะ ไม่ใช่สิ่งมีชีิวิตขนาดเล็กที่ดูดเลือดเป็นอาหาร)
มิสเตอร์ลีเกิดวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2522 ตอนนี้ก็อายุครบ 31 ปีบริบูรณ์ แต่พี่แกบอกว่า"ใครเจอใครก็ทักว่าน้องเพิ่งจบเหรอ" เอากับมัน พวกชอบหลงตัวเองเป็นที่สุด แต่อันที่จริงเวลามิสเตอร์ลีเจอกับเพื่อนเราอ่ะ เพื่อนๆ ก็ชอบบอกว่าหน้าอ่อน แต่เราต่อท้ายให้ว่า "ปัญญาก็อ่อนเหมือนกัน" อันนี้ขำๆ นะค่ะ ได้รับคำอนุญาตจากมิสเตอร์ลีแล้ว พี่แกบอกว่า ผ่าน
มิสเตอร์ลีเกิดในครอบครัวที่ฐานะปานกลาง มีพี่น้อง 3 คน เป็นลูกชายคนโตและคนเดียวของบ้าน มีน้องสาวอีกสองคน ภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงทุกอย่างในบ้านเลยตกเป็นของมิสเตอร์ลี
ประวัติการศึกษา
เนื่องจากเกิดเดือนกุมภา เลยได้เข้าเรียนก่อนเกณฑ์นะค่ะ บวกกับความสามารถของพี่แก (อันนี้พี่แกบอกเองค่ะ) เลยได้เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลยะลา ที่ใครๆ ว่าเข้ายากเข้าเย็น คัดเด็กกันอย่างละเมียดละไม เห็นบอกว่าโจทย์ตอนสอบเข้าอนุบาลยะลา ให้ตัดกระดาษสีเป็นรูปทรงเรขาคณิต ไม่รู้เหมือนกันว่ายากหรือว่าง่ายสำหรับเด็กอายุประมาณ 4-5 ขวบ แต่ความสำเร็จอันนี้ทำให้มิสเตอร์ลีมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วซอย ไม่รู้ว่าจะน่าดีใจไปถึงไหน
มีเรื่องหนึ่งที่มิสเตอร์ลีเคยเล่าให้ฟัง แล้วยังขำจนถึงทุกวันนี้เลย มิสเตอร์ลีบอกว่า "สมัยเรียนอ่ะ ถ้าไม่ติดตรงหารสั้นไม่เป็น ป่านนี้ได้เป็นหมอแล้ว" ตอนแรกที่ฟังก็ยังงงๆ อยู่ว่าหารสั้นมันทำให้ชีวิตคนเปลี่ยนเลยเหรอ พี่แกก็เล่าต่อว่า "สมัยเรียนเรื่องหารยาวหารสั้นอ่ะ เรื่องหารยาวไม่มีปัญหา คุณครูอธิบายได้เข้าใจแจ่มแจ้ง ทำแบบฝึกหัดได้ถูกทุกข้อ แต่พอขึ้นเรื่องหารสั้น คุณครูอธิบายติดๆ ขัดๆ พอเริ่มไม่เข้าใจก็เริ่มทำแบบฝึกหัดผิดทีละข้อสองข้อ กลายเป็นว่าไม่มีความสุขกับการเรียนวิชาเลข ต้องหันมาพึ่งเพื่่อนก็คือลอกการบ้านนั่นเอง เลยเริ่มรู้สึกขี้เกียจ แล้วก็หันความสนใจไปเรื่องอื่นทันที" มิสเตอร์ลีบอกว่า ถ้าตอนนั้นได้รับการอธิบายที่ดีวิชาเลขจะเป็นวิชาที่ชอบที่สุด ถ้าชอบเลขก็ต้องชอบวิทย์ ถ้าชอบวิทย์ก็ต้องสามารถเรียนหมอได้ พี่แกคิดอย่างนี้อ่ะค่ะ เลยเป็นที่มาว่า ถ้าไม่ติดตรงหารสั้น คงได้เป็นหมอไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างหรือเปล่า
พอขึ้นระดับมัธยม พ่อเป็นคนพามิสเตอร์ไปสมัครสอบเข้าโรงเรียนคณะราษฎรบำรุง ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดยะลา แล้วมิสเตอร์ก็สอบผ่านเข้าไปเป็นนักเรียนของที่นั่นได้ และเหมือนเดิม วิชาเลขขอลอกเพื่อนตลอด จนกระทั่งมาถึงม.ปลาย ต้องเลือกสายแล้วหลุ่ะ มิสเตอร์ลีเลือกเรียนสายศิลป์-ฝรั่งเศส โดยให้เหตุผลว่าไม่รู้จะเรียนอะไร สายวิทย์ก็เรียนไม่ได้ จะออกไปเรียนสายอาชีพก็ไม่อนุญาต ไม่มีตัวเลือก เหลือตัวเลือกสุดท้ายก็คือ ศิลป์-ฝรั่งเศส แล้วศิลป์-ฝรั่งเศสเนี้ยมันง่ายสำหรับมิสเตอร์ลีแล้วเหรอ มิสเตอร์ลีบอกว่าเรียนสายนี้แล้วมีความสุขมาก เป็นเพราะว่าเจอวิชาเลขน้อยลง และวิชาเลขที่เจอก็ไม่ยาก แต่ถึงไม่ยากก็ยังไม่อยากเจออยู่ดี ยังคงคอนเซปต์เดิม
ช่วงสุดท้ายนี่แหล่ะจะออกแนวดราม่าแล้วหล่ะ ประมาณว่าพ่อไม่เข้าใจลี พ่อไม่เข้าใจลี ฮือๆๆๆๆ (ไม่ใช่น้องตุ้ม) เมื่อถึงเทศกาลเอ็นท์ มิสเตอร์ลีก็ต้องเลือกคณะ ตอนเอ็นท์ตรงนั้นมิสเตอร์ลีเลือกคณะ มนุษย์Eng อันดับหนึี่ง สอง มนุษย์ฝรั่งเศส สาม วจก. ของ มอ.ปัตตานี ผลปรากฏว่าไม่ติดเลยซักอันดับ ก็เลยมาเลือกอันดับตอนเอ็นท์กลางอีกที อันดับหนึ่งคือ วารสารศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ อันดับสอง มนุษย์อังกฤษ มศว.ประสานมิตร และอันดับสาม มนุษย์อังกฤษ ม.เกษตรศาสตร์ ผลปรากฏว่า แต่น แตน แต๊น........มนุษย์อังกฤษ มศว.ประสานมิตร ค๊าาา เป็นความภาคภูมิใจของตนเองและวงศ์ตระกูลมากๆ ถึงขนาดเราเพิ่งจะรู้ตอนหลังยังภูมิใจในตัวมิสเตอร์ลีเลย ...... แต่ดีใจไม่นานก็ต้องเสียใจ ขอเล่าย้อนหลังก่อนนะค่ะ ตอนที่ประกาศผลน่ะ มิสเตอร์ลีขอขึ้นไปฟังผลที่ กทม. จริงๆ แล้วพี่แกกะจะแอบไปสมัครเรียนที่ม.ศรีปทุมอ่ะค่ะ โดยที่ไม่บอกให้ที่บ้านรู้ เมื่อไปดูผลว่าเอ็นท์ติดที่ มศว. ก็รีับโทรกลับไปบอกที่บ้านเพื่อแจ้งข่าวดีให้ทราบ แต่หลังจากที่โทรกลับบ้านประมาณ 2 วัน ที่บ้านก็โทรกลับมาบอกว่าให้กลับมาคุยกันก่อน มิสเตอร์ลีก็ัีรีบกลับโดยที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง กลับมาถึงบ้านก็ได้รับรู้ในสิ่งที่ตนเองไม่คาดคิดมาก่อนก็คือที่บ้านไม่ให้ไปเรียนที่ มศว. เหตุผลคือไม่มีทุนจะส่งเรียน ให้กลับมาเรียนที่บ้านแทน มันแซ๊ดมากๆ เลยอ่ะ มิสเตอร์ลีเล่าว่ามันเป็นความเลวร้ายที่สุดในชีวิตของเด็กคนนึงที่ชะตากรรมตอบแทนความดีของเค้าเพียงแค่นี้ มันคือจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็ว่าได้(ถึงขนาดเก็บกระเป๋าออกจากบ้านไปช่วยน้าทำงานหาเงินที่มาเลย์เซียโน้น แอบดราม่านะเนี้ย) ตอนนั้นกลายเป็นคนละคนเลย กลายเป็นคนเย็นชา ไม่ตลกโปกฮาอย่างที่เห็น เฉพาะในบ้านนะ พอออกนอกบ้านก็เปลี่ยนบุคลิกทันที ตอนได้ฟังเรื่องนี้รู้สึกเศร้ามากๆๆ ก็โอกาสดีๆ อย่างนี้มีไม่เยอะ เสียดายแทน ข้อคิดจากเรื่องนี้ มิสเตอร์ลีบอกว่า "เงินเป็นปัจจัยอย่างนึงที่สามารถชี้วัดอนาคตได้ ใครคิดว่าเงินไม่สำคัญ" เฮ้อ.....
หลังจากที่ผิดหวังแล้ว มิสเตอร์ลีก็คิดว่าชีวิตนี้คงไม่สามารถทำตามความคิดของตัวเองได้อีัก เลยอุทิศชีวิตนี้ให้กับพ่อแม่ ตามใจทุกอย่าง อย่างที่อยากจะให้ทำ (แต่แอบมีข้อแม้ไว้ข้อนึงคือ เรื่องผู้หญิงขอหาเอง อิอิอิ) วันรุ่งขึ้นพ่อก็เลยซื้อใบสมัครของราชภัฎยะลาให้พร้อมกรอกใบสมัครให้เรียบร้อย แค่ไปสอบก็พอ มิสเตอร์ลีก็ไปสอบตามชะตากรรมที่ขีดไว้เห็นบอกว่าทำข้อสอบมั่วๆ เอา ยิ่งวิชาเลขเดาลูกเดียว แต่ผลกลับติดซะงั้น ก็เลยกลายเป็นนักศึกษาของสถาบันราชภัฏยะลา คณะมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ แต่การได้เรียนที่นี่มิสเตอร์ลีบอกว่า ได้เจอสิ่งดีดีมากมายที่เข้ามาในชีวิต ทั้งเพื่อนและการเรียน ผ่านไปหนึ่งปี ได้เกรดเฉลี่ย 3.9 โอโห เว่อร์ไปป่าววะ เป็นเรื่องจริงค่ะ สุดท้ายจบปี4 ได้เกรดเฉลี่ยสะสมประมาณ 3.5 ส่วนเกียรตินิยมนั้น อดค่ะ เพราะพี่แกดันใจดีไม่เข้าเรื่อง ให้เพื่อนลอกข้อสอบวิชา Phonitic (สัทศาสตร์)แล้วโดนจับได้ เลยโดนตัดเกรดเหลือ D dog ทั้งคนลอกและให้ลอก เกียรตินิยมเลยดับ ณ ตอนนั้นเลย น่าเสียดายอีกแระ ข้อคิดที่ดีที่ได้จากสถาบันนี้ มิสเตอร์ลีบอกว่า "ได้เจอมิตรแท้จากราชภัฏ" เชื่อค่ะว่ามิตรแท้จริงๆ ทุกวันนี้ยังติดต่อกันอยู่เลย
พอเรียนจบมหาลัย มิสเตอร์ลีก็ได้มาสอนที่โรงเรียนของเรานี่แหล่ะ (สตรีิอิสลามวิทยามูลนิธิ) สอนได้ 2 ปีก็ลาออกเพราะสอบบรรจุได้พอดี ตอนที่ต้องไปสอบบรรจุ มิสเตอร์ลีก็เล่าให้ฟังว่า ไม่ได้อยู่ในความคิดเลย เพียงแค่มีญาติผู้ใหญ่มาชี้แจงประโยชน์ที่ได้จากการได้เป็นข้าราชการหากสอบบรรจุได้ แล้วความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ของมิสเตอร์ลีก็บังเกิดขึ้นในใจ เลยตัดสินใจไปสอบที่นราธิวาส ขึ้นบัญชีลำดับที่ 98 ห่างไกลมาก ใช้เวลาปีกว่า ถึงจะเรียกไปบรรจุ พอดิบพอดีกับที่เราจบจากม.6เดะ อะไรมันจะบังเอิญเช่นนั้น
ปัจจุบันมิสเตอร์ลีทำงานเป็นข้าราชการตำแหน่งครู คศ.1 ที่โรงเรียนบ้านลีตอ อ.ยะหา จ.ยะลา อายุราชการ 5 ปีกว่าแล้วค่ะ และสิ่งที่ภาคภูมิใจมากๆ ตอนนี้คือ มิสเตอร์ลีสามารถซื้อบ้านให้เป็นของขวัญแก่พ่อแม่ ซึ่งนับว่าเป็นความดีที่คู่ควรแก่การเอาเยี่ยงอย่างมากเลยทีเดียว (แล้วอัลลอฮ์จะตอบแทนความดีให้บ่าวผู้นี้แน่นอน)
จบแล้วค่ะชีวประวัติของมิสเตอร์ลี มีสิ่งนึงที่ได้เห็นจากเรื่องราวทั้งหมดของมิสเตอร์ลีก็คือ ทุกอย่าง ทุกการตัดสินใจ ไม่เคยได้มาจากความต้องการของตัวเค้าเลย แต่ทุกอย่างที่ตัดสินใจนั้น เพื่อเป็นการทดแทนบุพการีในการเลี้ยงดูส่งเสริม (รึป่าว) จนเค้าเติบใหญ่จนถึงทุกวันนี้ เราเห็นแล้วทึ่งค่ะ ไม่รู้ว่าจะได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างนี้บ้างมั้ย
ไม่รู้ว่าบล๊อกนี้จะน่าเบื่อไปป่าว แต่ก็ถือว่าน่าจะเป็นเรื่องราวที่สามารถให้แง่คิดกับชีวิตได้อ่ะค่ะ
เขียนได้น่ารักมากๆเลยค่ะ
เราอ่านไปแอบยิ้มไปด้วย
ดรามาจริงจริงด้วยนะคะ
แต่กลายเป็นแฮปปี้เอนดิ้ง
เราว่าเป็นเพราะโชคชะตา
ถ้าคราวนั้นมิสเตอร์ลีขืนได้เรียนที่กรุงเทพ
ป่านนี้เค้าก็คงจะทำงานอยู่ที่กรุงเทพ
และคงไม่ได้มีโอกาสเจอคุณ
ได้เล่าเรื่องราวน่ารักๆของเค้า
ให้คุณฟัง อิ อิ
และเราก็จะอดฟังไปด้วยเลย
ขอบคุณมิสเตอร์ลีค่ะ (^___^)