1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30
28 เมษายน 2551
Keep open mind to learn
-ฟ้ามิได้แบ่ง ยอดคนกับ คนธรรมดา ออกจากกัน ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอ แต่นั่นมิใช่เพราะ ฟ้ากำหนด การที่ยอดคนปรากฏขึ้นได้เพราะเขาผ่านการ ฝึกฝน และ เรียนรู้ ที่จะเป็นยอดคน -อัจฉริยะไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด คนเก่งได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝน ม้าดีต้องมีคนขี่มาฝึกฝน นักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ทที่ดีมาฝึกฝน -Dont Look Down Yourself อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใคร จงเคารพ นับถือ ในความสามารถของตัวเอง -สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า เมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น
จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ ลงไปในสมอง คำพูดใดที่เราเคยได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เกิน 37 ครั้ง มันจะกลายเป็นอุปนิสัยของเราทันที -สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก คือสิ่งแวดล้อม อย่าปล่อยให้ความคิดหรือคำพูดของคนบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเราเอง นอกจากตัวเราเอง -ชีวิตไม่ใช่เกมส์กีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญ คือ เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้ ไม่มีใครเกิดมาล้มเหลวมีแต่ล้มเลิก คนฉลาด...ต้องโง่เป็น คนโง่ไม่เป็น...จะไม่มีทางฉลาด -เพียงคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้ตั้งแต่ที่คุณคิด แต่หากคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้ คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คุณคิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์ คือการรู้เท่าไม่ถึงการทางจิต ที่ตอกย้ำตัวเองว่า
ทำไม่ได้ -แม้แต่คิดยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว
ความล้มเหลวคือครูที่ทดสอบตัวเรา If you want to have success, you have no choice. -มนุษย์คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด...ทำไม? มนุษย์เหมือนกัน จึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะ มนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกัน -คนสำเร็จมองปัญหาเป็นโอกาส คนล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอก คนล้มเหลวจะให้โลกภายนอกปรับเข้าหาตัวเอง Team work is less E GO and more WE GROW -คนสำเร็จระดับผู้บริหาร เป็นผู้นำขององค์กรต่างๆในโลกนี้กว่า 85% ทั่วโลกล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็นคนดีทั้งสิ้น คนเก่ง... มักจะมีอัตตา จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ยอมรับการพัฒนา...ความรู้และสิ่งใหม่ๆปกครองคนไม่ได้ -คนเก่ง...ใช้เวลา 2-3 ปี ก็สอนให้เก่งได้ แต่...คนดีต้องใช้เวลา ชั่วชีวิต สอนกัน คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู -ความรู้เป็นเพียงพลังอำนาจแฝงชนิดหนึ่งเท่านั้น ความรู้จะกลายเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ได้ก็ต่อเมื่อ มันถูกนำไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น -ฟัง...แต่ไม่ได้ยิน ได้ยิน...แต่...ไม่เข้าใจ เข้าใจ...แต่
ไม่ลึกซึ้ง ลึกซึ้ง...แต่...ไม่แตกฉาน แตกฉาน...แต่
นำไปใช้ไม่เป็น จงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวเรา มาใช้อย่างชาญฉลาด May your day be as special as you are
Create Date : 28 เมษายน 2551
1 comments
Last Update : 28 เมษายน 2551 10:21:40 น.
Counter : 848 Pageviews.
โดย: FAN16 IP: 125.24.234.7 6 กันยายน 2551 12:43:57 น.
joypla
Location :
สงขลา Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ]
สวัสดีครับ ผมคนสงขลาแต่กำเนิด เริ่มเรียนที่โรงเรียนวัดชะแล้ อ.สิงหนคร จ.สงขลา, ม.ต้น ที่โรงเรียนชะแล้นิมิตวิทยา ต่อม.ปลายโรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา เข้าสู่ระดับอุดมศึกษา ณ คณะเกษตรศาสตร์นครศรีธรรมราช สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ( ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย) ภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตร สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร เคยทำงานที่บริษัท โชติวัฒน์อุตสาหกรรมการผลิต จำกัด ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ปัจจุบันทำงานที่ บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) จังหวัดชุมพร
การเลือกบุคคลให้ทาน
สำหรับบารมีนี่มี 10 อย่าง ท่านขึ้นต้นด้วยทานบารมีก่อน แต่การจะประพฤติทานได้จริงๆ บรรดาเพื่อน ภิกษุสามเณร และ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ต้องเป็นคนมีปัญญาถ้าคนที่ไร้ปัญญาให้ทานไม่ได้ คนที่มีทรัพย์สินสะสมไว้มากแสนมาก แต่ไร้การให้ทาน ย่อมเป็นโทษกับตัวเอง มีทรัพย์กี่หมื่นกี่ล้าน ก็ตาม ถ้าหากเราไม่ให้ทานเราก็เป็นคนโดดเดี่ยว อันตรายจะมีกับเราเมื่อใดก็ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนทุกคนเขาไม่ชอบหน้าเรา เราเป็นคนตระหนี่แน่นเหนียวประการหนึ่ง
และประการที่สอง ถ้าเราให้ทานไม่ได้ ก็หมายความถึงว่า เรามีความโลภ เพราะการให้ทานนี่ เป็นปัจจัยตัดความโลภ คำว่า ความโลภในที่นี้อย่างหยาบ ก็คือ อยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาโดยไม่ชอบธรรม เช่น โกงเขาบ้าง แย่งชิงวิ่งราว บ้าง แล้วก็ทำต่างๆ ที่จะพึงทำได้ ลักขโมยเขาบ้าง อย่างนี้เป็นต้น อาการอย่างนี้เป็นอาการแห่งการสร้างศัตรู ฉะนั้นสมเด็จพระบรมครูจึงทรงตรัสว่า ถ้าหวังความสุขจริงๆ ก็ต้องมีการให้ทาน
สำหรับการให้ทานนี่ ก็ต้องเลือกเหมือนกัน คือการให้ทานนะมันก็มีอยู่ว่า เหมือนกับเราจะหว่านพืชตามที่พระพุทธเจ้าทรง ตรัสว่า ผู้รับทานนั้นถือว่าเป็นเนื้อนาบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเจาะจงพระก่อนพระก็ดีเณรก็ดี ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตาม คำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เราก็ต้องดูต้องใช้ปัญญา ไม่ใช่ว่าปัญญาบารมีไปอยู่ถึงข้อ 4 แล้วเรา จะไม่ใช้ ต้องใช้ปัญญาบารมี นี่ถือว่า เป็นธงชัย นำหน้าเหมือนกัน ในมรรค 8 ท่านขึ้น สัมมาทิฎฐิ ก่อน สัมมาทิฎฐินี่เป็น ตัวปัญญา
นี่เราก็มาพิจารณาต่อไปว่าพระสงฆ์ประเภทไหน ที่เราควรจะยอมรับนับถือ แล้วก็ควรจะถวายทาน อันดับแรกที่สุดจะสังเกต พระสงฆ์ทั้งหมด จะต้องมีจิต มีกำลังเหนือนิวรณ์ 5 นั่นก็หมายความว่า ถ้าเป็นพระปุถุชนก็ดี เป็นพระที่ทรงฌาน สมาบัติก็ ดี ก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจของนิวรณ์ นิวรณ์ยังครอบงำจิตได้ สำหรับท่านที่ทรงฌานสมาบัติ บางครั้งจิตท่านพลาดจากฌานลืม คุมฌาน เวลานั้นก็หมายความว่านิวรณ์เข้าครอบงำจิตแน่
สำหรับพระที่ไม่ได้ฌานสมาบัติ ที่มีศีลบริสุทธิ์ ก็เช่นกัน บางครั้งนิวรณ์ก็ครอบงำจิตได้ แต่ว่า ก็ยังเป็นเนื้อนาบุญ ที่ควรจะให้การสงเคราะห์ควรจะมอบวัตถุทานให้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะยังมีความดีอยู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพระองค์ใดเป็น พระอริยเจ้า สำหรับพระอริยเจ้านี่เราสังเกตกันยาก เพราะว่า คนเราติดอุปทานเสียมาก
มีนักปราชย์ชุ่ยๆ ที่บอกว่าพระอรหันต์ ต้องไม่หัวเราะ พระอรหันต์ต้องไม่สูบบุหรี่ ไม่กินหมาก ความจริงความเข้าใจอย่างนี้ผิด แม้แต่องค์ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยังทรงหัวเราะ ที่กล่าวว่าพระพุทธเจ้า ไม่ทรงหัวเราะนานๆ จะมีการแย้มพระโอษฐ์ สักทีหนึ่ง การแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ น่ะมันเป็นเฉพาะเวลาพิเศษ นั่นก็คือ สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เห็น ความสำคัญเกิดขึ้น อยู่เฉยๆไม่ได้พูดกับใคร แล้วก็ไม่ได้หันหน้าไปหาใคร ทรงแย้มพระโอษฐ์เฉยๆ นั่นหมายถึงความสำคัญจะเกิดขึ้นถ้าพระอานนท์ ถามว่า ทรงแย้มพระโอษฐ์เพราะอะไร ก็จะทรงตรัสถึงความสำคัญที่ทรงแย้มพระโอษฐ์
นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้า ก็ทรงยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนคนธรรมดาๆ คำว่า เหมือนคนธรรมดา ก็หมายความว่า ถ้าเราหัวเราะได้ท่านก็หัวเราะ เรายิ้มกันได้ท่านก็ยิ้ม
ตัวอย่างในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านโกมารภัจจ์มาที่เมือง ทวาราวดี เวลานั้นเขายังไม่เรียกว่า ประเทศไทย มันเป็นเมืองย่อม ๆ เป็นจุดๆ ท่านมาทวาราวดี 2 ปีกลับไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า ชาวเมืองทวาราวดีนี่พูดเพราะมาก ใช้ภาษาโดด คือ ภาษาคำเดียว แล้วพูดไพเราะ ไม่ปรี๊ด ปร๊าดๆ เหมือนแขก
ตัวอย่างเช่นคำว่า "ไป" ไปนี่เราใช้คำว่า "ไป" เฉยๆ แต่ว่า ภาษามคธ หรือภาษแขก เรียก "คมนา" บ้าง "คัจฉติ" บ้างของ เขาหลายคำอย่างคำว่า "กิน" เราเรียกว่า "กิน" แต่ของเขาเรียกว่า "ภุญชติ" อย่างนี้ เป็นต้น ก็รวมความว่า ของเขาใช้คำ กลั้ว เราใช้คำโดด เมื่อท่านโกมารภัจจ์ กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสถามว่า ชาวทวาราวดี เขาพูดอย่างไร ลอง พูดภาษทวาราวดี คุยกันสนุกสนาน คำว่า สนุกสนานในที่นี้นะ ถ้าพระพุทธเจ้า ทรงทำหน้า ตูมๆ ล่ะมันไม่สนุกหรอก ท่านก็ต้องมีการยิ้มแย้มแจ่มใส และอีกประการหนึ่ง เวลานั้น จะเห็นว่า คณาจารย์มาก พระพุทธศาสนาเกิดใหม่ ถ้าหากว่า พระพุทธเจ้าทำหน้า..ขอประทานอภัยนะ เหมือนกับหน้าไม้ตีพริก เพราะว่าไม้ตีพริกนี่ หน้ามันไม่เงย มันก้มมันลงต่ำไม่แสดง ถึงอาการรื่นเริง อย่างนี้ การประ กาศพระพุทธศาสนา ก็ไม่มาถึงเรา ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้า ก็ทรงยิ้มแย้มแจ่มใส ฉะนั้น ขอบรรดา ท่านพุทธบริษัททั้งหลายจำไว้ด้วย เพราะว่า นักปราชญ์ท่านมีเยอะแล้ว
ประการที่ 2 การจะดูพระ การดูพระอริยะก็ดูยากก็ดูอย่างนี้แล้วกัน ถ้าพระที่เราควรจะให้ คือไม่ใช่พระอริยะเป็นพระผู้ทรงศีลก็ดี เป็นผู้ทรงฌานก็ดี อย่างนี้สังเกตด ูท่านพูดวาจาที่ท่านพูดก็ดี อาการทางกาย ที่ท่านทำก็ดี ท่านฝ่าฝืนคำสั่งสอนของ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าไหม พระพุทธเจ้าบอกว่าตายแล้วเกิด ถ้าหากท่านผู้นั้นบอกว่า ตายแล้วสูญอย่างนี้แสดงว่าคัดค้าน เป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้าแน่นอน ไม่ใช่พระที่พระพุทธเจ้า ทรงยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน ในพระไตรปิฎก มีใน วิมานวัตถุ ถ้าจะพูดถึงอย่างอื่นก็จะหายาก ในวิมานวัตถ ุพูดกันเฉพาะ เรื่องเทวดา เรื่องพรหม โดยเฉพาะ มีเรื่องราวมาก เล่มเบ้อ เริ่มเชียว มีเรื่องไม่รู้ว่าเท่าไหร่ นี่เป็นอันว่า องค์สมเด็จพระจอมไตร ทรงยอมรับว่า เทวดามี พรหมมี สัตว์นรก เปรต อสูรกายมี นิพพานมี
แต่ว่าท่านผู้ใดบอก สัตว์นรกไม่มี เปรตอสูรกายไม่มี นิพพานไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมไม่มี ท่านผู้นั้น ก็หมายความว่าไม่ใช่ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ถ้าเอาผ้าเหลืองเขามาครอง ก็แสดงว่าปลอมตัวเข้ามาทำลายพระพุทธศาสนาเหมือนกับสมัย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้วไม่นานนัก พวกพราหมณ์ เข้ามาแทรกเข้ามาบวชในพุทธศาสนา แล้วเอาลัทธิของตัว เข้ามาแทรกแซง ทั้งนี้เพื่อหวังผลประโยชน์ ในการทำลายพระศาสนาให้สิ้นไป
ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าจะบำเพ็ญทานบารมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพระสงฆ์สามเณรในพระพุทธ ศาสนาก็ต้องดูให้ดี ท่านที่ฝ่าฝืนคัดค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างท่าน กปิลภิกขุ ตัวของท่านเองก็ดี พาแม่และน้องสาวด้วยลงอเวจีมหานรก ก็เพราะว่าคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่กล่าว มา พระพุทธเจ้าทรงตรัสอย่างนี้ ท่านก็พูดอย่างโน้น แต่ว่า ลีลาของท่านจริงๆ เหมือนกับ เคารพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ฉะนั้นการที่จะถวายทานแก่พระสงฆ์จัดว่า เป็นจุดสำคัญคือ เนื้อนาบุญ ก็ต้องดูเนื้อนาที่เราจะเห็นสมควรไหม
อย่างพระสงฆ์ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ท่านผู้นี้เราทำบุญด้วยมีผลไม่มากนัก แต่ก็มีผลสามารถให้เราไปสวรรค์ได้ ถ้าจิตใจเราจับ อยู่ในพระสงฆ์เป็นนิตย์ เคารพพระองค์ใดพระองค์หนึ่งจับใจ อารมณ์ใจ จับถึงองค์นั้น อยู่เสมอเป็นปกติ อย่างนี้ถือว่า เป็น ฌานในสังฆานุสสติกรรมฐาน ในเมื่อจิตเป็นฌานในสังฆานุสสติกรรมฐานตายแล้วไปเป็นพรหม ถ้าบังเอิญอารมณ์เรา เห็นว่า ท่านไม่นิยมในสังขาร คือ ร่างกายไม่ติดในร่างกายไม่ติดในวัตถุ เราพลอยไม่ติดไปกับท่านเราพลอยได้ไปนิพพาน กับท่านเหมือนกัน
ถ้าจะถามว่า เฉพาะทรงศีลเฉยๆ จะไปนิพพานได้รึ ถ้าอารมณ์ไม่ติดของท่านนั่นแหละ มันจะตัดกิเลส ไปทีละน้อยๆ ในที่ สุด ท่านก็หมดกิเลส ท่านก็ไปนิพพาน
ถ้าญาติโยม พุทธบริษัทคบพระเช่นนั้น ถวายทานกับพระเช่นนั้น มีอานิสงส์ ถึงไม่เลิศถึงที่สุดก็เลิศ อย่าลืมว่า น้ำฝนตกมา ทีละหยาดๆ มันก็สามารถจะทำภาชนะให้เต็มได้ การบำเพ็ญกุศลกับพระผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ถึงจะมีอานิสงส์ไม่เลิศทำบารมี ของเราให้เต็มได้ คือ ทานบารมี
การทำบุญพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ให้ทานกับคนที่ไม่มีศีลเลย 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับ ให้ทานกับคนที่เคยมีศีลแต่ศีลขาดไปแล้ว 1 ครั้ง หมายความว่า ยังมีความดีอยู่บ้าง
ให้ทานแก่คนที่เคยมีศีลแล้วศีลขาด 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ให้ทานกับท่านที่ทรงศีลบริสุทธิ์ 1 ครั้ง
ให้ทานกับท่านที่มีศีลบริสุทธิ์ 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ให้ทานกับท่านผู้ทรงฌาน หรือท่านปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติมรรค 1 ครั้ง
ผู้ปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติมรรคหมายความว่า
ท่านที่ปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่ถึง พระโสดาบันปัตติมรรค จะเป็นขั้นไหนก็ตาม อย่างน้อยที่สุด
จิตของท่าน ตัดนิวรณ์ มีความเคารพ ในพระรัตนตรัยจริง ๆ ทรงศีล บริสุทธิ์ก็มีอานิสงส์มาก
ให้ทานกับท่านที่ปฏิบัติเพื่อโสดาบันปัตติมรรค 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ให้ทานกับพระโสดาปัตติผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระโสดาบันปัตติผล 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานพระสกิทาคามีผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระสกิทาคามีมรรค 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระสกิทาคามีผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระสกิทาคามีผล 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระอนาคามีมรรค 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระอนาคามีมรรค 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระอนาคามีผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระอนาคามีผล 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระอรหันตมรรค 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระอรหัตมรรค 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระอรหัตผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระอรหัตผล 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง
ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้ง
ถวายทานแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายสังฆทาน 1 ครั้ง
ถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายวิหารทาน 1 ครั้ง
พพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างนี้ คือ
ตามลำดับการบำเพ็ญทานเป็นอย่างนี้ ทีนี้หากว่าเราจะรู้ได้อย่างไร องค์ไหนเป็นพระอริยเจ้า อย่างนี้รู้ยาก เพราะว่า คนเรา ติดจริยา มากกว่าอย่างอื่น เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ไม่หัวเราะ ต้องทำหน้าที่เป็นหัวตอ หรือว่าทำปากเป็นสากเฉยๆ หน้าบึ้ง หน้าตูมอย่างนี้ ก็เลยผิดความจริง ถ้าเราไม่รู้ อะไรมากไม่แน่ใจ ก็ดูจริยาภายนอกท่านน่ารักไหม.. แล้ว จริยาภายนอกก็ต้องคิด เพราะเวลานี้คนที่ สามารถทำปุพเพนิวาสนานุสสติญาณก็ดี หรือว่า จุตูปปาตญาณก็ดี ญาณต่างๆ เวลานี้ ฆราวาส ได้กันมากนับแสน แต่อาจจะเกินกว่านั้นก็ได้ ท่านลงไปเจอะพระในนรกเยอะ บางท่านบอกว่า รู้จักดี สมัยเมื่อมีชีวิตอยู่ มีจริยาเรียบร้อยมาก น่าเคารพน่าไหว้บูชา แต่พอไปถาม ความจริงว่า เพราะอะไร จึงลงอเวจีมหานรกบ้าง เพราะอะไรจึงลงโลกันต์บ้าง ก็บอกว่าพลาดพระวินัย คือ ใช้เงินของสงฆ์ผิดพลาดบ้าง เอาของสงฆ์ เข้าบ้านบ้าง และใช้เงินของสงฆ์ เงินที่เขามาถวาย ใช้ผิดวิธีบ้าง ทีนี้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ก่อนที่จะให้ทาน ถ้าหวังผลเพื่อเป็นปัจจัยเพื่อนิพพาน ต้องเลือกบุคคลผู้ให้ ถ้าไม่สามารถให้ได้ยังไงและจริงใจ ก็ต้องให้ใช้วิธีถวาย สังฆทานดีที่สุด
คัดมาจากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ (วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)