แผนรักจัดฉากหัวใจ บทที่ห้า เมื่อพบประสบพักต์
บทที่ห้า
เมื่อพบประสบพักต์




หลังจากจากที่ทำความเข้ากับพ่อแม่ได้แล้ว ก็รู้สึกคิดถึงคนที่ให้คำแนะนำขึ้นมาตงิดๆ จึงได้อีเมล์แจ้งข่าวการเจรจากับพ่อแม่ให้ทราบว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และคาดว่าจะสามารถเดินทางได้เมื่อเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรที่จะเสร็จในเดือนหน้านี้


ถึงคุณตรีภพ
วันนี้เรามีข่าวดีมาบอกแหละ เราได้คุยกับพ่อแม่เรื่องการเรียนต่อแล้ว ท่านไม่ขัดข้อง (ขอกระซิบหน่อยเดี๋ยวจะหาว่าคุยเราก็สอบชิงทุนไปได้เองนะ) คาดว่าจะเดินทางเดือนหน้าละ แต่ได้ขอให้เราได้ให้สัญญาเรื่องการใช้จ่ายที่เป็นข้อบกพร่องของเราว่าต่อไปนี้ ด้วยเกียรติของเนตรนารี ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะใช้จ่ายอย่างรู้ค่าของเงิน ไม่ฟุ่มเฟือย และจะตั้งใจเรียนให้จบตามกำหนดไม่เถลไถลที่ไหนค่ะ จบคำปฎิญาณตนแล้ว

เราต้องขอบคุณคุณมากที่ให้คำแนะนำให้พุ่งชนกับปัญหา ซึ่งเราก็พยายามแก้ทีละจุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องหนี้สินเราได้ทำได้เอาข้าวของที่ไม่ได้ใช้ไปประกาศขาย เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ด้วยนะ มีคนซื้อแล้วด้วย (ขอบอกว่าเสียดายมาก >_<”)

ป.ล. เมล์มาเพื่อขอขอบคุณที่ให้คำแนะนำและเตือนสตินะค่ะ ขอบคุณค่ะ
จาก ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม



เมื่อตรีภพได้อ่านเมล์ของเพื่อนผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม แล้วก็ดีใจที่เพื่อนคนนี้นำคำแนะนำของเขาไปใช้แล้วได้ผลดีด้วย จึงเขียนเมล์ตอบกลับมา


ถึง คุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
ผมยินดีด้วยกับความสำเร็จของคุณด้วยครับ และขอเป็นกำลังใจเอาใจช่วยให้คุณทำให้ทำสำเร็จในการรักษาวินัยการคลังของคุณ และการเรียนตามที่หวัง หวังว่าคุณไปไล่ตามความฝันในโลกใบใหม่แล้วคงไม่ลืมผมเพื่อนในโลกโซเบอร์ของคุณนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็เมล์มาปรึกษากันอีกได้นะครับ


ป.ล.ขอให้เรียนให้สนุกเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ (ผมเดาว่าคงสอบชิงทุนไปเมืองนอกครับ ถ้าไม่ใช่ก็ปล่อยไก่ไปแล้วกัน) ยินดีมากครับที่ความเห็นของผมมีประโยชน์กับคุณ
จาก ตรีภพ


เมื่อหนูจิตได้อ่านเมล์ของตรีภพที่ส่งมาให้และประกอบกับเรื่องเรียนเป็นไปได้ด้วยดี ก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเป็นที่สุดในรอบหลายวันที่กบดานอยู่แต่ในบ้าน อารมณ์ดีจนออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน แต่ขณะที่กำลังวิ่งและฟังเพลงโปรดจากเครื่อง iPod nano รุ่นใหม่ ของขวัญเมดอินอเมริกาที่บรรณาการมาให้เนื่องในโอกาสเรียนจบปริญญาตรีจากคนที่อยู่ในห้วงคำนึงทั้งรู้สึกรักและเกลียดนั่นเองก็มีบุรุษนายหนึ่งวิ่งจากพุ่มไม้ข้างทางออกมาขวางทางไว้ จนหนูจิตต้องติดเบรกอย่างสุดแรง เมื่อเห็นหน้าชัดๆก็พบว่าเป็นนายต้นกล้า เธอก็ตกใจ แต่เมื่อเหลียวมองรอบตัวเวลานี้


‘คนที่วิ่งด้วยกันเมื่อกี้มันหายไปไหนหมดหว่า ต้องวิ่งอีกตั้งเกือบกิโลถึงจะเจอพวกอาม่า อากง รำไท่เก็ก เอาไงดีท่าทางหมอนี่ตอนนี้มันไม่น่าอยู่ด้วยตามลำพังเลย’


แล้วหนูจิตก็คิดว่า เธอต้องตั้งสติและถึงเวลาที่ต้องพุ่งชนปัญหาให้กระจุยแล้ว จะหนีตลอดไปไม่ได้หรอกนะ

“อ้าวต้น มาวิ่งออกกำลังกายเหมือนกันหรอ เออ แต่เราต้องรีบกลับบ้านแล้วละเพราะพี่โจมารอแล้วด้วย”

“หนูจิตเรามีเรื่องจะพูดด้วย ขอเวลาเราก่อนนะ” นายต้นกล้าเดินกล้าเข้ามาหมายจะดึงแขน แต่หนูจิตเบี่ยงตัวหลบได้ก่อน อีกฝ่ายจะถูกเนื้อต้องตัว

“มีเรื่องอะไร พูดมาเลย แต่เดินไปวิ่งไปได้ไหม เรารีบ”

หนูจิตพยายามวิ่งเพื่อให้เข้าใกล้กับกลุ่มอากง อาม่าที่รำไทเก็ก เผื่อพูดจากกันไม่ถูกหู เคลียร์กันไม่รู้เรื่องนายต้นจะได้ไม่กล้าทำอะไรมากนัก ดังนั้นจึงเป็นรายการวิ่งไปพูดไปแบบมาราธอล ที่คนพูดก็หอบแฮก คนฟังก็ไม่อยากจะฟัง หนูจิตเร่งฝีเท้าเต็มที่ ตามมาติดๆ ด้วยนายต้นกล้าที่วิ่งไล่กวาดไม่ห่างนัก จนเมื่อมาใกล้ที่หมาย หนูจิตจึงเริ่มผ่อนฝีเท้าลงอย่างไม่มีท่าทีว่าจะเหน็ดเหนื่อยเลย ส่วนนายต้นกล้าวิ่งแค่กิโลเดียวก็หอบเป็นหมาหอบแดดแล้ว


‘ฮึ เรื่องวิ่งนายสู้ฉันได้ยากอยู่แล้ว เพราะฉันนักมวยเก่านะจ๊ะ แค่นี้สบายมาก ดีเหนื่อยอย่างนี้ก็ดีแล้ว แม่น่าจะล่อให้วิ่งอีกสักรอบสองรอบ จะได้ไม่มีแรงทำอะไรฉันได้ แต่ถ้าขืนทำอะไรฉันละก็นายโดนกำปั้นฤทธิ์มัดดาวเหนือของฉันแน่’

“เอาละพูดอีกครั้งได้รึยัง เพราะเมื่อกี้ฟังไม่รู้เรื่อง”


“เราอยากขอโทษหนูจิต เราอยากอธิบายเรื่องเมื่อวันนั้น เรากับน้องเค้าไม่ได้มีอะไรกัน จบกันแล้วจริงๆนะ เขาขอร้องเพราะเราติดค้างเค้านานแล้ว ก็ว่าจะถือโอกาสนั้น เลิกกันไปให้เด็ดขาดไปเลยในตอนนั้น เพราะเรารักหนูจิตคนเดียวเท่านั้น กิ๊กคนอื่นไม่มีความหมาย แต่เราดันซวยที่หนูจิตไปเจอเข้า หนูจิตขอโอกาสเราอีกครั้งนะ”

นายต้นกล้าพูดด้วยเสียงเว้าวอนอย่างน่าสงสารพลางกระหืดกระหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยอย่างคนไม่ค่อยออกกำลังกาย


จิตตกานต์ยืนกอดฟังด้วยความคิดที่เหมือนกำลังฟังบทละครวิทยุที่นายต้นกล้ากำลังแสดงนำ

‘หมอนี่ มันเห็นเรากินหญ้าเป็นอาหารรึไงวะ อย่าคิดว่าฉันสวยแล้วฉันจะโง่นะยะที่จะเชื่อละครลิงของนาย แต่ปัญหาคือเราจะพูดยังไง ให้มันเข้าใจสักทีหว่า’

“ต้นเราพูดตรงๆ นะ เราไม่ได้คิดกับนายเกินเพื่อนเลย เลิกตามตื้อเราเถอะเราขอร้อง เราลำบากใจนะ เอาเป็นว่าเรายกโทษให้ แต่เราจะคบกันในฐานะเพื่อนเท่านั้นไม่มีฐานะอื่น ขอให้นายเข้าใจเรื่องนี้ด้วย”

“ไม่จริงหรอก หนูจิตยังโกรธเราไม่หาย เรายอมทำทุกอย่างให้เธอหายโกรธ เราไม่ยอมให้จบกันอย่างนี้หรอก”

ต้นกล้ายังคงดื้อดึงไม่ยอมท่าเดียวและเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนอากงอาม่า อาอึ่ม อาซ้อ ที่กำลังรำไทเก็กเริ่มหันมาเมียงมองสนใจบทสนทนาของทั้งคู่บ้างแล้ว หนูจิตหันมองรอบข้างแล้วก็คิดว่าต้องปิดฉากก่อนที่จะอายชาวบ้านเขาไปมากกว่านี้แล้ว

“พอเถอะเราพูดตรงๆแล้ว เราไม่ได้ชอบนาย ความรักมันบังคับใจกันไม่ได้หรอกนะ นายก็ตัดอกตัดใจบ้างเถอะนะ อย่าให้เราเสียความเป็นเพื่อนไปเลยนะ”


“ไม่เราไม่ยอม เธอจะทิ้งเราอย่างนี้ไม่ได้”


‘เฮ้อ อย่านะ อย่าลงไปนอนดิ้น ร้องไห้ เหมือนตอนไม่ได้ของเล่นนะเว้ย แค่นี้ก็อายคนแย่แล้ว’

“ฉันจะบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย โปรดฟังอีกครั้ง มันจบแล้วโว้ย แล้วฉันก็จะไปเรียนต่อแล้วด้วย พอทีเถอะ”

‘หนูจิตทำดีที่สุดแล้วนะ พุ่งชนปัญหาแล้วด้วย แต่ทำไงได้เค้าไม่เข้าใจเองนี่หว่า’

ว่าแล้วหนูจิตก็รีบวิ่งหนี 4x100 เมตรไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้นายต้นกล้าทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงเหมือนพระเอกมิวสิกวีดีโอ ขาดแต่ไม่มีฝนตกลงมาเท่านั้นแหละฉากสมบูรณ์ พร้อมกับพึมพำอย่างน่าสงสารว่า

“ไม่ๆ เราไม่เข้าใจ เราจะรอ นานแค่ไหนก็จะรอ”



เมื่อจัดการทำความเข้าใจกับนายต้นกล้าแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมเข้าใจก็เถอะ หนูจิตรีบกลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็วเพราะเกรงว่านายต้นกล้าจะตามมาอีก นี่นายต้นมันต้องป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้บ้านเรามาตลอดนะสิ คนขาดสติเราต้องอยู่ห่างๆ แม้ว่าจะมีวิชามวยไทยป้องกันตัวแต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีเครื่องทุ่นแรงอื่นนะสิ ว่าแล้วก็กันไว้ดีกว่าแก้ดีกว่า


เมื่อกลับถึงบ้านรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปหาพี่โจที่ห้องแต่ไม่พบ แต่ที่คอมพิวเตอร์มีหน้าแชทเปิดค้างไว้มีข้อความแจ้งจากตรีภพแจ้งว่าจะกลับมาในวันอาทิตย์หน้านี้ เครื่องร่อนลงที่สุวรรณภูมิตอนตีสาม ยังไงก็ต้องแวะมาพักที่บ้านเราก่อนแน่เลย

ตายละหว่า วันอาทิตย์มันอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้นนะ แล้วจะหาเรื่องหลบยังไงดีเนี่ย จะแกล้งหลบอยู่แต่ในห้องก็ไม่ได้ด้วย โอ้ย เรื่องอื่นค่อยคิด ก่อนอื่นต้องทำลายหลักฐานการมีอยู่ของเราก่อน แล้วหนูจิตก็รีบวิ่งจากห้องพี่ชายไปเก็บรูปถ่ายต่างๆที่อยู่ทั่วบ้านมาเก็บไว้ก่อน ถึงวันนั้นค่อยหาทางออกจากบ้าน


เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วก็ค่อยเบาใจว่าแล้วเราไปมาร์กหน้าของ La Mer ก่อนดีกว่า วันนี้ซีเครียส (สนธิกันระหว่างซีเรียส+เครียด) มาทั้งวันเดี๋ยวหน้าเหี่ยวกันพอดี


“555 ยายหนูจิต วิ่งพล่านไปเก็บกรอบรูปทั่วบ้านเลยฮะ คุณยาย ท่าทางจะไม่อยากให้ไอ้ภพเห็นรูปมันนะครับ เราเอาไงต่อดีครับ”


“ยายว่าให้พบกันแบบเลยดีไหม แต่ยายว่าหนูจิตต้องหลบแน่นอน แต่เราต้องหาช่องทางให้ตาภพเจอยายหนูจิตให้ได้นะ เพราะโจเคยบอกยายว่าตาภพเคยเห็นรูปน้องแล้วอึ้งเลยใช่ไหมละ ลองคิดดูว่าเจอตัวจริงแล้วจะเป็นไง เผลอๆอาจหายอกหักเลยก็ได้”

ยายทองสุขพูดพลางหัวเราะกับยายสมสุขที่คอยเป็นลูกคู่อยู่ข้างๆ


ตกเย็นเมื่อถึงเวลารับประทานมื้อค่ำ จิตพิสุทธิ์ก็ได้แจ้งข่าวกับทุกคนเรื่องตรีภพจะเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี่ โดยเขาจะไปรับที่สนามบินตอนตีสาม แล้วตรีภพจะพักบ้านเราสักวันก่อนค่อยกลับบ้านไร่ เพราะฉะนั้นจะมีการเลี้ยงต้อนรับตรีภพที่ร้าน....ขอแจ้งให้ทุกคนไปร่วมด้วย จบข่าว

คุณแม่เป็นคนที่ตื่นเต้นและปลื้มในตัวหลานชายมากก็ออกอาการดีอกดีใจอย่างออกนอกหน้าที่หลานชายจะกลับมาเมืองไทยแล้ว ถึงขนาดอยากไปรับที่สนามบินด้วยเลยทีเดียว แต่พี่โจค้านว่าดึกแล้วไม่ต้องไปให้ลำบากหรอก จึงได้หันมาคิดเมนูเตรียมต้อนรับหลานชายคนโปรดในตอนเช้าอีกนับสิบเมนู และวางแผนไปถึงมื้อกลางวันอีกต่างหาก อย่างตื่นเต้นเต็มที่

(เออ แม่ค่ะ เก็บอาการหน่อยก็ดีนะค่ะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าอยากให้เค้ามาเป็นลูกเขยจนตัวสั่นนะค่ะ)


ส่วนหนูจิตได้แต่รับฟังด้วยท่าทีเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจ แต่หูผึ่งเก็บข้อมูลเต็มที่ว่าวันและเวลาดังกล่าวเราจะไม่โผล่ศีรษะและเฉียดกายไปแถวๆ นั้น ที่ทุกคนจะพาตรีภพไปเป็นอันขาด

“ว่าไงหนูจิต เห็นด้วยแกว่าไปร้านนี้ดีไหม ร้านนี้แกชอบไม่ใช่หรอ” พี่โจหันมาหาลูกคู่เสียงสนับสนุน

“อือ ก็ดีแล้วนี่ พาไปกินอาหารไทยนักเรียนนอกเค้าคงชอบไม่ได้กินมานาน คงจะคิดถึงรสชาติของไทยๆ ไม่พาไปกินส้มตำปูด้วยเลยละ” หนูจิตอดประชดไม่ได้

“แหม รู้ใจกันจริงนะ รู้ด้วยว่าจะอยากกินอาหารไทย แล้วรู้ได้ไงว่าไอ้ภพมันอยากกินส้มตำปูฮะ” พี่โจได้ที แซวอย่างสนุกสนาน

“ไม่ได้รู้จงรู้ใจอะไรหรอกพี่โจ เดาๆ เอาเท่านั้นแหละ คนไทยที่เค้าไปอยู่เมืองนอกนานๆเค้าก็อยากกินอาหารไทยทั้งนั้นแหละ หนูจิตอิ่มแล้ว จะรับของหวานเลยไหมค่ะ”

หนูจิตรีบแก้ตัวเป็นพันละวัน และรีบหลบฉากเข้าครัวโดยด่วน เพราะรู้ว่าพลาดแล้วนิดหน่อย


ส่วนพี่โจและคุณแม่ได้แต่อมยิ้มให้กัน แม้แต่คุณพ่อที่ทำทีเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ก็แอบยิ้มไปกับเขาด้วย


แล้ววันอาทิตย์ที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง หนูจิตหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็รีบหลบไปกบดานบนห้องนอนทันทีอ้างว่าห่วงนอนเต็มที แต่หารู้ไม่ว่าหล่อนแอบไปประทินผิวทั้งผิวหน้าและผิวกายตั้งหัวจรดเท้า เริ่มจากมาร์กหน้า หมักผม ขัดผิว จนใสไปทั้งตัว แม้จะบอกตัวเองว่าไม่อยากเจอแต่การเตรียมพร้อมย่อมดีที่สุด ซึ่งคนปากไม่ตรงกับใจได้ตกลงใจกับตัวเองว่าจะหลบไม่อยากเจอหน้า แต่ก็กะว่าจะแอบตามไปดูตรีภพสักหน่อย เพราะไม่ได้เห็นตัวเป็นๆมานานตั้ง 7 ปี แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดถึงสักหน่อยแค่อยากเห็นว่าเป็นยังไงก็เท่านั้นแหละ

‘โอยรีบนอนดีกว่า นอนดึกเดี๋ยวตาคล้ำไม่สวย’

แต่จนแล้วจนรอดคนปากแข็งก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ พยายามแล้วทั้งนับเเกะก็แล้ว นั่งสมาธิก็แล้ว ลุกมาเล่นโยคะให้เหนื่อยก็แล้ว ได้แต่ก็คิดวกวนอยู่แต่กับผู้ชายคนนั้นคนเดียว ใจหนึ่งก็อยากเจออยากให้รู้แล้วรู้รอดไป จะได้รู้ว่า ถ้าเขาเห็นเธอในฉบับปรับปรุงใหม่ไม่อัปลักษณ์อย่างที่เคยปรามาสไว้แล้ว ผู้ชายคนนั้นจะตะลึง อึ้ง จำไม่ได้เหมือนในหนังไหม


แต่ถ้าเค้าไม่ได้ตกตะลึง ตึ่ง ตึง เหมือนที่เธอคิด แล้วก็คิดว่าไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย สวยกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้ว นี่เธอโมดิฟลายแล้วหรอ? ถ้ามันเป็นอย่างหลังแล้วความพยายามตั้ง 7 ปีของฉันละ

หยึย พอแล้ว สรุปว่าเธอยังไม่พร้อมใช่ไหม งั้นก็ไม่ต้องเจ๋อไปให้เค้าเห็นหน้าสิ หลบอยู่ในกระดองอย่างนี้แหละ หล่อนนะ

เธอได้แต่นอนคิดอย่างเจ็บใจที่ตนเองช่างขี้ขลาดตาขาวอะไรอย่างนี้นะ แค่ความกล้าที่จะเผชิญหน้าก็ยังไม่มี

จนกระทั่งผลอยหลับไป และฝันไปว่า ระหว่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงของตัวเอง ก็มีงูเหลือมตัวโตค่อยๆ เลื้อยขึ้นมาบนเตียง แล้วก็รัดรอบตัวเธอจนหายใจไม่ออก เมื่อลืมตาขึ้นมามองก็พบว่างูตัวนั้นจู่ๆ ก็กลายร่างจากหัวเป็นงูธรรมดากลับกลายเป็นว่างูตัวนั้นดันหน้าตาเหมือนตรีภพแทน แต่ท่อนล่างยังเป็นงูรัดตัวเธอแน่นไม่ยอมปล่อยอยู่อย่างนั้น ตัวเธอพยามยามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แล้วเจ้างูลามกก็ค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาเธอช้าๆจนเกือบจะจูบปากอยู่รอมร่อแล้ว เธอจึงร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ จนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาตีสี่พอดิบพอดี


“โธ่ ฝันไปหรอเนี่ย โชคดีจัง ที่เป็นแค่ความฝัน” หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาด้วยความโล่งใจ


เป็นเวลาเดียวกันคณะที่ไปรับตรีภพกลับมาถึงที่บ้านพอดี เมื่อยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้านหนูจิตก็ค่อยๆ ย่องไปดูที่หน้าต่าง แล้วก็พบคนที่เธอเพิ่งฝันถึงก้าวเท้าออกมาจากรถกำลังยืนรอกระเป๋าจากพี่โจ ที่หลังรถ พร้อมทั้งยืนยืดเส้นยืดสายอย่างเมื่อยล้าจากการนั่งเครื่องบินข้ามวันข้ามคืนเป็นเวลานาน และเหมือนมีกระแสจิตพุ่งตรงจากทิศทางที่ถูกแอบมองชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองบานหน้าต่างบานที่หนูจิตยืนแอบดูอยู่ ด้วยแสงไฟที่ส่องมาจากหน้าบ้านทำให้ชายหนุ่มเห็นหน้าหญิงสาวที่บานหน้าต่างค่อนข้างชัดเจน ทำให้ชะงักไปทั้งคู่ และเมื่อสายตาทั้งคู่สบตากัน แม้เพียงชั่วขณะเหมือนมีกระแสบางอย่างที่ตรึงให้หนูจิตที่กำลังจะหลบซ่อนตัวที่หลังม่าน เมื่อพบว่าเป้าหมายรู้ตัวแล้ว แต่กลับหยุดอยู่กับที่ยืนจ้องมองตรีภพอยู่อย่างนั้นเหมือนโดนสะกดจิตจากดวงตาคู่นั้นไม่ไห้ขยับเขยื้อนไปไหน


จนกระทั่งพ่อกับแม่ เฮโลออกมาต้อนรับ และพี่โจเดินมาสะกิดตรีภพให้เข้าบ้าน หนูจิตจึงหลบหลังม่านนั่งลงกับพื้นแข้งขาอ่อนอยู่ริมหน้าต่างใจคอเต้นระทึก จนต้องตบที่หัวใจปลอบตัวเองว่า

‘เธอแค่ฝันร้ายแล้วก็ต้องเห็นหน้าคู่กรณีอย่างไม่คาดฝันเท่านั้น ไม่ต้องตกใจหรอกนา ใจเย็นๆ ไรว้าแค่มองตาแค่นี้แกก็ป๊อดแล้วหรอเนี่ย เจอจังๆ มิเป็นลมรึไงเนี่ย’


หญิงสาวได้แต่คิดด้วยความทดท้อใจในความป๊อดของตนเองที่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นมีอิทธิพลต่อเธอได้ขนาดนี้

“แต่เดี๋ยวก่อนเมื่อกี้ฝันว่างูรัดหรอ เฮ้อ ไม่ใช่ว่ามันจะได้พบเนื้อคู่รึไง แล้วผู้ชายที่เห็นหน้าคนแรกก็คือเนื้อคู่ เมื่อกี้เห็นพี่ภพคนแรกนี่หว่า ไม่ใช่ว่าจะเป็นเนื้อคู่หรอกนะ โอ้ เธอฟุ่งซ่านมากไปแล้ว เพราะเธอนอนคิดถึงเค้าตอนก่อนนอนนะสิ ถึงฝันตุเป็นตะขนาดนี้”


หนูจิตพึมพำคนเดียว พลางส่ายหน้า แล้วก็เอาตุ๊กตาหมีมาปิดหน้าซ่อนรอยยิ้มอยู่คนเดียว (บ้าไปแล้ว)

เมื่อตรีภพทำความเคารพประมุขของบ้านทั้งสองคนที่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมารอรับหลานชายคนโปรดที่กลับมาอย่างปลอดภัยด้วยความยินดี ก็หันกลับไปมองที่หน้าต่างบานนั้นอีกครั้งหวังว่าจะพบหญิงสาวข้างหน้าต่างคนนั้นอีก แต่ก็หายไปแล้วปานหน้าต่างผีสิงก็ไม่ปาน

‘เมื่อกี้ ใครหว่า หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน’


แต่ก็ไม่มีเวลาได้ไขข้อข้องใจ เพราะโจดึงเข้าบ้านเพื่อไปพักผ่อนได้แล้ว เพราะเห็นว่าชายหนุ่มที่อ่อนเพลียจากการเดินทางไกล จึงให้โจพาไปนอนที่ห้องรับแขก แต่ตรีภพขอนอนคุยกับนายโจเพื่อนรักดีกว่า เพราะตาชักจะสว่างแล้ว และยังปรับเวลาไม่ค่อยได้ ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดด้วยกันมาก็คิดได้ว่า

‘ห้องที่อยู่ข้างหน้าคือห้องของหนูจิต ถ้ายังงั้นหญิงสาวข้างหน้าต่างก็คือหนูจิตนะสิ เฮ้ย ไม่น่าจะใช้นะ เพราะผู้หญิงคนนั้น หน้าตาไม่เหมือนยายหนูจิตเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เหมือน มันมีบางอย่างที่คล้ายกันอยู่ และมันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนวะ’ ชายหนุ่มได้แต่ครุ่นคิด

จนเมื่อโจเพื่อนรักที่พูดคนเดียวมาสักพักได้หยุดมองหน้า แล้วตรีภพเงยหน้ามองคู่สนทนาก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นหน้าสาวเจ้านางนี้ที่ไหน ก็เธอคือกิ๊กเบอร์ล่าสุดของเพื่อนโจนี่นา ใช่แล้ว ที่มันบอกว่าชื่อน้องน้ำตาลไง

“นายเป็นไรเนี่ย ปล่อยฉันพูดคนเดียวตั้งนานสองนาน แล้วจ้องหน้าฉันทำไมเนี่ย หรือนายง่วงแล้ว จะนอนแล้วใช่ไหม เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าห่มกับหมอนมาให้รอแป๊บ”

เมื่อลับร่างโจไปแล้วตรีภพก็กลับมาคิดหาเหตุผลอีกครั้ง

‘เป็นไปได้ไหมว่าน้องน้ำตาลกับยายหนูจิตเป็นคนคนเดียวกัน แล้วนายโจมันแกล้งอำเรา หรือข้อสันนิษฐานที่สองคือเป็นเพื่อนของหนูจิตและพ่วงตำแหน่งกิ๊กของนายโจด้วย แล้ววันนี้ดันมานอนค้างกับหนูจิต เดี๋ยวก็ได้รู้’

สองหนุ่มเพื่อนซี้ก็นอนคุยกันเรื่องราวต่างๆ จนเมื่อตรีภพถามคำถามที่คาใจออกมา

“โจหนูจิตอยู่ที่ห้องเดิมใช่ไหม แล้ววันนี้มีเพื่อนหนูจิตมาพักด้วยรึป่าว”

เมื่อหันมาถามเพื่อนก็พบว่าเพื่อนตัวดีนอนหลับอุตุ กรนคร่อกๆ ไปแล้ว ทำให้ชายหนุ่มได้แต่นอนครุ่นคิดคนเดียวต่อไปอย่างติดใจสงสัย ‘เดี๋ยวค่อยไปหารูปดูก็ได้นี่นา’

แล้วจึงนอนหลับไปบ้าง

ฟากนายโจที่คาดว่านอนหลับไปแล้ว กลับนอนอมยิ้มอย่างสุขใจเมื่อได้ฟังคำถามของเพื่อน
‘เดี๋ยวแกก็รู้’

ซึ่งน่าแปลกที่งูเหลือมตัวโตที่เข้าฝันหนูจิตตอนนั้น มาปรากฏตัวในฝันของตรีภพด้วยเช่นกัน ในความฝันชายหนุ่มเห็นนายโจเพื่อนรักโยนงูตัวเบ่งมาวางเเหมะบนตักของเขา จากนั้นเจ้างูเจ้ากรรมก็รัดแน่นรอบตัว ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่ แต่ก็ดิ้นไม่หลุด แถมงูเจ้ากรรมก็กำลังจะฉกเข้าที่กล่องดวงใจของเขาแล้วด้วย ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นองเลือดเขาก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก และ โล่งอกที่เป็นแค่ความฝัน รู้สึกถึงความหนักที่หน้าอกก็เห็นเพื่อนรักนอนหลับและกอดเขาแทนหมอนข้าง

‘ที่ฝันว่างูรัดเพราะไอ้โจนี่เอง’

พอเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเพิ่ง 7 โมงเช้าเท่านั้นเอง จะนอนต่อก็หิวน้ำคอแห้งไปหมด ต้องหาน้ำกินก่อนดีกว่า และขณะที่ลงมาในครัวเพื่อกินน้ำ ตรีภพมองออกไปนอกบ้านก็พบหญิงสาวข้างหน้าต่างคนเมื่อคืนกำลังจัดโต๊ะวางของเตรียมใส่บาตรอยู่กับน้าสมจิตรแม่เจ้าโจ ชายหนุ่มนิ่งมองอยู่เป็นเวลานานก็พบว่าเป็นคนเดียวกับน้องน้ำตาลของไอ้เจ้าโจ เฮอะ ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปอีกนะเนี่ย


วันนี้เธอปรากฏตัวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงทรงสอบเรียบร้อย เหมือนจะสมัครงานยังไงยังงั้น เจ้าหล่อนแต่งหน้าอ่อนๆ ผิวแก้มผ่องมีสีชมพูระเรื่อ ปากอิ่มน้อยๆ กำลังหันมายิ้มกับน้าสาวของเค้าแล้วกอดเอวอย่างลูกแมวขี้อ้อน

เมื่อยืนมองภาพน่ารักน่าเอ็นดูนั้นจนพอใจแล้ว ชายหนุ่มยกริมฝีปากขึ้นที่มุมปากอย่างถูกใจที่ได้ข้อสันนิษฐานที่ว่าน้องน้ำตาลน้อยกลอยใจกับหนูจิตเป็นคนเดียวกับค่อนข้างแน่ชัด เพราะบัดนี้หาข้อเชื่อมโยงระหว่างหนูจิตกับน้องน้ำตาลได้แล้วว่าทั้งสองมีดวงตาที่กลมโตสุกใสเหมือนกันนั้นเอง แต่สมมุติฐานต้องได้รับการพิสูจน์

แล้วไหนๆ ก็ไม่ได้ใส่บาตรตั้งนานแล้ว แล้วอีกอย่างก็เราฝันไม่ดีอีกด้วย ไปแจมด้วยดีกว่า ว่าแล้วก็รีบล้างหน้าล้างตารีบออกเดินไปยังหน้าบ้านที่เป้าหมายกำลังใส่บาตรอยู่ จนเมื่อเดินมาใกล้จะถึงแล้วชายหนุ่มจึงร้องบอกน้าสาวของเขาว่า

“น้าจิตรครับ ผมขอใส่บาตรด้วยครับ”

หนูจิตซึ่งยืนอยู่ติดคุณสมจิตรก็สะดุ้งเฮือก คิดหาทางหนีทีไล่ว่าจะหลบอย่างไรดี จึงได้ฉวยขวดน้ำแล้วกระซิบบอกแม่ว่า

“หนูจิตจะไปกรวดน้ำ แล้วจะไปมหาลัยเลยนะค่ะ วันนี้รีบค่ะ เดี๋ยวสาย”

แล้วรีบวิ่งสวนทางกับหลวงตาที่มาบิณฑบาตอีกรูป ทำให้เมื่อตรีภพเดินมาถึงที่โต๊ะใส่บาตรก็เห็นหลังของหนูจิตไวๆ วิ่งไปฝุ่นตลบและทันได้ยินน้าสาวร้องเรียกลูกสาวตามหลังพอดี

“อ้าวหนูจิต ลูก ยังใส่บาตรไม่เสร็จเลยลูก ทำไมวิ่งไปทางนั้น อ้าว นิมนต์ค่ะ”

ชายหนุ่มได้แต่มองตามหลังด้วยความสงสัยที่สาวเจ้าวิ่งแผ่นแนบไปซะอย่างงั้น แล้วหันไปยิ้มกับน้าสาวและไหว้พระใส่บาตรต่อแทนหญิงสาวที่เขาได้รับข้อสรุปแล้วว่า แม่น้องน้ำตาลก็คือคนเดียวกันกับหนูจิตนี่เอง แล้วชายหนุ่มก็หันมาถามน้าสาวว่า

“น้าครับ นั่น หนูจิตเค้ารีบวิ่งไปไหนครับ แต่งตัวเรียบร้อยเชียว”

ชายหนุ่มถามพลางมองหาสาวเจ้าที่ไวปานวอกหายไปอ้อมเข้าข้างหลังบ้านอย่างรวดเร็ว

“เห็นเค้าบอกว่ารีบไปซ้อมรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยนะจ๊ะ เมื่อกี้ยังเล่าให้น้าฟังเลยว่าเมื่อคืนฝันร้ายเลยอยากใส่บาตรด้วย ฝันว่าโดนงูตัวใหญ่รัดหายใจไม่ออกเกือบตาย น้ายังแซวเลยว่า เห็นทีหนูจิตคงจะได้พบเนื้อคู่ซะแล้วละมั้ง เมื้อกี้ยังเขินเข้ามากอดออดอ้อนอยู่เลย ปุบปับก็รีบวิ่งไปบอกว่าเดี๋ยวไม่ทันซะยังงั้น”

“หรอครับ แปลกจังเมื่อกี้ผมก็ฝันว่าโดนงูตัวใหญ่รัดเข้าให้เหมือนกัน พูดแล้วยังเสียวใส้ไม่หาย”

ชายหนุ่มอมยิ้มที่ได้รู้ความนัยของความฝัน แล้วน้าสาวก็อุทาน

“ตายจริง ฝันเหมือนหนูจิตเลย บังเอิญจังนะ เค้าว่าฝันแบบนี้จะได้พบเนื้อคู่นะ ถ้าเราเห็นผู้หญิงคนไหนเป็นคนแรกนั้นแหละเนื้อคู่ละ อ้าว นิมนต์ค่ะหลวงพี่”

น้าสาวยิ้มกว้างในใบหน้าแล้วหันไปใส่บาตรอย่างอารมณ์ดี

ฝ่ายจิตตกานต์หลังจากที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน มาถึงหลังบ้านแล้วนั่งลงกรวดน้ำ พลางอธิษฐานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและญาติผู้ล่วงลับ และขอให้เทวดาประจำตัวคุ้มครองให้หนูจิตคลาดแคล้วจากกระทาชายนายตรีภพในวันนี้ด้วยเถ้อ

จากนั้นก็รีบย่องหลบเดินอ้อมออกทางหลังบ้านค่อยๆ เดินย่องไปทางข้างๆบ้าน แล้วหลบหลังพุ่มไม้เพื่อแอบมองตรีภพที่ขนาดเพิ่งตื่นก็ยังดูดี คนอะไร
‘พี่ภพหล่อกว่าเมื่อ 7 ปีก่อนอีกนะเนี่ย เสื้อผ้าก็ใส่ชุดนอนของพี่โจทำไมหมอนี่ใส่แล้วขึ้นกว่าพี่เราจังวะ สูงกว่าเดิมอีกนะน่าเกิน 185 เซน อีกมั้งนั้นนะ

แหม ดูปราดเปรียวโฉบเฉี่ยวไฉไลจังนะพ่อนักเรียนนอก ที่เมืองนอกคงอากาศดีสินะ ผิวพันธุ์ถึงได้ผ่องใสอมพูดูสุขภาพดี จนผู้หญิงแท้ๆ อย่างเรา ยังอิจฉาเลย นี่ไม่บอกไม่รู้นะนี่ว่าคนๆ นี้อกหักรัดคุดตุ๊ดเมิน ปัญหาชีวิตรุมเร้า คนอกหักหน้ามันต้องหมองๆโทรมๆ สิ โด่ อะไรเนี่ยหมอนี่ กลับหล่อใส คมสันมากยิ่งกว่าเดิมอีก’

เมื่อหญิงสาวแอบมองและอ่านกินอย่างแอบจิตอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ได้สติ

‘แล้วนี่มันเรื่องอะไรที่ต้องมายืนจ้องยังกะจะเข้าสิงเขาอยู่ได้ละเนี่ย บ้าจริงเชียวผู้หญิงคนนี้’

เธอรอจังหวะจนคุณแม่และตรีภพใส่บาตรเสร็จเก็บข้าวของเข้าไปในบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยๆ ย่องออกมาจากที่สุ่ม แล้วรีบเดินไปทางปากซอยอย่างรวดเร็ว

เมื่อไปถึงมหาลัยขณะนักศึกษาว่าที่บัณฑิตใหม่กำลังนั่งอยู่ในห้องประชุม รับฟังอาจารย์ที่คุมการซ้อม ซักซ้อมทำความเข้าใจกันอย่างตั้งใจ หนูจิตนั่งแถวแรกของคณะเพราะได้เกียรตินิยม ซึ่งเธอก็อุ่นใจที่ได้นั่งห่างจาก นายต้นกล้าที่คอยส่งสายตาแอบมองข้ามแถวมาตลอด สร้างความอึดอัดแก่หนูจิตมากที่โดนเพ่งกระแสจิตใส่หลังตลอดระยะเวลาการซ้อม

เธอได้แต่ครุ่นคิดหาทางหนีทีไล่เพื่อให้รอดพ้นจากนายต้นกล้าและจากตรีภพ จนไม่ได้ยินอาจารย์เรียกชื่อตนเองเมื่อถึงคิวซ้อม

‘คราวนี้เราจะชิ่งจากนายต้นยังไงดีหว่า จะโทรเรียกพี่โจมาช่วยก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวเกิดเฮียแกชวนพี่ภพมารับเราด้วยแล้วจะยุ่ง เราก็ชิ่งไม่ไปกินเลี้ยงต้อนรับพี่ภพไม่ได้นะสิคราวนี้’

จนได้อาจารย์ประกาศเรียกชื่อเธอผ่านไมโครโฟนอีกครั้ง หนูจิตจึงสะดุ้งสุดตัวพร้อมๆกับเสียงเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ที่ร้องเรียกและหัวเราะในความเป๋อของเธอ ก่อให้เกิดความอายอย่างใหญ่หลวง

โอ๋ ขวัญเอ๋ยขวัญมา หนูจิตเอ้ย

เมื่อถึงช่วงพักเที่ยงหลังจากได้รับแจกข้าวกล่องแล้ว หนูจิตรีบใช้ความว่องไวและจังหวะชุลมุนเข้าไปหลบกินข้าวในห้องน้ำห้องสุดท้าย แล้วเขียนป้ายติดว่า ห้องน้ำชำรุด พร้อมทั้งนำผ้าเช็ดหน้าอุดจมูก และเอา i Pod เสียบใส่หูกันการรบกวนจากกลิ่นและเสียงจากการปลดทุกข์ของห้องข้างๆ เธอนั่งอยู่อย่างนั้นจนหมดเวลาพักจึงโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ (ลำบากจังเลยนะ เธอ) นี่ต้องซ้อมตั้งสามวันนะ จะรอดไหมเนี่ย

จนกระทั่งซ้อมเสร็จในเย็นวันนั้น หนูจิตต้องรีบหลบฉากเลี่ยงเพื่อนๆ ที่นัดเลี้ยงฉลองกันต่อ โดยอ้างว่ามีนัดกับครอบครัวแล้ว จนมาถึงหน้า
มหาวิทยาลัย เธอรีบขึ้นรถเมล์สายไหนก็ได้ที่ผ่านห้างสรรพสินค้าเพื่อใช้เป็นที่กบดานสักระยะ กะเวลาให้พ่อกับแม่ออกจากบ้านมาก่อน จึงย้อนกลับบ้านนอนกบดานอยู่ในห้อง สบายใจเฉิบ (แผนการที่คิดไว้มันเป็นอย่างนี้)


แต่ระหว่างที่ก้าวเท้าเตรียมขึ้นรถเมล์ฟรีคันหนึ่งที่โฉบเข้ามาจอดที่ป้าย หางตาของหนูจิตก็เหลือบเห็นนายต้นกล้าวิ่งตามมาถึงป้ายรถเมล์พอดี หนูจิตที่นั่งริมหน้าต่างรีบย่อตัวหลบทันที และก็รอดสายตานายต้นกล้าอย่างหวุดหวิด เธอได้แต่เป่าปากถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อรถเมล์เคลื่อนตัวออกจากป้าย
(โอ้ย ชีวิตมันเหนื่อยจริงๆ) ส่วนนายต้นกล้าก็ชะเง้อมองหาหนูจิตที่เห็นหลังไวๆ และรีบตามมาแต่ก็คลาดกันจนได้

“เธอหนีเราไม่ได้ตลอดไปหรอก หนูจิต”

เป็นเวลาเดียวกับที่พี่โจโทรเข้ามาหาน้องสาว เพื่อจะรับไปทานข้าวด้วยกัน หนูจิตซึ่งกำลังชั่งใจนั่งจ้องโทรศัพท์ของตัวเองว่าควรกดรับสายดีหรือไม่ จนกระทั่งสายตัดไปเอง ยังความโล่งอกให้เธอเป็นยิ่งนัก แต่เพียงพักเดียวพี่โจก็โทรเข้ามาใหม่อีกครั้ง หนูจิตนั่งจ้องโทรศัพท์ไม่กดยอมรับซักทีจนคนที่นั่งข้างๆ มองหน้าเธอด้วยความรำคาญ เธอจึงยอมกดรับ ในขณะที่รถเมล์เจ้ากรรมกำลังติดไฟแดงอยู่นั้นเอง

“ฮัลโหล พี่โจหรอค่ะ”

“ใช่พี่เอง แกรับสายช้าจัง ซ้อมเสร็จรึยัง พี่มารับใกล้จะถึงมหาวิทยาลัยแก แล้วให้พี่รอที่ไหน”


“ซ้อมเสร็จแล้ว แต่พี่โจไม่ต้องมารับหนูจิตแล้วแหละ หนูจิตว่าจะไปกินเลี้ยงกับเพื่อนๆ เพราะอาจารย์จะเลี้ยงน่ะ หนูจิตกำลังจะนั่งรถยายแป๋วแล้วนะ บายค่ะ”

“แล้วแกต้องหลบไอ้ต้นกล้าจอมตื้อมิใช่รึ เฮ้ย ไอ้หนูจิต ฉันยังพูดไม่จบเลย อะไรของมันวะ”

ว่าแล้วพี่โจก็ต่อสายใหม่อีกที พร้อมกับเหลือบมองไปป้ายสัญญาณไฟแดงที่เหลือเวลาอีกกว่า 50 วินาทีกว่าจะไฟเขียว และเหลือบมองเห็นรถเมล์ที่จอดอยู่ข้างๆ พลางคิดว่ารถเมล์คันนี้ แน่นจริงๆ แล้วก็มองผ่านไป แต่ก็ต้องหันไปมองอีกทีเมื่อพบน้องสาวตัวดีของตน นั่งอยู่ริมหน้าต่างกำลังนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นไม่ยอมกดรับสักที เขาจึงกดส่งแมทเซสว่า

“ฉันรู้ว่าแกอยู่บนรถเมล์ฟรีสาย77 ลงป้ายหน้าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะขับรถไล่บี้ตามหลัง แล้วบีบแตรไล่ตามให้แกได้อายแน่”

ฝ่ายตรีภพที่นั่งมาข้างๆ ก็ได้แต่เงี่ยหูฟังพร้อมเหลือบมองเพื่อนซี้ที่กำลังโทรศัพท์และกดส่งแมทเซสอย่างขะมักเขม้นแล้วขมวดคิ้วสงสัยว่า นายต้นกล้านี่มันใครวะ

เมื่อหนูจิตได้อ่านแมทเซสสั่นประสาทของพี่ชาย ก็มองไปข้างทาง แล้วก็พบพี่ชายเปิดกระจกรถลงมาแล้วชี้หน้าเป็นสัญญาณว่า ยอมลงมาซะดีๆ ไอ้น้อง แกหนีไม่รอดแล้ว

หนูจิตจึงต้องจำใจเดินมาที่ประตูแล้วกดกริ่งลงป้ายต่อไปอย่างท้อแท้ใจที่หนีไม่พ้น โธ่ อีกนิดเดียวแท้ๆ พร้อมทั้งก่นด่า

‘ไอ้พี่บ้า หนูจิตยังไม่พร้อมที่จะเจอคนคนนี้ ดูสิวันนี้เราดันโทรมสุดๆ วิ่งหัวฟู หน้ามันแผล็บ หนีไอ้ต้นกล้าหัวซุกหัวซุน อย่างน้อยก็ให้เวลาเราเติมแป้ง เติมลิปหน่อยก็ไม่ได้ หมดกันความพยายาม 7 ปีของฉัน’

หนูจิตคิดว่าการพบเจอกันจังๆ ครั้งแรกของเธอกับตรีภพ เธอควรจะอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ไม่ใช่เป็นยายเพิ้งอย่างนี้...แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างเธอ ที่จังหวะนั้นรถติดนานมาก ทำให้เธอมีเวลาควักตลับแป้งออกมาเติมหน้าและเติมลิปได้อย่างทันท่วงทีกลางรถเมล์นั้นแหละ

‘แห้ม ถ้ามีเวลามากกว่านี้ฉันจะปัดแก้มเพิ่มด้วยนะเนี่ย’

หนูจิตยืนแต่งหน้าท่ามกลางสายตาของผู้โดยสารบนรถเมล์ฟรีคนอื่นๆ ที่พากันจ้องมองด้วยความแปลกใจในความพยายามสวยของเธอ ซึ่งหนูจิตอายก็อายแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ เพราะคิดว่าไม่มีใครรู้จักเราหรอก ไม่มีใครสนใจเรามากอย่างที่เราคิดหรอกน่า

เมื่อก้าวเท้าลงจากรถเมล์มายืนรอรถพี่โจที่โฉบเข้ามารับ หนูจิตเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านหลัง โดยยังพยายามนั่งหลบๆ คนนั่งข้างๆ คนขับที่จ้องมองเธออยู่แล้วตั้งแต่ลงจากรถเมล์

“แหม แม่คุณพี่จะไปรับดันบอกว่า นั่งรถไปกับยายแป๊ว ไหนละยายแป๊วฉันเห็นแต่ป้าอายุสี่สิบนั่งข้างแก แล้วไหนบอกว่า ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนๆ แกนะจะโกหกก็ให้มันเนียนๆ หน่อยดิวะ อ้าวแกสองคนยังไม่เคยเจอกับเลยใช่ไหม นี่น้องน้ำตาลไงไอ้ภพ”


พี่โจบ่นพร้อมกับแนะนำชื่อที่เธอไม่รู้จัก หนูจิตหันซ้ายหันขวามองหา ใครวะ น้ำตาล

“ไอ้โจ น้อยๆ หน่อยแกน่ะ นี่หนูจิตฉันรู้หรอกน่า ป้ายชื่อออกจะติดหลาขนาดนั้น” เมื่อได้ฟังตรีภพพูดจบหนูจิตก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้เอาป้ายชื่อออกตั้งแต่ออกจากห้องประชุม


‘โอ้แม่เจ้า คนบนรถเมล์ก็รู้จักเราและชื่อแซ่หมดแล้วนะสิ หมดกัน นี่มันวันขายขี้หน้าแห่งชาติรึไงวะเนี่ย แถมเสียหน้ากับใครไม่เสียมาเสียต่อหน้าผู้ชายคนนี้อีกด้วย หมดกัน’

หญิงสาวอายหน้าแดงเป็นลูกตำลึงพร้อมทั้งยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองอย่างหมดฟอร์ม ตรีภพแอบมองหน้าแดงๆ ของสาวเจ้า แล้วอมยิ้มอย่างถูกใจ


‘นี่ถ้ารู้ว่า โตแล้วจะลอกคราบออกมาสวยอย่างนี้ พี่ยอมหมั้นแต่โดยดีตั้งนานแล้ว’


“555 น้องสาวเรานี่มันเอ๋อ เหวอ รั่วจริงๆ แกนี่นะชอบโชว์ความห้าแต้มซะจริง”

นายโจแอบมองหน้าเพื่อนรักสลับกับน้องสาวแล้วครุ่นคิด ‘เห็นทีการพบกันครั้งนี้เราจะมีหวังนะครับคุณยาย’

และก็แอบหัวเราะคิกคักคนเดียว จนหนูจิตต้องค้อนตาคว่ำใส่พี่ชายที่ได้แต่ซ้ำเติม

“แล้วนี่เราจะไม่ทักทายพี่ภพ เค้าหน่อยหรอ ไหว้ซะสิ เราเป็นน้องเป็นนุ่ง”
พี่โจพี่หยุดหัวเราะได้เสียทีแล้วหันมาแนะนำอย่างเป็นทางการ

หนูจิตหลังจากที่หันมองแต่ข้างทางมาตลอดก็จำต้องกันมามองหน้าตรีภพอย่างเสียไม่ได้ แล้วก็ต้องรีบหลบสายตาที่ต้องมองจ้องอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาที่ดูไม่ออก รู้แต่ว่าทำให้เธอเขินหน้าแดงอีกรอบเท่านั้น จึงก้มหน้าก้มตาไหว้เขาอย่างเรียบร้อยตามมารยาทอันดี

“สวัสดีค่ะ พี่ภพ ไม่ได้เจอกันนานนะค่ะ สบายดีหรอค่ะ”

หนูจิตพูดพลางหลบสายตาคมมองแค่คางของคู่สนทนา เพราะไม่กล้าสู้สายตาระยิบระยับคู่นั้น และให้เวลาตัวเองรวบรวมกำลังใจไล่ความเขินออกไปก่อน

“สวัสดีครับ เราไม่ได้เจอกันนานตั้ง 7 ปีแล้วสินะ ไม่น่าเชื่อเลย พี่สบายดีครับ แต่พี่ว่าหนูจิตไม่ค่อยสบายนะหน้าแดงๆ ตัวร้อนรึป่าว มาจับดูหน่อยสิ เป็นไข้รึป่าว”

ตรีภพแกล้งเย้าพูดด้วยความเป็นห่วงแต่อมยิ้มดวงตาจ้องมองดังเห็นของเล่นที่น่าสนุกสนานตรงหน้า แต่เมื่อกำลังจะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากมน ก็โดนมือของเพื่อนรักตีเพียะเข้าให้

“เฮ้ย ทำไรเกรงใจกันบ้าง น้องฉัน เดี๋ยวฉันจับเอง”

พี่โจขัดขึ้นตามประสาคนหวงน้องสาว เขาพยายามจับสังเกตคนสองคนนี้ไม่วางตา

“นายตั้งใจขับรถไปเถอะน่า หนูจิตก็น้องฉันเหมือนกันนะ”

“ชิชะ จะมาอ้างสิทธิอะไรหะ ไอ้พี่นอกใส้”

ส่วนหนูจิตหน้าร้อนฉ่า อายที่ตัวเองดูออกง่ายขนาดนั้นหรอเนี่ย ถ้าเค้าได้ยินเสียงหัวใจเราเต้นจะทำไงดีเนี่ย ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ฝ่ายพี่โจที่จับสังเกตทั้งสองคนอยู่แล้วเห็นว่า น้องสาวตนชักจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล่ำมากไปแล้ว จึงช่วยเบี่ยงเบนประเด็น โดยการพูดคุยเรื่องอาหารการกินที่จะพาไปเลี้ยงวันนี้


“แล้วทำไมเมื่อเช้าไม่รอพี่ พี่ว่าจะไปส่งนะ ไอ้เรารึอุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้า”

“ก็หนูจิต เห็นพี่โจนอนดึกเมื่อคืน เลยคิดเองว่าจะน่าเพลียตื่นไม่ไหว เลยมาเอง ไอ้เรารึอุตส่าห์เป็นห่วง”
บทสนทนาของสองพี่น้องที่โต้ตอบกัน ทำให้คนนอกอย่างตรีภพได้แต่อมยิ้ม ในความรักของสองพี่น้อง

“ เออ ขอบใจที่เป็นห่วง นี่ วันนี้เราจะจัดเลี้ยงควบกันสองงานเลยนะ หนึ่งคือ เลี้ยงต้อนรับแกไอ้คุณภพ ที่กลับมาเมืองไทย และสองเลี้ยงฉลองที่หนูจิตเรียนจบและจะรับปริญญาในอาทิตย์หน้า ซึ่งน่ายินดีมากที่มีงานมงคลสองงานซ้อนเกิดขึ้นในครั้งนี้”

‘ชิ พูดยังกะงานแต่งงาน’ หญิงสาวคนเดียวในรถคิดพลางค้อนประหลับประเหลือก

“นี่หนูจิตรู้ป่าว ไอ้ภพมันตกลงจะนอนพักบ้านเราต่ออีกสองคืนละ เพราะว่ามันอยากเที่ยวกรุงเทพให้ทั่ว หลังจากที่จากไปนาน จะได้รู้บ้านเมืองเขาเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนแล้ว ฉันก็เลยตกลงว่า พรุ่งนี้ หลังจากที่มาส่งแกตอนเช้าแล้ว ก็จะพาไอ้ภพไปไหว้พระวัดพระแก้ว และพาเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ แล้วตอนเย็นเราก็จะ ไปรับแกแล้วพาไอ้ภพไปเลี้ยงส้มตำเจ้าอร่อยต่อ แล้วค่อยกลับบ้าน”


พี่ชายของเธอยึดหัวข้อสนทนาทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว โดยที่คนที่เหลืออย่างหนูจิตที่นอกจากนั่งมองวิวข้างทางยังกับสนใจเสียเต็มประดาแล้ว ตรีภพก็พยักหน้าเออ ออ ให้พี่โจของเธอเป็นระยะส่วนสายตายังมองกระจกข้างเพื่อดูหน้าน้องสาวของเขาอย่างครุ่นคิดว่า

‘เหตุไฉนหนูจิตผู้ขี้เหร่ถึงได้กลายร่างเป็นนางหงส์แสนหยิ่งไปได้ ว่าแต่สวยขึ้นก็จริงอยู่หรอก แต่ไอ้กิริยาที่ทำคอแข็งเมินใส่เรานี่มันยังไงวะ ผิดกับเมื่อก่อนพี่ภพค่ะ พี่ภพขา วิ่งตามเราต้อยๆ ไอ้ความห่างเหินนี่มันอะไรกัน เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดจริงๆ’

นับเป็นการนั่งรถที่ให้ความรู้สึกนานชั่วกัลป์ชั่วกัลป์ กว่าการอดทนกับรถติดแบบปกติธรรมดาทุกวัน สำหรับหนูจิตที่ต้องคอยนั่งเชิด ทำคอแข็งและคอยหลบสายตาตลอดเส้นทาง มันเมื่อยคอนะเว้ย

กว่าจะถึงที่หมาย พี่โจของเธอก็แฉเรื่องของเธอไปเยอะ ทั้งเรื่องที่ต้องไปรับไปส่งน้องสาวตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่ ยิ่งช่วงหลังๆ มีนายต้นกล้าจอมตื้อโผล่มาในชีวิตน้องสาวอีก ยิ่งต้องไปรับไปส่งเกือบทุกวัน ส่วนหนูจิตที่พยายามปรามพี่ชายแล้วแต่ไม่ได้ผล จึงต้องนิ่งเงียบอย่างผิดนิสัย เธอไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วนี่ ทำให้ผู้ชายหนุ่มอีกคนที่นิ่งฟังทำเป็นไม่สนใจแต่ก็หูผึ่ง คอยเก็บข้อมูลว่าน้องน้อยมีแฟนรึยัง แต่เมื่อฟังแล้วก็ค่อยโล่งใจที่ดูท่าสาวเจ้ายังไม่มีแฟน
แต่ตรีภพสังเกตว่าหนูจิตไม่ค่อยพอใจที่พี่ชายขายน้องสาวอย่างติดลม จึงเบี่ยงเบนถามเรื่องอื่นๆ ทำให้หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่นที่ไกลตัวหญิงสาวสักที ซึ่งทำให้หนูจิตหายใจได้ทั่วท้องมากยิ่งขึ้น


ส่วนพี่โจนั้น หลังจากถือโอกาสโฆษณาน้องสาวของตนอย่างเต็มที่ ว่าเนื้อหอมฉุยขนาดไหน เพราะพี่โจของเธอเชื่อตามทฤษฎีผู้ล่าของผู้ชาย ที่ว่าถ้ามีคู่แข่งจะทำให้กระหายอยากเอาชนะและเหยื่อจะดูมีคุณค่าน่าช่วงชิงมากขึ้นทันที นอกจากนี้ยังติดป้ายรับประกันว่ายังไม่มีเจ้าของรอการจับจองอยู่นะให้อีกต่างหาก เมื่อป้อนข้อมูลที่จำเป็นให้ว่าที่น้องเขยแล้ว ก็ยอมให้ตรีภพเบี่ยงประเด็นสนทนาเป็นเรื่องอื่นๆ อย่างเนียนๆ


เมื่อถึงร้านอาหาร แม้จะเป็นร้านที่ชื่นชอบของหนูจิต แต่เธอดูจะไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าที่ควร เพราะถูกจัดให้นั่งตรงข้ามกับคนที่ทำให้เกิดความลำบากใจ กินข้าวก็ไม่ค่อยจะลง แล้วยังต้องระวังตัวรักษากิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนๆนี้อีก ทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเองเลยพับผ่าสิ เมื่ออีกฝ่ายมองมาก็แสร้งก้มหน้าก้มตาเพ่งพินิจจานข้าวประหนึ่งจะแยกหาพันธะเคมีออกมาให้ได้

แต่เมื่ออีกฝ่ายเผลอหรือหันไปพูดคุยกับคนอื่นๆ บนโต๊ะ เธอก็ได้โอกาสแอบมองสังเกตอีกฝ่าย และก็ต้องยอมรับว่าเขายังมีอิทธิพลสั่นคลอนต่อความรู้สึกของเธออย่างปฏิเสธไม่ได้เลย ทั้งบุคลิกหน้าตา ท่าทางที่ดูสบายๆ แต่กลับโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ จะเรียกว่าอะไรดี คงเป็นความมั่นใจในตัวเองที่ฉายแววออกมาอย่างเฉียบขาดจากตัวเค้ากระมัง แม้จะไม่ได้แต่งตัวหรูหรานำแฟชั่นแบบนายแบบที่เห็นในนิตยสาร แต่คนตรงหน้าก็หล่อคมดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะสวมแค่กางเกงยีนใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินพับแขนดูง่ายๆ สบายๆ เท่านั้น ชิ


ส่วนฝ่ายตรงข้ามผู้ก่อให้เกิดความลำบากใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนที่นั่งตรงข้ามแอบมองอยู่ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็แม่คุณเมื่อเขาหันไปสบตา หล่อนก็หลบสายตาทันที ทำยังกับเด็กแอบขโมยกินขนมแล้วโดนจับได้ยังงั้นแหละ อากัปกริยาอย่างนี้มีหรือเขาจะดูไม่ออก ว่าท่าทางสาวเจ้าเขินอายที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา ทำให้ริมผีปากเขายกขึ้นอย่างอารมณ์ดี แล้วก็ทำตัวปกติตามสบายคุยกับสมาชิกร่วมโต๊ะอย่างสนุกสนาน แสร้งทำเป็นไม่เห็นอาการจับจ้องของสมาชิกคนอื่นๆ ในโต๊ะอาหารที่แอบมองอย่างสังเกตสังกาท่าทางของทั้งคู่

‘ทำยังกะงานจับคู่ดูตัวยังไงยังงั้น นึกว่าเราไม่รู้ทันรึไง’ ตรีภพได้แต่แอบขำในใจ


หนูจิตเองเมื่อก้มมากๆ ก็ชักเมื่อยคอ จึงต้องเงยหน้าขึ้นมา เมื่อแวบแรกที่สบตาจังๆกับชายหนุ่มในดวงใจอีกครั้ง ก็ชะงักเมื่อรู้ว่าถูกมองอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เราจะไม่หลบแล้ว เธอมองกลับไปบ้าง แล้วก็พบว่า อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างยียวนอย่างกวนประสาท แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยสักคำ

เธอเองเมื่อเผลอประสานสายตากับดวงตา คม ลึกเป็นประกายคู่นั้น เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วในที่สุดก็ต้องหลบสายตาคู่นั้นเองในที่สุด เหมือนเวลาที่หยุดเดินลงเริ่มเดินอีกครั้ง ทุกคนบนโต๊ะจับจ้องมองทั้งคู่ที่ประลองยุทธ์ทางสายตากันอยู่ เมื่อรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว หนูจิตก็หน้าแดงแปร๊ดถึงใบหู รีบขออนุญาตลุกไปเข้าน้ำอย่างหมดท่า ต้องแอบไปเติมแป้ง เติมลิป ปัดแก้มสร้างความมั่นใจในห้องน้ำเสียหน่อย
(อย่าหยุดสวยจริงๆ แม่คุณ)


ส่วนคุณไพศาลและคุณสมจิตรก็สบตากันนิดหนึ่ง แล้วหันมาพูดเรื่องบ้านไร่ที่ตอนนี้คุณยายต้องการปลูกไม้ผลใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งก็ขอความเห็นจากตรีภพว่าควรปลูกอะไรเพิ่มดี ฝ่ายหนูจิตก็นั่งฟังแผนการขยายงานในไร่อย่างสนใจ เธอฟังไอเดียของตรีภพที่อยากมุ่งเน้นการทำการเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสาน และที่อยากขยายเป็นธุรกิจโฮมสเตย์ เที่ยวชมไร่ เก็บองุ่น ผลไม้อื่นๆ และรีดนมวัว เพราะเห็นว่าที่บ้านไร่มีทำเลอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนักเดินสะดวก
น่าแปลกจริงๆ ที่ไอเดียของเขาหลายอย่างตรงกับความคิดของเธอที่เคยคิดอยากจะทำ แอบเข้ามาขโมยไอเดียเรารึป่าวหว่า นั่งอยู่ในใจไม่พอยังเข้าไปในสมองด้วยหรอเนี่ย (เป็นเอามาก)


นอกจากนี้พี่โจก็นึกอย่างมีส่วนร่วมกับเค้าด้วย โดยเสนอว่าทำเว็ปไซด์โฆษณาบ้านไร่ทิวเขาลำเนารักให้นักท่องเที่ยวได้หาข้อมูลและบริการจองที่พักผ่านทางเว็ปไซด์กันไปเลย ซึ่งบรรยากาศการแสดงความคิดเห็นที่กว้างขวางทำให้หนูจิตที่นั่งฟังเงียบๆ มาตลอดอดแสดงความคิดเห็นไม่ได้ว่า
“เราน่าจะแปรรูปผลไม้ในไร่ ออกขายเป็นของฝากด้วย จะขายเองที่ไร่ หรือเอาฝากขายกับร้านค้าของฝากแล้วให้เขาหักเปอร์เซ็นก็ได้ เป็นการคิดเพิ่มเติมค่าให้ผลไม้ที่ราคาตกต่ำ

เมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้วออกสู่ท้องตลาดพร้อมๆ กัน ถ้าเราแปรรูปทำแพ็คเก็จสวยๆ จะขายได้ราคามากกว่าผลไม้สดๆ”

“แล้วอีกอย่างนะเราปลูกแบบชีวภาพปลอดสารพิษ แล้วเราก็ส่งขายในตลาดบน โดยทำตลาดต่างประเทศก็ได้ เพราะของเรามีคุณภาพ”

หนูจิตเหมือนอัดอั้นไม่ได้พูดมานานพอมีโอกาสได้พูด พูดอย่างน้ำไหลไฟดับ จนตรีภพที่นั่งฟังแผนการของหนูจิตอย่างสนใจ ก็ได้เกิดความทึ่งในหัวคิดของเธอที่ไม่ได้มีดีแค่สวยเพียงอย่างเดียว

แล้วทั้งสองก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันหลายเรื่อง ทั้งการไอเดียพัฒนาไร่ต่างๆ จนทำให้การสนทนาของทั้งสองไหลลื่นมากขึ้น เพราะหนูจิตเองลดอาการเกร็งและระวังตัวลงไปมาก
จนกระทั่งพากันกลับ

หนูจิตรู้สึกอึดอัดใจที่ต้องนั่งรถไปกับพี่โจและตรีภพ เพราะเวลาตลอดเวลาที่นั่งในรถ เมื่อทั้งสามคนเริ่มเปิดฉากสนทนาก็เหมือนอยู่ในเรื่องสามก๊กที่แต่ละก๊กกำลังคุมเชิงกันอยู่อย่างโจ๋งครึ้ม เพราะแม้แต่พี่โจก็ไม่ใช้พวกเธอแล้ว ไม่ต้องอื่นไกลก็จากบทสนทนาที่ขายน้องสาวเมื่อตอนเย็นเป็นพยานได้เลย เธอจึงขอแยกนั่งรถคันของคุณพ่อคุณแม่

โดยแอบกระซิบคุณแม่ว่าสองหนุ่มอยากไปเที่ยวต่อเลยไม่อยากตะลอนทัวร์ไปด้วย เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปซ้อมรับปริญญาอีกด้วย เห็นใจหนูจิตเถอะค่ะให้หนูจิตไปด้วยเถอะนะ

ส่วนสองหนุ่มเมื่ออยู่ในรถด้วยกันตามลำพัง ตรีภพก็เริ่มพูดขึ้นมาก่อนในเรื่องที่ฉุนที่โดนเพื่อนรักหักเหลี่ยมถูกหลอกอำเรื่องหนูจิตเป็นน้องน้ำตาลกิ๊กของนายโจ แต่โจก็ไหลลื่นว่าไม่เคยบอกว่าเป็นกิ๊กเลย บอกแค่รักคนนี้เค้ารักมากมาย ซึ่งก็ไม่ผิดเพราะรักน้องสาวมากมายจริงๆ นี่นา

ตรีภพรู้ว่าเพื่อนรักต้องการจับคู่เหมือนอย่างที่ทุกคนบนโต๊ะอาหารพากันลุ้น แต่คนอย่างเขาไม่ชอบให้ใครมาบังคับกะเกณฑ์ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างงี้ แล้วมีหรือคนอย่างเขาจะยอมอะไรง่ายๆ แต่ตอนนี้ทำได้แค่นิ่งอย่างเก็บอาการไม่เผยไต๋อะไรออกมาก่อนจะดีกว่า




Create Date : 14 มีนาคม 2554
Last Update : 14 มีนาคม 2554 12:20:56 น.
Counter : 796 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

joyey
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ดีจ้า
ชื่อ joy ค่ะ


มีงานเขียนนิยาย เป็นเรื่องความรักสดใส แต่เจือปนไปด้วยความฮา ของความรั่วของนางเอกและพี่ชายที่เท็กทีมกันกับคุณยายหัวใจยังเเหวว ร่วมกันจับคู่หลานชายกับหลายสาว จนเกิดความรักใสๆ หัวใจฮาๆ


เป้าหมายของเราคือเขียนนิยายรัก สดใส เฮฮา อ่านแล้วอมยิ้ม เป้าหมายมีไว้พุ่งชน
มีนาคม 2554

 
 
1
2
5
6
8
10
11
12
13
15
16
17
19
20
21
22
23
24
26
27
29
30
31