เสียงตอบจากโลงศพ (ตอนที่ 6)
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องลึกลับเรื่องสุดท้ายในบ้านไม้โบราณที่ราชวัตรของครอบครัวของแม่ ก่อนอื่นต้องเล่าว่าเด็กๆบ้านนี้มีหลายคน อยู่ด้วยกันเป็นโขยง เป็นเด็กผู้ชายเสียส่วนใหญ่ คือ ลูกๆของพระยาเทพฯ กับม.ล.ดนตรี (มนตรีกุล) มีผู้หญิง 1 ผู้ชาย 3 หน่อ ชื่อสุภัทรา (แม่ของพี่โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ อดีตรองนายกฯ) กัสสปะ จิตรเสน (พล.ต.ต.จิตรเสน) และเดชน ส่วนอีกกรุ๊ปหนึ่งเป็นลูกติดของคุณหลวงไววีธีทัพ (ไว เสนีวงศ์ฯ) เป็นผู้ชายซะ 5 ผู้หญิง 1 ชื่อคล้องจองกันแบบลูกผู้ดีสมัยโบราณ ทำให้แม่ท่องได้คล่องจนกระทั่งทุกวันนี้ คือชื่อ เสาวนีย์ สุวเนียร์ เสวนิต วิษณัย ไวสวาท (พลเรือโท ทรงพล) วาสนา ป้าเสาวนีย์โตแล้ว ไม่ได้อยู่บ้านนี้ แม่เลยกลายเป็นเด็กเล็กผู้หญิงอยู่คนเดียวท่ามกลางเด็กผู้ชายทั้งโขยง คุณยายจะเรียกแม่ว่า คุณจิตต์ ส่วนน้าป่องน้องชายแม่ มีชื่อเล่นอย่างเป็นทางการว่า คุณน้อย ก็เล็กเกินไป ส่วนใหญ่คุณยายจะดูแลใกล้ชิด (เด็กทั้งบ้านจะโดนพ่อแม่และทุกคนในบ้านเรียกว่า คุณ หมดทุกคน)
เมื่อเด็กๆอยู่รวมกันแยะขนาดนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยที่เด็กผู้ชายซนๆ จะซนได้ซนดี ยิ่งที่หลังบ้านเป็นสวน แม่ก็ต้องตามพี่ไปเล่นในสวนด้วย บางทีพี่ๆออกไปว่ายน้ำกันถึงในแม่น้ำ แม่ก็ต้องเป็นคนนั่งเฝ้ากางเกงพี่ๆ เฝ้าไปหลับไปจนกระทั่งพี่ๆกลับมาอุ้มเข้าสะเอวกลับบ้าน หน้าบ้านมีแขกยามเฝ้าบ้านตามที่นิยมกันในสมัยนั้น แขกยามนี้ชอบแอบหลับอยู่เป็นประจำ พวกพี่ๆก็จะแกล้งทำผีมาหลอกแขกยามให้เป็นที่ครื้นเครงกันทั้งกลุ่ม
แม่เป็นคนที่กลัวกิ้งกือมาก กลัวฝังใจมาจนปัจจุบัน สืบเนื่องจากบ้านนี้อยู่ในสวน และจะมีกิ้งกือตัวใหญ่ๆแบบที่แม่เรียกว่า กิ้งกือยักษ์ เดินกันเพ่นพ่านเวลาฝนตก วันหนึ่ง ลุงจิตรเสน ก็เอาถุงกระดาษมาให้แม่ แล้วบอกว่า พี่ซื้อขนมมาฝาก ปรากฎว่าพอแม่เปิดดูก็เขวี้ยงทิ้งแทบไม่ทัน เพราะเป็นกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่มีกิ่งก้านสาขา แต่ละกิ่งก็มีกิ้งกือตัวใหญ่สีแดงขดพันกิ่งอยู่หนึ่งตัว.... จากนั้นมา แม่ก็กลัวกิ้งกือมาจนทุกวันนี้ และในปัจจุบันก็ยังทรมานมากเวลาเดินผ่านบริเวณที่เป็นสวนหน้าฝน ในสวนจิตรลดาซึ่งเป็นสถานที่อุดมกิ้งกือแห่งหนึ่งของโลก
คืนหนึ่งมีดาวตก แม่นอนเล่นอยุ่กลางสนามแหงนดูพระจันทร์ข้างขึ้นงามมาก ก็ได้ยินเสียงดังเควี้ยวๆลงมาเหมือนพระจันทร์ตกลงมาสู่โลกอย่างไรอย่างนั้น เป็นดาวสว่างจ้าตกลงมาถึงพื้นดินแล้วก็หายวูบไป ปรากฎว่าลงตรงข้างๆบ้าน เลยเก็บสะเก็ดดาวเป็นก้อนแร่สีดำๆเล็กๆใหญ่ๆหลายก้อนที่เขาเรียกกันว่า อุลกะมณี เอามาทำอัญมณีหัวแหวนกัน เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่แปลกไม่เคยเห็นมาก่อนจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยเห็นอีกเลย
ดังที่เล่ามาแล้วในตอนก่อนๆ เมื่อคุณตาถึงแก่แรรม คุณยายก็ต้องเอาบ้านเรือนหอให้เช่าเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประทังชีวิต และย้ายมาอยู่บ้านอีกหลังคุณลุงของแม่ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน คือนายพันเอก พระยาเทพสงคราม ในฐานะกบฎที่หนีภัยจากรัฐบาลจอมพล ป. ไปเวียดนาม ทิ้งภรรยาและลูกๆไว้ลำพังอยู่บ้านไม้หลังใหญ่ของพระยาเทพฯ ส่วนข้างๆเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งมีสองห้องนอน แม่นอนกับคุณยายและน้องในห้องนอนเล็กซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้าน ส่วนห้องนอนใหญ่มีคุณลุงพ.ท พระไกรกรีฑา (ม.ล.ประยูร เสนีวงศ์) กับคุณป้าเล็ก ซึ่งเป็นพี่สาวของคุณตา ระหว่างสองห้องนอนนี้ จะมีห้องพระเล็กคั่นอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นห้องที่เด็กๆกลัวกันมาก คือบ้านสมัยก่อน เขาจะไม่เก็บกระดูกบรรพบุรุษไว้ที่วัดเหมือนปัจจุบัน แต่จะใส่โกศไว้ในบ้าน
ในห้องพระด้านหนึ่งจะเป็นพระพุทธรูปเต็มไปหมด ทั้งปางยืนและนั่ง องค์สูงจนมาถึงองค์เล็กตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทั้งหมดเป็นพระโบราณเก่าแก่ทั้งนั้น ส่วนอีกด้านหนึ่ง เป็นที่เก็บโกศกระดูกบรรพบุรษ มากมายนับไม่ถ้วนจนแม่ไม่ทราบว่าเป็นของใครบ้างเพราะสมัยก่อนเขาจะเก็บเอาไว้ทุกราย ตั้งแต่โกศเงินอันสวย จนไปถึงโกศพระเบื้องร่วมสิบใบ ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่บูชาลดหลั่นกันลงมา แม่เองก็ต้องเข้าไปสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนทุกคืน กราบพระด้วยบทสวดนะโม อิติปิโส จนจบสิ้นกระบวนความ เสร็จแล้วจึงจะมากราบโกศกระดูก ก่อนจะได้รับอนุญาตให้ไปนอนได้
เวลามากราบพระ เด็กๆจะชวนกันมาหลายๆคน เพราะบรรยากาศห้องพระน่ากลัวสำหรับแม่มาก บ้านสมัยก่อนก็เปิดไฟไว้แค่สลัวๆ ไม่ได้สว่างไสวยิ่งกว่ากลางวันเหมือนสมัยนี้ บางครั้ง เด็กๆจะรีบมาก กราบแผล่บ แบบที่ผู้ใหญ่สมัยก่อนค่อนขอดว่า เหมือนลิงล้างก้น กราบเสร็จโดดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วลุกลี้ลุกลนชนโต๊ะโยก ทำเอาโกศบางอันตกลงมากลิ้งขลุกขลักอยู่กับพื้นก็มี แล้วจะได้ยินเสียงกระไอกระแอม เด็กทั้งโขยงก็เผ่นหนีกันแทบไม่ทัน
ในสมัยก่อน ผู้คนที่มีอันจะกินหน่อยจะนิยมทำงานศพที่บ้าน เนื่องจากวัดไม่ค่อยมีศาลาสวดศพมากมายเหมือนในสมัยนี้ ตอนคุณป้าเล็กถึงแก่อนิจกรรม ก็เหมือนกับบ้านทั่วๆไป จะตั้งศพไว้ในบ้านตามประเพณี มีการสวดศพทุกคืนคนแน่นบ้าน เล่นหมากรุก และเลี้ยงข้าวต้มกันตลอดคืน พระสวดสังคหะ เป็นเสียงสวดแบบเอื้อนๆเป็นจังหวะ สวดเสร็จแล้ว เปิดไฟทิ้งไว้ก็จริง แต่แรงเทียนน้อย จะดูน่ากลัวมาก
พอสวดครบเจ็ดวันก็ตั้งศพไว้ก่อน ยังไม่มีการเผา เพราะบ้านเมืองในขณะนั้น (สมัยจอมพล ป.)มีสงครามโลก เมืองไทยยากจนมาก จะตั้งศพคุณป้าเล็กไว้ โดยมีเด็กรับหน้าที่เชิญอาหารใส่ถ้วยเล็กๆในถาดไปให้คุณป้าเล็กทุกวัน ซึ่งเด็กทั้งโขยงก็จะเกี่ยงกัน แล้วก็ลงแม่ทุกที เพราะเล็กสุด แม่จะเดินขาสั่นๆ เชิญถาดอาหารไปที่โลงคุณป้าเล็ก แล้วก็จะเคาะโลงบอกว่า คุณป้าขา ทานข้าวค่ะ และถอนของเก่าออกมา จากนั้นก็ห้อแน่บ....
วางศพไว้สักระยะหนึ่งเกิดเรื่องใหญ่โลงคุณป้าเกิดปริแตก เพราะสมัยก่อนยังไม่มีการฉีดฟอร์มาลีนศพเหมือนปัจจุบัน ปรากฎว่าน้ำเหลืองไหลออกมา ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่วบ้าน ผู้ใหญ่ต้องรีบไปตามสัปเหร่อมายกโลงออก โดยเชิญศพไปที่สวน แล้วถ่ายเข้าโลงใหม่ เด็กๆกลัวกันอยู่แล้ว ก็ยิ่งกลัวกันแทบแย่
มีอยุ่วันหนึ่ง แม่ก็เดินเชิญถาดอาหารไปให้คุณป้าตามปกติ ไปถึงก็นั่งลงกราบ เคาะโลง 3 ที ป๊อก ป๊อก ป๊อก แล้วเรียก
คุณป้าขาๆ ทานข้าวค่ะ
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตอบว่า
เออ
เท่านั้นแหละ แม่เผ่นออกมาอย่างที่เรียกว่า ใส่ตีนหมาโกยอ้าว ดึงถาดเก่าออกมาแทบไม่ทัน ไปบอกผู้ใหญ่ไม่มีใครเชื่อสักคน เลยมาดูกันทั้งบ้าน ปรากฎว่าไปดูด้านหลังโลง พบตาหงวนขี้เมานอนกลิ้งหลับอยู่ คือแกจะชอบมานอนหลังโลงและขโมยกับข้าวกินด้วย เล่นเอาทุกคนถอนหายใจดังเฮือก โล่งใจไป....
นั่นแหละน้า ....กว่าจะรู้ว่าเป็นเสียงคนตัวเป็นๆ ...แม่ก็เกือบจับไข้หัวโกร๋น
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2551 |
|
62 comments |
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2551 23:51:21 น. |
Counter : 1218 Pageviews. |
|
|
|
พิมพ์เปนตัวหลังสือสว่าง ๆ ได้ไหม อ่านม่าได้อ่ะ