It 's my way...
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
31 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 

2 B 1 : สองชีวิต...หนึ่งเดียว : ตอนที่ 27

เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนกลับมหาวิทยาลัย...ชาครียาไปยืมเงินพ่อของไวทินมาหนึ่งพันบาทเพื่อเป็นเงินสำหรับการกลับไปใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ รับเงินมาแล้ว...ยังคิดไม่ออกเลยว่านอกจากบะหมี่สำเร็จรูปหนึ่งถุงในแต่ละมื้อ เธอจะกินอะไรเพิ่มได้อีก เมื่อต้องจ่ายทั้งค่าห้องพัก ค่าน้ำไฟ ค่าจิปาถะต่างๆ สังสัยคงต้องอดอยากรอจนถึงเดือนหน้า กว่าจะได้เงินค่าจ้างร้านกาแฟจะออกอีกครั้ง

หญิงสาวเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าเรียนคาบบ่าย...แลเห็นหน้าห้องเรียนมีนักศึกษายืนออกันเต็มไปหมด…ชาครียาสงสัยว่าทำไมพวกเขาไม่เข้าห้อง เมื่อเธอเดินเฉียดเข้าไปใกล้ นิเกตก็ปรายหางตามองอย่างเชือดเฉือน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกระด้างปนเหยียดเยาะในลำคอ

“ชาครียา เมื่อเช้าตรู่ประชาสัมพันธ์เค้าประกาศเรียกเธอให้ไปที่กองทะเบียน”

“ไปทำไม...” ชาครียาเอ่ยถาม

“จะไปรู้เหรอ เธอก็ไปถามพวกอาจารย์เองสิ” นิเกตตอบเสียงห้วนพลางสะบัดหน้าหนีเหมือนชาครียาเป็นสิ่งน่ารังเกียจเต็มประดา และเพื่อนๆในกลุ่มนิเกตก็พากันทำกริยาใส่เธอเช่นเดียวกัน

ชาครียารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแรงถึงขนาดต้องเดินกึ่งวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาจนถึงกองทะเบียน เมื่อผ่านประตูเข้าไป ประชาสัมพันธ์ก็ร้องเรียกราวกับว่าได้รอเธออยู่นานแล้ว ก่อนพาเดินเข้าไปยังห้องประชุมใหญ่ ตรงกลางคือที่ตั้งของโต๊ะไม้สักรูปวงรีซึ่งมีอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่นั่งรายล้อมอยู่ทุกที่นั่ง

“นั่งลงก่อนชาครียา” คณบดีของคณะบัญชีผายมือเล็กน้อย ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

หญิงสาวเดินไปแทรกลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยอาการหวาดๆ...รู้สึกถึงสายตาทุกคนในห้องประชุมที่จ้องมาอย่างเย็นชา แฝงความรังเกียจเดียดฉันท์อยู่ในที

“ก่อนอื่นต้องถามว่า...คุณได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ของเช้านี้หรือยัง”

เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อมเมื่อได้ยินคำถามนั้น...รู้ล่วงหน้าไปก่อนว่าเป็นฝีมือของนักข่าวคนนั้นแน่ ดวงตาจับจ้องหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งกำลังถูกส่งต่อผ่านมืออาจารย์มาเรื่อยๆกระทั่งถึงมือเธอ

“เราอยากให้คุณชี้แจงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น” รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาเอ่ยถามเธอบ้าง

“หนูไม่ได้ทำอะไร” ชาครียากล่าวประโยคพูดแรกที่ผุดแวบเข้ามาในหัวสมองเธอออกมา

“คุณชาครียา! เราไม่ได้ให้คุณมากล่าวปฏิเสธว่าคุณไม่ได้ทำอะไร เราต้องการให้คุณอธิบายว่าข่าวที่ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ขณะนี้หมายความว่าอย่างไร” รองคณบดีสาวกล่าวขึ้นด้วยเสียงกระด้าง

ชาครียาไม่ได้ตอบที่รองคณบดีสาวถาม...เธอรีบเปิดหนังสือพิมพ์ อ่านหน้าในอย่างละเอียด และเห็นว่านักข่าวคนนั้นลงข่าวตามความจริงทุกประการ บอกว่าเธอเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยร่มเกล้าที่เข้ามาตามหาญาติ ไม่ได้ประกอบอาชีพทุจริตแต่อย่างใด

“นี่ไงคะ!” ชาครียาลุกขึ้นยืน...กางหน้าหนังสือพิมพ์ และชี้บรรทัดนั้นให้อาจารย์ทุกคนดู “ข่าวก็ลงแล้วว่าเป็นการเข้าใจผิดกัน หนูแค่เข้าไปหาน้า ไม่ได้ขายบริการ เค้าแค่พาดหัวให้มันหวือหวาเท่านั้นเอง”

ไม่มีอาจารย์คนใดแสดงอาการใยดีต่อสิ่งที่เธอพูด โดยเฉพาะรองคณบดีสาวที่มองมาอย่างเย็นชาที่สุด มีเพียงอธิการบดีที่ยังคงมีสีหน้าใจเย็น...ขณะเอ่ยปากพูดกับเธอด้วยเสียงสุภาพว่า...

“เราเข้าใจ และเชื่อว่าคุณไม่ได้กระทำความผิดจริง แต่สิ่งที่เราต้องการให้คุณทำก็คือแสดงความรับผิดชอบต่อการทำให้ชื่อมหาวิทยาลัยต้องแปดเปื้อนในวงสังคม ทำให้เพื่อนร่วมสถาบันและอาจารย์ของคุณต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้เขาขาดความภูมิใจ เวลาเดินไปไหนมาไหนแล้วมีเข็มกลัดของร่มเกล้าติดหน้าอก”

“ทำไมต้องเสื่อมชื่อเสียงด้วย ในเมื่อข่าวก็เขียนอยู่ทนโท่ว่าหนูไม่ได้ทำอะไร” ชาครียากล่าวเสียงสั่น...ทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลซึมออกมา

“ถึงคุณไม่ได้ทำอะไร แต่ข่าวก็ลงรูปคุณ ชุดนักศึกษาที่คุณใส่ พร้อมชื่อมหาวิทยาลัยของเราด้วย ทำไมคุณถึงไม่ใช้สมองคิดบ้างว่าคุณยังดำรงอยู่ในฐานะนักศึกษาของเรา และไม่ควรก้าวเข้าไปในสถานที่แบบนั้น” รองคณบดีสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์มากขึ้น

“น้าของหนูกำลังเดือดร้อน...” ชาครียาตอบตามตรง

“เราเข้าใจเรื่องที่น้าคุณเดือดร้อน แต่คุณควรจะเปลี่ยนชุดนักศึกษาเสียก่อน ไม่ใช่เข้าไปทั้งอย่างนั้น” อาจารย์แก่ๆคนหนึ่งกล่าวขึ้น...มองอย่างเอือมระอาในความโง่เง่าของเธอ

ชาครียานิ่งไปพัก...ก่อนจะจ้องหน้ารองคณบดีสาวแล้วตอบไปด้วยเสียงกระด้าง “ในเวลาที่คนกำลังเดือดร้อน ไม่มีใครมานั่งใคร่ครวญว่าจะต้องเปลี่ยนชุดก่อนหรอกค่ะ”

“เราพยายามจะเข้าใจคุณ คุณชาครียา ดังนั้นกรุณาชี้แจงเรื่องที่ญาติของคุณได้รับเดือดร้อนด้วย”

อธิการบดีซึ่งเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปลายๆได้เอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงที่เย็น...เนิบนาบ...แสดงถึงความเห็นใจยิ่งกว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆที่นั่งอยู่ตรงที่นั้น

“น้าของหนูติดหนี้เค้าค่ะ หนูจะเอาเงินไปให้น้าใช้หนี้”

“น้าคุณไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับคุณเหรอ”

“อยู่บ้านเดียวกันค่ะ แต่หนูไม่อยากให้น้าขายบริการ เลยต้องรีบเอาเงินไปให้ก่อน”

“น้าคุณขายบริการงั้นหรือ”

“ค.ค่ะ...” ชาครียาเริ่มรู้ว่าตัวเองเพิ่งหลุดปากไป

“แล้วทำไมคุณให้ข่าวไปว่าน้าของคุณเป็นพนักงานเสริมสวย”

“น..หนูไม่อยากให้น้าเสียชื่อเสียง” เธอตอบตะกุกตะกัก

“กลัวน้าเสียชื่อเสียง แล้วคุณไม่กลัวมหา’ลัยเราจะเสียชื่อเสียงอย่างงั้นเหรอ” รองคณบดีสาวกล่าวแทรกขึ้น

การสอบปากคำดำเนินไปเกือบครึ่งชั่วโมง...ท่ามกลางความกดดันที่ทำให้ชาครียารู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิด เสียงเย็นกระด้างของรองคณบดีสาวคนนั้นดังแทรกมาให้ได้ยินเป็นระยะในเชิงกล่าวโทษเธอ อาจารย์หลายคนเริ่มแสดงความคิดเห็น เสนอพักการเรียนหนึ่งเทอม แล้วระหว่างนั้นให้เธอบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม

“ผลการเรียนของเค้าเป็นไงบ้าง” อธิการบดีเอ่ยถามคณบดีคณะบัญชี...ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เกรดของชาครียาค่อนข้างต่ำค่ะ เธอได้ 1.75 เมื่อเทอมที่แล้ว เทอมนี้ก็มีอาจารย์หลายคนรายงานว่าสอบมิดเทอมไม่ผ่านหลายวิชา อีกทั้งเข้าเรียนก็ไม่ค่อยสม่ำเสมอ”

“ทำไมหนูไม่แสดงความตั้งใจออกมาให้อาจารย์เห็นเลยล่ะชาครียา” อธิการบดีเอ่ยถามเธอ

“หนูขอโทษค่ะ ถ้ามีโอกาสได้เรียนอีก หนูจะตั้งใจมากกว่านี้” ชาครียากล่าวด้วยความรู้สึกอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ท่าทางของเธอทำให้อาจารย์ผู้มีอายุหลายคนแสดงสีหน้าเห็นใจ แต่ไม่สะกิดความรู้สึกของรองคณบดีสาวคนนั้นแม้แต่น้อย

“เห็นเด็กคนนี้เอาแต่กล่าวขอโทษๆ แต่ไม่แสดงความรับผิดชอบออกมาเลยสักอย่าง แกไม่เหมาะที่จะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเราจริงๆ ร่มเกล้ามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานเกือบ 100 ปี ไม่เคยต้องด่างพร้อยด้วยใครคนใดคนหนึ่งถึงขนาดนี้” เธอยังใช้เสียงเย็นชา...กล่าวคำพูดที่ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการออกมาเรื่อยๆ

“แล้วอาจารย์ต้องการให้หนูแสดงความรับผิดชอบอะไรคะ” ชาครียาเงยขวับ...จ้องหน้าเขม็ง และเพราะเธอแสดงความก้าวร้าว รองคณบดีจึงตอกกลับมาด้วยเสียงกระแทก...แสดงถึงความโกรธ

“ต้องการให้เธอแสดงความรับผิดชอบโดยการสำนึกว่าตัวเองไม่เหมาะจะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้ ทั้งด้วยความประพฤติ ลักษณะนิสัย และผลการเรียน”

“ใจเย็นๆก่อน คุณอาจารี” อธิการกล่าวเตือนรองคณบดีสาว

“หนูสำเหนียกตัวเองมาตั้งนานแล้วว่าไม่เหมาะกับที่นี่”

ชาครียาพึมพำ...ด้วยเสียงดังเพียงรอดไรฟัน แต่คณบดีสาวสวยคนนั้นกลับได้ยิน

“เห็นมั้ยคะ! ท่านอธิการ เห็นมั้ยคะ! ท่านคณาจารย์ทุกท่าน...ว่าเด็กคนนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยเราด้วยข้อเสียที่ตรงไหนบ้าง แกได้แสดงออกมาอย่างเด่นชัดโดยที่ดิฉันไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้มากความเลย”

ชาครียาส่งเสียง ‘หึ’ เบาบางในลำคอ ก่อนจะพูดออกมา “ทำไมคุณต้องพยายามสรรหาถ้อยคำที่ฟังดูหรูหราเพื่อจะมากดความเป็นมนุษย์ของคนอื่นลงต่ำด้วย”

“เธอพูดอะไร...ชาครียา” รองคณบดีสาวหันขวับมาจ้องหน้าเธอ

“ทำไมคุณไม่พูดออกมาตรงๆว่าคุณเกลียดดิฉันตั้งแต่เห็นหน้าในหนังสือพิมพ์ ทำไมไม่ยอมรับว่าคุณลงมือตัดสินความผิดดิฉันทันที โดยไม่ได้สนใจว่าข่าวเรื่องที่ดิฉันขายตัวจะเป็นจริงหรือเปล่า” ชาครียาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดัง...กระแทกกระทั้นราวคลื่นทะเลที่โหมซัดฝั่งลูกแล้วลูกเล่า

“หยุดก้าวร้าวอาจารย์เดี๋ยวนี้...ชาครียา” อธิการบดีเริ่มเอ่ยปรามเธอเสียงกระด้าง

แต่ชาครียาไม่ยอมหยุด...เธอจ้องหน้ารองคณบดีสาวคนนั้นไม่ลดละ ปากพร่ำพูดไม่หยุดถึงสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจมานาน

“คุณมันก็แค่ลูกผู้ดีทิ่เติบโตมาพร้อมกับโอกาสทางการเงิน พร้อมความฉลาดทางหัวสมอง แล้วคุณก็ตัดสินว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น เหมาะสมที่จะได้เรียนในร่มเกล้า จบเป็นนิสิตของร่มเกล้า และเป็นอาจารย์ของร่มเกล้า ดังนั้นเมื่อคุณเห็นคนชนิดที่คุณตีคุณค่าว่าต่ำอย่างดิฉัน...ได้เข้ามายืนในฐานะเดียวกับที่ๆคุณเคยยืนมาก่อน ก็เลยออกอาการรับไม่ได้ขึ้นมา”

“หยุดเดี๋ยวนี้ชาครียา อย่าให้ผมพูดเป็นครั้งที่สาม” เสียงเตือนของอธิการบดีดังขึ้นอีก

“รู้มั้ยทำไมดิฉันไม่เรียกคุณว่าอาจารย์” ชาครียาชี้หน้ารองคณบดีสาว และตะเบ็งเสียงใส่กลางโต๊ะประชุม ท่ามกลางความตกตะลึงของอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ทุกคน

“เพราะคุณมันไม่เหมาะกับคำว่าอาจารย์ ครูหรืออาจารย์คือคนที่สร้างมนุษย์ให้มีพัฒนาการทางจิตใจและสมองขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง แต่คุณ! คุณมันก็แค่คนที่เรียนหนังสือสูงๆเพื่อจะมายืนเชิ่ดหน้าในวงสังคม เพื่อจะหาคำว่าอาจารย์มหา’ลัย หรือคำว่าดอกเตอร์จากที่โน่นที่นี่มาประดับศักดินาเท่านั้นเอง”

ในฉับพลันนั้น ทุกเสียงของคณาจารย์ดังมา...บอกว่าให้เธอหยุด! หยุดพูดจาก้าวร้าวเดี๋ยวนี้! แต่หญิงสาวไม่ได้ยินอีกแล้ว คลื่นพายุลูกแล้วลูกเล่าซัดโหมอยู่ในร่างเธอ และพยายามจะหาทางออกมาให้ได้

“นี่ดิฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะคะท่านอธิการ” รองคณบดีสาวลุกพรวดขึ้น...หันไปหาอธิการบดี

“หยุดแสดงพฤติกรรมเลวๆแบบนี้ได้แล้ว” อาจารย์คณะบัญชีเริ่มต่อว่าเธอด้วยอารามโมโหตามไปด้วย

ไม่มีสิ่งใดหยุดความบ้าบิ่นของชาครียาลงได้ นาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเปลี่ยนเป็นใครคนหนึ่ง...คนที่เธอกำลังพยายามจะสลัดเขาให้หายไปจากความทรงจำ

“ชาตินี้คุณไม่มีวันเป็นอาจารย์ หรือเป็นแม่ของใครได้หรอก ในเมื่อคุณไม่เคยมีจิตวิญญาณของมนุษย์ที่เป็นผู้สร้าง คุณมันดีแต่เป็นผู้ทำลาย ผู้ที่ดีแต่ย่ำยีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น!”

ปัง! เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นลั่นมาจากบริเวณที่ท่านอธิการนั่ง...ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสั่งอันทรงอำนาจ

“ออกไปซะ...ชาครียา นับจากนี้คุณไม่ใช่นิสิตของมหาวิทยาลัยเราอีกต่อไป”

ทุกสรรพเสียงเงียบงันลงหลังสิ้นประโยคนั้น ชาครียานิ่งงันราวถูกสตาร์ฟไว้ด้วยเวทมนตร์ของเทพยดา ทว่า...เวทย์นั้นก็คลายลงในอีกสิบวินาทีถัดมา เมื่อทุกคนในห้องประชุมได้เห็นว่าหญิงสาวลุกขึ้นอย่างสงบ และด้วยสีหน้าที่สงบ ไม่แสดงอาการเสียใจใดออกมาให้เห็น

“ก่อนออก... หนูอยากพูดอะไรบางอย่าง” เธอยังคงจ้องรองคณบดีสาว ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความกระด้าง ก่อนจะแกะเข็มกลัดสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยที่ติดหน้าอกออก...วางลงบนโต๊ะ

“สิ่งนี้...ไม่ได้ทำให้ใครมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นกว่าเดิมเลย”

กล่าวจบ...เธอหันหลัง เดินจากไปด้วยความรู้สึกคล้ายกำลังติดปีก น่าแปลกเหลือเกินที่การถูกไล่ออกสร้างความเจ็บปวดให้เพียงเศษเสี้ยว ทั้งที่เมื่อครู่ ตอนนั่งในห้องประชุม เธอเอาแต่ครุ่นคิดตลอดว่าหากถูกคณาจารย์ตัดสินให้ออกจากมหาวิทยาลัย โลกคงถล่มทลาย แต่เมื่อเจอเข้าจริงๆ...เธอแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย

...เหมือนถอดห่วงโซ่ที่คล้องคอมาเกือบหนึ่งปีออกไปเสีย ต่อไปนี้...เธอไม่ต้องมานั่งเครียดเรื่องสอบ กลัวแทบขาดใจเวลาเปิดคอมพิวเตอร์ดูเกรด และนั่งกังวลตลอดทั้งเทอมว่าจะเรียนไม่จบ เธอเป็นอิสระแล้ว...อิสระจากระบบการศึกษาที่บีบคั้นเด็กหลายคนให้คิดอยากฆ่าตัวตาย

แต่แล้วความรู้สึกล่องลอยอย่างอิสระของชาครียาถูกทำลายลงโดยพลัน เมื่อรู้สึกถึงมือหยาบและแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งที่เอื้อมมาฉุดแขนเธอไว้

“ว่าไง น้องชาครียาได้เจอกันเป็นครั้งที่สองแล้วนะครับ”

ชาครียาจ้องหน้าเขา และจำได้ว่าคือผู้ชายหน้าตาดีคนที่มาขอเบอร์โทรศัพท์เธอหน้ามินิมาร์ทเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน

“ต้องการอะไร!” เธอกล่าวเสียงห้วนและพยายามบิดข้อมือออก

“คืนละเท่าไหร่”

“ว่าไงนะ” ชาครียาเบิกตาโพลงขณะถามซ้ำ ทั้งที่รู้ไปล่วงหน้าแล้วว่าเขาหมายถึงอะไร

“ตัวเธอน่ะ คืนล่ะเท่าไหร่ เป็นนักศึกษาด้วยกันจะลดมั้ย ถ้าถูกจะใช้บริการบ่อยๆ” เขาต่อราคาเธอ...ราวกำลังต่อเสื้อผ้า

“อย่ายุ่งกับฉัน!” ชาครียาสะบัดข้อมือเต็มแรง...กำลังจะเดินหนี แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าพวกเพื่อนๆเขายืนล้อมรอบตัวเธอไว้หมด

“ทำเป็นหยิ่งอีก จะขายให้แต่เฉพาะลูกส.ส.หรือไงวะ” เพื่อนของผู้ชายคนนั้น...เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่หยาบคาย...พอๆกับสายตาที่กำลังโลมไล้ไปทั่วร่างกายเธอ

“ห้าพันพอมั้ย หรือหกพัน” ผู้ชายหน้าตาดีคนเดิมกล่าวถามอีก

“ฉันไม่ได้ขายตัว ในหนังสือพิมพ์ก็เขียนบอกไปไม่ใช่เหรอว่าเป็นแค่การเข้าใจผิดกัน ฉันแค่เข้าไปหาญาติเท่านั้น” เธอกล่าวพลางเริ่มมองหาคนช่วย มีนักศึกษาหญิงหลายคนนั่งอยู่บริเวณนั้น แต่แทนที่พวกเธอเหล่านั้นจะห้ามปรามพวกผู้ชายที่กำลังคุกคามเธอ กลับจ้องมองมาด้วยสายตารังเกียจแทน

“ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นว่าเธออ้าง อย่าเล่นตัวเลยน่ะ ราคาแพงขนาดไหนก็บอกมา เพื่อนเรามีเงินจ่าย” เพื่อนของผู้ชายคนนั้นกล่าวอีก ยืดมือเข้ามา...ทำท่าเหมือนกำลังจะรวบเอวเธอ

“ไปให้พ้น!” ชาครียาผลักเขาเต็มแรงด้วยความตกใจ กำลังจะวิ่งหนี แต่ก็โดนผู้ชายในกลุ่มนั้นฉุดกลับมาอีก น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาด้วยความกลัว ยังไม่ทันที่จะได้ร้องตะโกนเรียกคนช่วย ร่างของผู้ชายคนที่กอบกุมแขนเธอก็ถูกผลักเต็มแรงจนเซหวือไปอีกทาง...พร้อมๆกับการปรากฏตัวของอิชย์

หลังจากผลักชายที่ประทุษร้ายเธอออกไปได้...อิชย์ก็ดึงมือชาครียาให้หลบไปยืนด้านหลังเขา ก่อนจะยกนิ้วขึ้นชี้หน้าพวกผู้ชายกลุ่มนั้น

“ห้ามยุ่งกับผู้หญิงคนนี้อีก ผมจะเตือนพวกคุณครั้งนี้แค่ครั้งเดียว และจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย”

ผู้ชายกลุ่มนั้นเงียบ หันมองหน้ากันพักหนึ่ง ก่อนหนุ่มหัวฟูคนที่ดูใจกล้าสุดจะพูดขึ้น...

“ที่จริงผู้หญิงสาธารณะเค้าต้องใช้ร่วมกันได้ไม่ใช่เหรอ หรือยัยนี่จะขายให้เฉพาะพวกสมาชิกทาบู”

“ฉันไม่ได้ขายตัว ไม่ได้ขายตัวได้ยินมั้ย!” ชาครียาตะโกน...พูดซ้ำๆทั้งที่รู้ว่าพวกเขาไม่มีวันเชื่อเธอ

“ไสหัวไปซะ ก่อนที่ผมจะเรียกเพื่อนมา” อิชย์หยิบมือถือขึ้นมา...ทำท่าเหมือนจะกดโทรออก

ผู้ชายกลุ่มนั้นหันมองหน้ากันอีกครั้ง...ก่อนจะเริ่มถอยห่างออกไป โดยทิ้งคำสบถด่าไว้อีกหลายคำ

“ไอ้กระจอก ถ้ามึงไม่ใช่พวกทาบู คงไม่กล้าทำซ่าส์อย่างนี้หรอก”

อิชย์ไม่โต้ตอบอะไรทั้งนั้น เขายืนสงบนิ่ง...รอจนกระทั่งผู้ชายกลุ่มนั้นหายเข้าไปใต้เงามืดของอาคาร จึงหันมาหาชาครียาที่ยืนตัวเทิ้มสั่น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรแล้วนะ...”

ความตื่นเต้นผสมหวาดกลัวทำให้ชาครียาไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ย จึงได้แต่ก้มหัวให้หลายๆครั้งแทนการขอบคุณ

“ไปเถอะ ผมจะขับพาไปส่งบ้านนะ” เขาแตะไหล่เธอเบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม...แล้วพาเดินไปยังรถเก๋งสีขาวที่จอดอยู่ใกล้ๆ ชาครียาขึ้นไปนั่งรถอย่างง่ายดายเมื่อเขาเปิดประตูให้...รู้สึกว่าน้องรหัสของไวทินช่างเป็นคนดีเหลือเกิน ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้คนอ่อนโยนอย่างเขาเข้าไปสมัครในชมรมเลวร้ายอย่างนั้น

เมื่อออกรถ...เขาก็เริ่มเปิดประเด็นสนทนาที่ทำเอาหัวใจชาครียาเกิดสั่นไหวขึ้นมาอีก

“นาคินไม่ลง death match อีกเลยหลังจากที่แข่งแพ้ในคืนนั้น เขาแค่มาปรากฏตัวเฉยๆในสนามแข่ง และก็มักจะมาพร้อมผู้หญิงคนใหม่”

“ขอร้องเถอะค่ะ ฉันไม่อยาก...” ชาครียากำลังจะบอกอิชย์ว่าไม่ต้องพูดเรื่องนาคินให้เธอฟัง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจเธอ เขายังพูดต่อไปเรื่อยๆ

“ศุกร์ที่แล้วนาคินมาปรากฏตัวที่ทาบูคลับไม่ถึงสิบนาที แล้วก็ออกไป ศุกร์นี้คาดว่าเขาจะไม่มา เพราะอาทิตย์ที่แล้ว เขาเพิ่งทะเลาะกับจอมเดช รู้สึกจะเถียงกันเรื่องที่นาคินไม่ค่อยทุ่มเทให้กับชมรมเหมือนเดิม”

ชาครียานั่งก้มหน้าเงียบ...พยายามที่จะไม่นึกหน้าผู้ชายคนนั้น เธอจะกดความทรงจำเกี่ยวกับเขาลงไปให้ลึก เหมือนอย่างเคยทำกับเรื่องของไวทินมาก่อน และเพราะเอาแต่ก้มหน้า หญิงสาวจึงไม่รู้ว่าอิชย์ได้ขับรถเลยผ่านปากซอยเข้าอพาร์ตเมนต์เธอไปแล้ว และกำลังแล่นขึ้นทางด่วนด้วยความเร็วสูง

เมื่อรู้สึกตัวอีกที แล้วหันมองวิวรอบข้าง สีหน้าเธอพลันซีดเผือด...เธอหันไปหันมาด้วยร่างกายที่เริ่มจะสั่นเทิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะร้องถามเขาด้วยเสียงที่เกือบสั่น

“เดี๋ยวก่อนคุณอิชย์ คุณจะพาฉันไปไหน!”

อิชย์ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ยังคงเร่งความเร็ว และวางสายตาให้จับจ้องไปยังเบื้องหน้าทิศเดียวเท่านั้น ไม่หันมองเธอ ไม่แสดงอาการแยแสต่อการร่ำร้องขอความเห็นใจของเธอ เขาแค่จะทำหน้าที่ของตนเองให้เสร็จ หน้าที่ในการรับใช้อมนุษย์ตัวหนึ่ง...ที่ดิ้นเร่าอยู่ในใจเขา

.....................................

รถแล่นมาถึงสนามแข่ง death match ที่คุ้นตา เหงื่อกาฬพาลไหลแตกทั่วร่าง ชาครียาหันไปมาอย่างลุกลี้ลุกลน เธอเอ่ยถามอิชย์อีกครั้งว่าพาเธอมาทำอะไรที่นี่ และเขายังไม่ยอมตอบอีกเช่นเคย ได้แต่ปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วเปิดกระจกรถ...คุยกับตฤนและจอมเดชที่ยืนคอยอยู่หน้าจุดสตาร์ท

“วันนี้แข่ง match ธรรมดาได้มั้ย” อิชย์ตะโกนถามตฤนผ่านเสียงเพลงที่เปิดดังกระหึ่มบริเวณนั้น

“ได้...” ตฤนกล่าวยิ้มๆ พลางเดินไปขึ้นรถบีเอ็มสีแดงที่จอดเทียบอยู่บริเวณเดียวกับรถของอิชย์

ชาครียานั่งลังเลใจอยู่พัก ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูรถแล้ววิ่งหนีไป แต่ก้าวขายังไม่ถึงห้าก้าว จอมเดชก็วิ่งเข้ามาล็อคเอวเธอ แล้วกระชากลากถูกลับมาที่รถของอิชย์ตามเดิม

“ปล่อยฉันนะ ปล่อย ขอร้องล่ะ ได้โปรด...” ชาครียาเอามือยึดขอบประตูรถไว้ ไม่ให้เขายัดเธอกลับเข้าไปในรถของอิชย์

“กลัวอะไรนักเล่า! ตอนอยู่กับนาคิน...เธอก็เคยลงสนามแล้วนี่” จอมเดชกล่าวเสียงเรียบ พลางดันหัวชาครียาเต็มแรงให้จนเธอแทบกลิ้งกลับเข้าไปในรถ ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าดังโครม

“พวกแกจะทำให้ฉันทำอะไร ไอ้พวกบ้า ไอ้บ้าเอ๊ย!” ชาครียาลุกขึ้นมากรีดใส่อิชย์...ใกล้จะสติแตกเข้าไปทุกทีแล้ว

“ไม่ต้องกลัวคุณชาครียา งวดนี้มีผมกับคุณตฤนแค่สองคน และไม่ใช่ death match ที่ต้องปิดตา เราจะแข่งกันสบายๆ ไม่ขับเร็วมาก”

อิชย์กล่าวพลางเร่งเครื่องให้เกิดเสียงดังบรืน...บรืน...เพื่ออุ่นเครื่อง รถของตฤนก็กำลังทำเหมือนๆกัน ชาครียาเริ่มกวาดสายตาไปทั่วบริเวณเพื่อจะหาคนช่วย เห็นรถของสมาชิกในทาบูจอดเรียงเป็นหน้ากระดานด้านหลัง แต่ไม่มีวี่แววเจ้า hell boy ของนาคินเลย

แป๊นนน...แป๊นนนน...แป๊นนนนนน...เสียงแตรดังขึ้นสามครั้งเป็นสัญญาณให้ออกสตาร์ท รถของอิชย์แล่นเร็วหวือออกจากจุดเดิมที่มันอยู่ แต่ไม่เร็วมากเท่ารถของตฤน อิชย์เริ่มขับรถอย่างสบายๆตามที่บอกไว้ทีแรก

“ค..คุณ...ทำอะไร” เธอถาม...เมื่อเห็นอิชย์ปล่อยให้รถของตฤนขับแซงไปด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว

ชาครียามองชายหนุ่มที่นั่งข้างเธอด้วยความสงสัยปนตื่นตะลึงสุดขีด ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ทำไมต้องพาเธอมาสนามแข่งรถ แล้วที่สำคัญคือ...ทำไมต้องแกล้งแพ้ตฤน!

แล้วคำถามในหัวเธอก็ได้รับการเฉลยในอีกสามนาทีถัดมา เมื่อรถของอิชย์แล่นวนกลับมายังจุดสตาร์ท...โดยมีรถของตฤนซึ่งเข้าเส้นชัยไปนานแล้วจอดรออยู่ เขาหยุดรถ...เปิดประตูแล้วลงไปคุยตกลงกัน

“ผมแพ้แล้ว...อยากได้อะไรก็บอกมา”

ตฤนยิ้ม...ด้วยสีหน้าที่ของคนใจดีอย่างที่เขาเคยมีมาตลอด ก่อนจะกล่าวออกมาว่า

“เอาตุ๊กตาหน้ารถของนาย”

“ตกลง” อิชย์ตอบทันที...พร้อมกับหันหน้ากลับมามองชาครียาที่นั่งอยู่ในรถ

ท่ามกลางสายตาของผู้ชายเกือบสิบกว่าคนที่มองเข้ามา ชาครียานั่งตัวแข็งอยู่ตรงเบาะหน้ารถ ความเย็นเฉียบวาบไปทั่วทุกรูขุมขน เลือดแทบไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงสมองอีก สติใกล้จะดับลงไปทุกที

ลางสังหรณ์บอกว่า...เธอกำลังจะได้เจอสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านรก!

ติดตามตอนต่อไปได้ที่ลิงค์นี้ //my.dek-d.com//story/view.php?id=344279




 

Create Date : 31 มีนาคม 2551
3 comments
Last Update : 31 มีนาคม 2551 15:04:07 น.
Counter : 846 Pageviews.

 

อ่านอยู่ในเด็กดีนะค้าบ แต่แวะมาทักทายที่นี่ เรื่องนี้สนุกมากๆ เลยนะ ลุ้นทุกตอน

 

โดย: veeda 31 มีนาคม 2551 18:42:51 น.  

 

มาทักทายค่า
แหมไม่ค่อยได้มาอัพในบล็อกเลยนะคะ
แต่ยังไงก็ติดตามที่ dek-d เป็นหลักค่า
ขอบอกว่าชอบเนื้อเรื่องมากๆเลย
เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก
จะติดตามจนจบแน่นอนเลยค่า

 

โดย: Aree-Yong IP: 118.174.152.238 1 เมษายน 2551 18:39:10 น.  

 

...........เมื่อไรจะมาอัฟซักที........
ตามอ่านอยู้................

 

โดย: peek IP: 125.26.59.84 28 เมษายน 2551 15:59:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


I am LuckySeven
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Welcome to LuckySeven 's world



สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำงานเขียนเฉพาะเชิงนวนิยายใน blog แห่งนี้ไปใช้เผยแพร่ทั้งโดยการคัดลอก และดัดแปลงเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้เสนอเพื่อประโยชน์ทางความรู้ วิชาการและสังคม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรได้รับอนุญาตอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ประพันธ์เสียก่อน

*สำหรับงานเขียนในบล็อคย่อยอื่นๆซึ่งเป็นประโยชน์ทางความรู้ด้านวิชาการ สามารถนำไปใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อน*
Friends' blogs
[Add I am LuckySeven's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.