8. เรื่องเล่าว่าด้วยเจ้ากรรมนายเวร
การเบียดเบียนทำร้ายใดก็ตามที่คนเราเคยกระทำ ทั้งใน ชาตินี้และในหลายชาติที่เราเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่รอวันให้ผล เป็นเหมือนเจ้าหนี้ที่รอเวลาทวงคืน วิบากกรรมนี้นอกจากส่งให้สรรพสัตว์ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ แล้ว มันยัง คอยเบียดเบียนหรือตัดรอนในลักษณะต่างๆ รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวร อาจปรากฏตัวเป็นโอปปาติกะ ดังเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังเหล่านี้ เจ้าป่าเจ้าเขากับหลวงปู่มั่น หลายคนคงนึกไม่ถึงว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ สายกัมมัฏฐาน จะเคยมีประสบการณ์ถูกโอปปาติกะร้ายเล่นงาน จนแทบเอาชีวิตไม่รอด หลวงตามหาบัวผู้เป็นศิษย์เอกของท่าน เล่าถึงเหตุอัศจรรย์ในครั้งนั้นว่า ในสมัยที่หลวงปู่มั่นออกธุดงค์ทำ ความเพียรใหม่ๆ หลวงปู่ลัดเลาะไปถึงจังหวัดนครนายกและปรารภ ให้ชาวบ้านพาท่านไปจำพรรษา ณ ถ้ำสาลิกา ซึ่งมีบรรยากาศเงียบสงัด เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา ความประสงค์ของหลวงปู่มั่นถูกชาวบ้านทัดทานขนานใหญ่ ชาวบ้านเล่าว่า ถ้ำสาลิกาเป็นที่อยู่ของเจ้าป่าเจ้าเขาที่มีฤทธิ์มากและ ดุร้าย คนที่เข้าไปพักแรมในถ้ำมักฝันเห็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวกาย ดำทะมึน เข้ามาข่มขู่ว่าตนรักษาถ้ำมานานและมีอำนาจในถ้ำแต่เพียง ผู้เดียว ใครล่วงล้ำเข้ามาจะถูกเล่นงาน พระธุดงค์หรือชาวบ้านที่เข้าไป ในถ้ำต่างเคยถูกทำร้ายเสียสะบักสะบอม เจ้าป่าเจ้าเขามักทำร้ายคน ด้วยการทำให้เจ็บป่วยกะทันหัน หากหาทางรักษาไม่ทันการณ์ก็ถึงแก่ ชีวิต หรือหากใครรอดตายมาได้ก็มักมีอาการกลัวอกสั่นขวัญหาย มีพระธุดงค์ที่เข้าไปปฏิบัติภาวนาแล้วมรณภาพในถ้ำหลายรูปด้วยกัน ชาวบ้านจึงทัดทานหลวงปู่มั่น ด้วยเกรงว่าท่านจะลงเอยเหมือนพระธุดงค์ องค์ก่อนๆ หลวงปู่มั่นเข้าใจเจตนาดีของชาวบ้าน แต่ท่านยังยืนยันจะไป บำเพ็ญภาวนาในถ้ำสาลิกาอย่างเด็ดเดี่ยว และท่านก็พบเจอ การ ต้อนรับ จากเจ้าป่าเจ้าเขาเช่นเดียวกับคนอื่น หลังจากนั่งสมาธิตาม ปกติได้เพียงไม่กี่คืน อาการปวดท้องที่ท่านเคยเป็นและหายไป พักใหญ่ก็กำเริบขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อาการทวีความรุนแรงขึ้น เรื่อยๆ บางครั้งถึงขนาดถ่ายออกมาเป็นเลือดสดๆ อาหารที่ฉันเข้าไป ก็ไม่ย่อยเลย หลวงปู่มั่นผจญกับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส กระนั้นความ ตั้งมั่นในธรรมมิได้ย่อหย่อนลงแม้แต่น้อย หลวงปู่ตัดสินใจระงับโรค ด้วยธรรมโอสถ เร่งภาวนาอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยล้าของสังขาร ตั้งปณิธานว่าหากไม่หายก็จะขอตายในถ้ำนี้ ท่านพิจารณาว่านับแต่บวช เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็ได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียรทางใจมาจนเห็นผล แน่ใจต่อทางดำเนินเพื่อมรรคผลนิพพานมาเป็นลำดับ ถือเป็นหลักยึด ของใจได้พอประมาณ จึงไม่ควรขี้ขลาดอ่อนแอต่อทุกขเวทนาเพียง เท่านี้.... หลวงปู่มั่นเจริญสติ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณา สังขารที่ปรุงแต่งจิตตามหลักสติปัฏฐาน 4 ท่านใช้เวลาตั้งแต่พลบค่ำ ถึงเที่ยงคืนจึงเกิดผล จิตเริ่มมีกำลัง โรคเริ่มสงบ แล้วจิตก็ดิ่งลงสู่ สมาธิ พอจิตสงบถึงที่จึงถอนออกมาอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ ขณะนั้น บุรุษผู้หนึ่ง มีร่างกายสูงใหญ่ตัวดำ สูงราว 10 เมตรได้ปรากฏกายขึ้น พร้อมถือตะบองเหล็กใหญ่เท่าต้นขายาวราว 2 เมตร เดินปรี่เข้ามา หมายจะทุบตีหลวงปู่ให้จมดิน โดยอ้างว่าตนมีอำนาจรักษาเขาลูกนี้ มานาน และจะไม่ยอมให้ใครมามีอำนาจเหนือกว่า จะมาตีและฆ่าอาตมาทำไม อาตมาอยู่ที่นี่ไม่ได้เบียดเบียนใคร นอกจากมาบำเพ็ญศีลธรรมอันดีงามเพื่อข่มเหงกิเลสและบาปธรรม ในหัวใจตนเท่านั้น ท่านไม่สมควรมาทำร้ายและเบียดเบียนคนเช่น อาตมา ซึ่งเป็นนักบวชทรงศีล เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าผู้มีใจบริสุทธิ์ และมีเมตตาครอบโลกธาตุทั้ง 3 อย่างไม่มีใครเสมอเหมือน เจ้าป่าเจ้าเขาตนนั้นยังยืนนิ่งและขึงขัง ไม่มีทีท่าว่าจะยอม อ่อนข้อลง หลวงปู่จึงถือโอกาสแสดงธรรมต่อว่า ถ้าท่านมีอำนาจเก่งจริงดังที่อวดอ้างมา ท่านมีอำนาจเหนือ กรรมและเหนือธรรมอันเป็นกฎใหญ่ปกครองมวลสัตว์ในไตรภพ ด้วยหรือไม่ คำตอบที่ได้รับคือ ไม่ พระพุทธเจ้าครูของอาตมาเก่งกล้า สามารถปราบกิเลสตัวที่ คอยอวดอำนาจว่าตัวดีตัวเก่ง ตัวคิดอยากตีอยากฆ่าคนอื่นสัตว์อื่น ให้หมดสิ้นไปจากใจได้ ส่วนท่านที่ว่าเก่งเคยคิดจะปราบกิเลสตัวนี้ ให้หมดสิ้นไปบ้างหรือยัง คำตอบที่ได้รับคือ ยัง ถ้ายังก็แสดงว่าท่านมีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางทำตนให้ มืดหนาป่าเถื่อน แต่ไม่มีอำนาจปราบปรามความชั่วของตัวที่กำลัง แผลงฤทธิ์แก่ผู้อื่นอยู่ โดยไม่รู้สึกตัวว่ามีอำนาจแบบก่อไฟเผาตัวเอง นับว่ากำลังทำบาปทำกรรมชั่วหนัก เสวยผลของกรรมชั่วหนัก โดย มิได้คิดคำนึงถึงบาปกรรมที่จะฉุดลากท่านลงนรกเพื่อเสวยผลกรรม อันเป็นมหันตทุกข์เลย อาตมาสงสารท่านยิ่งกว่าอาลัยในชีวิตตนเอง แม้ยังแบกตะบองเหล็กไว้บนบ่า แต่บุรุษลึกลับผู้นั้นยืนฟัง บทสนทนาอย่างนิ่งงัน ราวกับถูกคำสอนของหลวงปู่มั่นจี้ใจให้พิจารณา ถึงกรรมชั่วที่ตนเคยทำ ทันใดนั้นตะบองเหล็กก็ตกลงจากบ่า ร่างสูงทะมึนของบุรุษลึกลับกลับกลายเป็นร่างของคนธรรมดาที่ก้มลงกราบ หลวงปู่มั่น พร้อมอธิบายว่าการแสดงกิริยาคุกคามจะทุบตีเข่นฆ่าท่านนั้น มิได้ออกมาจากใจจริงแม้แต่น้อยเลย แต่เกิดจากอวิชชาที่ฝังใจ มานานว่าตนเป็นผู้มีอำนาจในหมู่อมนุษย์ที่ไม่มีศีลธรรม เมื่อได้ฟังธรรมจากสมณะผู้ทรงศีลจึงได้ตระหนักว่า ฤทธิ์เดชของตน ไม่มีประโยชน์ในการขัดเกลากิเลสเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังเป็น เครื่องมือให้ก่อกรรมทำเข็ญเสียอีก เจ้าป่าเจ้าเขาขออโหสิกรรมต่อหลวงปู่มั่น เพราะไม่ต้องการ รับบาปหาบทุกข์ต่อไปในภายภาคหน้า จากนั้นจึงกล่าวขอพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง เพราะซาบซึ้งในธรรมที่หลวงปู่มั่นแสดงให้ฟัง บทสนทนาธรรมระหว่างหลวงปู่มั่นกับเจ้าป่าเจ้าเขาจบลงด้วย คำถามสุดท้าย หลวงปู่มั่นถามว่า ท่านเป็นใหญ่ มีอำนาจวาสนา กายก็เป็นกายทิพย์ ไม่ต้องพา หอบหิ้วเดินเหินไปมาให้ลำบากเหมือนมนุษย์ การเป็นอยู่หลับนอน ก็ไม่เป็นภาระเหมือนมนุษย์ทั่วโลกที่เป็นกัน แล้วทำไมจึงยังบ่นว่าทุกข์ อยู่อีก ถ้าโลกทิพย์ไม่เป็นสุข แล้วโลกไหนจะเป็นสุขเล่า คำตอบที่หลวงปู่มั่นได้รับก็คือ ถ้าพูดอย่างผิวเผินและเทียบกับกายมนุษย์ที่หยาบๆ พวกกายทิพย์อาจมีความสุขมากกว่าพวกมนุษย์จริง เพราะเป็นภูมิ ที่ละเอียดกว่า แต่กายทิพย์ก็ย่อมมีทุกข์ไปตามวิสัยของภูมินั้นๆ เจ้าป่าเจ้าเขาซึ่งมีสถานะเป็นรุกขเทวดาแห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีบริวารมากมายอาศัยอยู่ตามป่าเขา ได้ให้ความกระจ่างเรื่อง โอปปาติกะเทวดาเป็นอย่างดีว่า แม้มีกายทิพย์ แต่หากจิตยังมีกิเลส เทวดาก็ยังก่อกรรมและพัวพันอยู่กับทุกข์จากผลกรรมที่ตนกระทำ อย่างไม่มีข้อยกเว้น หากพิจารณาว่าทุกชีวิตบนโลกนี้ต่างเคยเกิดและเคยตายมาแล้ว หลายภพหลายชาติ เป็นไปได้ว่าหลวงปู่มั่นกับเจ้าป่าเจ้าเขาอาจเคย ประกอบกรรมต่อกันมาแต่หนหลัง จึงได้มาพบพานข้องเกี่ยวกัน ในชาตินี้ นับเป็นโชคดีของโอปปาติกะเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขา ที่ท่านก่อ อกุศลกรรมต่อหลวงปู่มั่นไม่สำเร็จ ไม่ผูกกรรมผูกเวรให้ยืดยาวต่อไป แถมยังได้สัมผัสถึงพลังของศีล สมาธิ และปัญญาจากพระสาวกสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำให้จิตอ่อนโยนลงและคงได้พบความสงบ ไปตามลำดับ จากหนังสือ เปลี่ยนเจ้ากรรมนายเวรให้เป็นมิตร ดร.บรรจบ บรรณรุจิ สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ พิมพ์ครั้งที่ 1
Create Date : 26 มกราคม 2560 |
Last Update : 26 มกราคม 2560 16:45:54 น. |
|
0 comments
|
Counter : 543 Pageviews. |
|
|