ที่ใดมีธรรมะ...ที่นั่นจะพบกับทางออกของชีวิต ^_^
Group Blog
 
 
มกราคม 2560
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
26 มกราคม 2560
 
All Blogs
 
8. เรื่องเล่าว่าด้วยเจ้ากรรมนายเวร



 

การเบียดเบียนทำร้ายใดก็ตามที่คนเราเคยกระทำ  ทั้งใน

 

ชาตินี้และในหลายชาติที่เราเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน 

 

เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่รอวันให้ผล  เป็นเหมือนเจ้าหนี้ที่รอเวลาทวงคืน

 

วิบากกรรมนี้นอกจากส่งให้สรรพสัตว์ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ  แล้ว  มันยัง

 

คอยเบียดเบียนหรือตัดรอนในลักษณะต่างๆ  รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวร

 

อาจปรากฏตัวเป็นโอปปาติกะ  ดังเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังเหล่านี้

 

 

เจ้าป่าเจ้าเขากับหลวงปู่มั่น

 

                หลายคนคงนึกไม่ถึงว่า  หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต  พระอาจารย์ใหญ่

 

สายกัมมัฏฐาน  จะเคยมีประสบการณ์ถูกโอปปาติกะร้ายเล่นงาน

 

จนแทบเอาชีวิตไม่รอด  หลวงตามหาบัวผู้เป็นศิษย์เอกของท่าน

 

เล่าถึงเหตุอัศจรรย์ในครั้งนั้นว่า  ในสมัยที่หลวงปู่มั่นออกธุดงค์ทำ

 

ความเพียรใหม่ๆ  หลวงปู่ลัดเลาะไปถึงจังหวัดนครนายกและปรารภ

 

ให้ชาวบ้านพาท่านไปจำพรรษา    ถ้ำสาลิกา  ซึ่งมีบรรยากาศเงียบสงัด

 

เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา

 

                ความประสงค์ของหลวงปู่มั่นถูกชาวบ้านทัดทานขนานใหญ่

 

ชาวบ้านเล่าว่า  ถ้ำสาลิกาเป็นที่อยู่ของเจ้าป่าเจ้าเขาที่มีฤทธิ์มากและ

 

ดุร้าย  คนที่เข้าไปพักแรมในถ้ำมักฝันเห็นชายรูปร่างสูงใหญ่  ผิวกาย

 

ดำทะมึน  เข้ามาข่มขู่ว่าตนรักษาถ้ำมานานและมีอำนาจในถ้ำแต่เพียง

 

ผู้เดียว  ใครล่วงล้ำเข้ามาจะถูกเล่นงาน  พระธุดงค์หรือชาวบ้านที่เข้าไป

 

ในถ้ำต่างเคยถูกทำร้ายเสียสะบักสะบอม  เจ้าป่าเจ้าเขามักทำร้ายคน

 

ด้วยการทำให้เจ็บป่วยกะทันหัน  หากหาทางรักษาไม่ทันการณ์ก็ถึงแก่

 

ชีวิต  หรือหากใครรอดตายมาได้ก็มักมีอาการกลัวอกสั่นขวัญหาย

 

มีพระธุดงค์ที่เข้าไปปฏิบัติภาวนาแล้วมรณภาพในถ้ำหลายรูปด้วยกัน

 

ชาวบ้านจึงทัดทานหลวงปู่มั่น  ด้วยเกรงว่าท่านจะลงเอยเหมือนพระธุดงค์

 

องค์ก่อนๆ

 

                หลวงปู่มั่นเข้าใจเจตนาดีของชาวบ้าน  แต่ท่านยังยืนยันจะไป

 

บำเพ็ญภาวนาในถ้ำสาลิกาอย่างเด็ดเดี่ยว  และท่านก็พบเจอ  “การ

 

ต้อนรับ”  จากเจ้าป่าเจ้าเขาเช่นเดียวกับคนอื่น  หลังจากนั่งสมาธิตาม

 

ปกติได้เพียงไม่กี่คืน  อาการปวดท้องที่ท่านเคยเป็นและหายไป

 

พักใหญ่ก็กำเริบขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  อาการทวีความรุนแรงขึ้น

 

เรื่อยๆ  บางครั้งถึงขนาดถ่ายออกมาเป็นเลือดสดๆ  อาหารที่ฉันเข้าไป

 

ก็ไม่ย่อยเลย

 

                หลวงปู่มั่นผจญกับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส  กระนั้นความ

 

ตั้งมั่นในธรรมมิได้ย่อหย่อนลงแม้แต่น้อย  หลวงปู่ตัดสินใจระงับโรค

 

ด้วยธรรมโอสถ  เร่งภาวนาอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยล้าของสังขาร

 

ตั้งปณิธานว่าหากไม่หายก็จะขอตายในถ้ำนี้  ท่านพิจารณาว่านับแต่บวช

 

เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็ได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียรทางใจมาจนเห็นผล

 

แน่ใจต่อทางดำเนินเพื่อมรรคผลนิพพานมาเป็นลำดับ  ถือเป็นหลักยึด

 

ของใจได้พอประมาณ  จึงไม่ควรขี้ขลาดอ่อนแอต่อทุกขเวทนาเพียง

 

เท่านี้....

 

                หลวงปู่มั่นเจริญสติ  พิจารณากาย  เวทนา  จิต  ธรรม  พิจารณา

 

สังขารที่ปรุงแต่งจิตตามหลักสติปัฏฐาน  4  ท่านใช้เวลาตั้งแต่พลบค่ำ

 

ถึงเที่ยงคืนจึงเกิดผล  จิตเริ่มมีกำลัง  โรคเริ่มสงบ  แล้วจิตก็ดิ่งลงสู่

 

สมาธิ  พอจิตสงบถึงที่จึงถอนออกมาอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ  ขณะนั้น

 

บุรุษผู้หนึ่ง  มีร่างกายสูงใหญ่ตัวดำ  สูงราว  10  เมตรได้ปรากฏกายขึ้น

 

พร้อมถือตะบองเหล็กใหญ่เท่าต้นขายาวราว  2  เมตร  เดินปรี่เข้ามา

 

หมายจะทุบตีหลวงปู่ให้จมดิน  โดยอ้างว่าตนมีอำนาจรักษาเขาลูกนี้

 

มานาน  และจะไม่ยอมให้ใครมามีอำนาจเหนือกว่า

 

                “จะมาตีและฆ่าอาตมาทำไม  อาตมาอยู่ที่นี่ไม่ได้เบียดเบียนใคร

 

นอกจากมาบำเพ็ญศีลธรรมอันดีงามเพื่อข่มเหงกิเลสและบาปธรรม

 

ในหัวใจตนเท่านั้น  ท่านไม่สมควรมาทำร้ายและเบียดเบียนคนเช่น

 

อาตมา  ซึ่งเป็นนักบวชทรงศีล  เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าผู้มีใจบริสุทธิ์

 

และมีเมตตาครอบโลกธาตุทั้ง  3  อย่างไม่มีใครเสมอเหมือน”

 

                เจ้าป่าเจ้าเขาตนนั้นยังยืนนิ่งและขึงขัง  ไม่มีทีท่าว่าจะยอม

 

อ่อนข้อลง  หลวงปู่จึงถือโอกาสแสดงธรรมต่อว่า

 

                “ถ้าท่านมีอำนาจเก่งจริงดังที่อวดอ้างมา  ท่านมีอำนาจเหนือ

 

กรรมและเหนือธรรมอันเป็นกฎใหญ่ปกครองมวลสัตว์ในไตรภพ

 

ด้วยหรือไม่”

 

                คำตอบที่ได้รับคือ  “ไม่”

 

                “พระพุทธเจ้าครูของอาตมาเก่งกล้า  สามารถปราบกิเลสตัวที่

 

คอยอวดอำนาจว่าตัวดีตัวเก่ง  ตัวคิดอยากตีอยากฆ่าคนอื่นสัตว์อื่น

 

ให้หมดสิ้นไปจากใจได้  ส่วนท่านที่ว่าเก่งเคยคิดจะปราบกิเลสตัวนี้

 

ให้หมดสิ้นไปบ้างหรือยัง”

 

                คำตอบที่ได้รับคือ “ยัง”

 

                “ถ้ายังก็แสดงว่าท่านมีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางทำตนให้

 

มืดหนาป่าเถื่อน  แต่ไม่มีอำนาจปราบปรามความชั่วของตัวที่กำลัง

 

แผลงฤทธิ์แก่ผู้อื่นอยู่  โดยไม่รู้สึกตัวว่ามีอำนาจแบบก่อไฟเผาตัวเอง

 

นับว่ากำลังทำบาปทำกรรมชั่วหนัก  เสวยผลของกรรมชั่วหนัก  โดย

 

มิได้คิดคำนึงถึงบาปกรรมที่จะฉุดลากท่านลงนรกเพื่อเสวยผลกรรม

 

อันเป็นมหันตทุกข์เลย  อาตมาสงสารท่านยิ่งกว่าอาลัยในชีวิตตนเอง”

 

                แม้ยังแบกตะบองเหล็กไว้บนบ่า  แต่บุรุษลึกลับผู้นั้นยืนฟัง

 

บทสนทนาอย่างนิ่งงัน  ราวกับถูกคำสอนของหลวงปู่มั่นจี้ใจให้พิจารณา

 

ถึงกรรมชั่วที่ตนเคยทำ  ทันใดนั้นตะบองเหล็กก็ตกลงจากบ่า 

 

ร่างสูงทะมึนของบุรุษลึกลับกลับกลายเป็นร่างของคนธรรมดาที่ก้มลงกราบ

 

หลวงปู่มั่น  พร้อมอธิบายว่าการแสดงกิริยาคุกคามจะทุบตีเข่นฆ่าท่านนั้น

 

มิได้ออกมาจากใจจริงแม้แต่น้อยเลย  แต่เกิดจากอวิชชาที่ฝังใจ

 

มานานว่าตนเป็นผู้มีอำนาจในหมู่อมนุษย์ที่ไม่มีศีลธรรม

 

เมื่อได้ฟังธรรมจากสมณะผู้ทรงศีลจึงได้ตระหนักว่า  ฤทธิ์เดชของตน

 

ไม่มีประโยชน์ในการขัดเกลากิเลสเลยแม้แต่น้อย  หนำซ้ำยังเป็น

 

เครื่องมือให้ก่อกรรมทำเข็ญเสียอีก

 

                เจ้าป่าเจ้าเขาขออโหสิกรรมต่อหลวงปู่มั่น  เพราะไม่ต้องการ

 

รับบาปหาบทุกข์ต่อไปในภายภาคหน้า  จากนั้นจึงกล่าวขอพระรัตนตรัย

 

เป็นที่พึ่ง  เพราะซาบซึ้งในธรรมที่หลวงปู่มั่นแสดงให้ฟัง

 

                บทสนทนาธรรมระหว่างหลวงปู่มั่นกับเจ้าป่าเจ้าเขาจบลงด้วย

 

คำถามสุดท้าย  หลวงปู่มั่นถามว่า

 

                “ท่านเป็นใหญ่  มีอำนาจวาสนา  กายก็เป็นกายทิพย์  ไม่ต้องพา

 

หอบหิ้วเดินเหินไปมาให้ลำบากเหมือนมนุษย์  การเป็นอยู่หลับนอน

 

ก็ไม่เป็นภาระเหมือนมนุษย์ทั่วโลกที่เป็นกัน  แล้วทำไมจึงยังบ่นว่าทุกข์

 

อยู่อีก  ถ้าโลกทิพย์ไม่เป็นสุข  แล้วโลกไหนจะเป็นสุขเล่า”

 

                คำตอบที่หลวงปู่มั่นได้รับก็คือ

 

                “ถ้าพูดอย่างผิวเผินและเทียบกับกายมนุษย์ที่หยาบๆ 

 

พวกกายทิพย์อาจมีความสุขมากกว่าพวกมนุษย์จริง  เพราะเป็นภูมิ

 

ที่ละเอียดกว่า  แต่กายทิพย์ก็ย่อมมีทุกข์ไปตามวิสัยของภูมินั้นๆ”

 

                เจ้าป่าเจ้าเขาซึ่งมีสถานะเป็นรุกขเทวดาแห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

 

มีบริวารมากมายอาศัยอยู่ตามป่าเขา  ได้ให้ความกระจ่างเรื่อง

 

โอปปาติกะเทวดาเป็นอย่างดีว่า  แม้มีกายทิพย์  แต่หากจิตยังมีกิเลส

 

เทวดาก็ยังก่อกรรมและพัวพันอยู่กับทุกข์จากผลกรรมที่ตนกระทำ

 

อย่างไม่มีข้อยกเว้น

 

                หากพิจารณาว่าทุกชีวิตบนโลกนี้ต่างเคยเกิดและเคยตายมาแล้ว

 

หลายภพหลายชาติ  เป็นไปได้ว่าหลวงปู่มั่นกับเจ้าป่าเจ้าเขาอาจเคย

 

ประกอบกรรมต่อกันมาแต่หนหลัง  จึงได้มาพบพานข้องเกี่ยวกัน

 

ในชาตินี้  นับเป็นโชคดีของโอปปาติกะเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขา  ที่ท่านก่อ

 

อกุศลกรรมต่อหลวงปู่มั่นไม่สำเร็จ  ไม่ผูกกรรมผูกเวรให้ยืดยาวต่อไป

 

แถมยังได้สัมผัสถึงพลังของศีล  สมาธิ  และปัญญาจากพระสาวกสงฆ์

 

ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  ทำให้จิตอ่อนโยนลงและคงได้พบความสงบ

 

ไปตามลำดับ

 

 

จากหนังสือ “เปลี่ยนเจ้ากรรมนายเวรให้เป็นมิตร”

 

ดร.บรรจบ  บรรณรุจิ

 

สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ พิมพ์ครั้งที่ 1

 




Create Date : 26 มกราคม 2560
Last Update : 26 มกราคม 2560 16:45:54 น. 0 comments
Counter : 543 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นาคสีส้ม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




วัตถุประสงค์ของ blog นี้ :

เนื่องจากส่วนตัวเป็นคนชอบได้หนังสือธรรมะมาจาก
ที่ต่างๆ และมักชอบซื้อมาอ่านเป็นประจำเสมอ
เลยทำให้หนังสือกองเต็มบ้านมากมาย
เวลาจะนำไปบริจาค ก็มักจะเสียดาย เพราะ
บางครั้ง บางที ก็หยิบเล่มเก่าๆมาอ่านอีกรอบ
เวลาใครมาขอรับบริจาคอะไรต่างๆ
มักจะหวงไว้ ไม่ค่อยส่งต่อหนังสือให้ใคร

จนมาคิดว่า ไม่ควรจะหวงไว้
เพราะเนื้อหาค่อนข้างมีประโยชน์
นำมาปรับใช้ในชีวิตได้เป็นอย่างดี
เลยอยากจะแบ่งปันความสุขให้คนอื่นๆ

เลยจัดทำ blog นี้ขึ้นมาค่ะ
ไว้เก็บรวบรวมเนื้อหาที่ได้อ่านแล้ว
มาเก็บไว้ที่นี่ ส่วนหนังสือก็จะนำไปบริจาค
ให้คนอื่น ได้ใช้ประโยชน์ต่อไปค่ะ

สำหรับเล่มไหนที่เพื่อนๆคิดว่าสนุก
ก็สามารถแนะนำได้นะคะ ^__^
Friends' blogs
[Add นาคสีส้ม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.