น.ส.แอน ให้การว่า ก่อนหน้านี้ได้รู้จักกับน.ส.เอ ไม่ทราบชื่อและนามสกุล ผ่านทางโปรแกรมไลน์ จากนั้น น.ส.เอ ได้ชักชวนให้ไปทำงานที่โรงแรมในประเทศบาห์เรน โดยอ้างว่ามีรายได้เดือนละเกือบ 2 แสนบาท นอกจากนี้ยังจัดการจองตั๋วเครื่องบินให้ และออกค่าใช้จ่ายให้ก่อน โดยค่อยหักเมื่อเงินเดือนออก ตนเห็นว่ารายได้ดีจึงตอบตกลง ซึ่งได้เดินทางไปพร้อมกับหญิงไทยอีกคนชื่อ น.ส.น้อย เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา แต่เมื่อไปถึงประเทศบาห์เรน กลับถูกบังคับให้ขายตัว ซึ่งตนได้อ้อนวอนแขกที่มาเที่ยวให้ช่วยเหลือ แขกคนดังกล่าวก็ได้ซื้อซิมโทรศัพท์ให้ตนไว้โทรแจ้งให้ญาติทราบ

น.ส.แอน กล่าวต่อว่า ตนจึงโทรไปหาน.ส.เอ บอกว่าถูกบังคับให้ขายตัวและลูกไม่สบายอยากจะกลับบ้าน แต่ น.ส.เอ บอกว่าหากอยากกลับเมืองไทย ต้องให้ญาติโอนเงินค่าใช้จ่ายจำนวน 70,000 บาทมาให้จึงจะได้กลับ หนูเห็นว่าหมดหนทางแล้ว จึงลองขอความช่วยเหลือจากคุณบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ผ่านทางอินสตาแกรม กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบาห์เรน เข้าช่วยเหลือออกมาได้

ด้าน บุ๋ม ปนัดดา ให้สัมภาษณ์ว่าเมื่อช่วง 3 ทุ่ม ของคืนวันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังเล่นอินสตาแกรมอยู่นั้น น.ส.แอน ได้โพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือ ว่าถูกหลอกขายตัวและกักขังอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศบาห์เรน ตนจึงขอข้อมูลจาก น.ส.แอน พร้อมทั้งโทรศัพท์หาเพื่อนที่ทำธุรกิจอยู่ที่นั่นให้ช่วยประสานตำรวจ และตนกับ เอก เอกริน แฟนหนุ่ม ได้วิดีโอคอลกับน.ส.แอน เพื่อหาพิกัดที่อยู่ของหญิงสาวรายนี้ ก่อนที่จะถูกย้ายตัวไปขังที่อื่น ต่อมาแก๊งดังกล่าวจับได้ว่า น.ส.แอนแอบใช้มือถือ บุ๋มจึงออกอุบายให้ส่งโทรศัพท์ให้ โดยทำทีพูดภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่น ว่าอยากไปทำงานที่นั่นด้วย เพื่อถ่วงเวลาให้ตำรวจเข้าช่วยเหลือจนสำเร็จ

ต่อมา เมื่อตำรวจบุกไปกลับไม่พบตัว แต่บุ๋ม ปนัดดา รู้สึกผิดสังเกตเพราะห้องที่ตำรวจเข้าไปไม่เหมือนกับที่เห็นจากวิดีโอคอล เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า น.ส.แอนถูกขังอยู่ในห้องใต้ดิน นอกจากนี้ บุ๋ม ปนัดดา ยังให้สัมภาษณ์อีกว่า ต้องขอโทษทุกฝ่ายที่ทำลัดขั้นตอนไป แต่นาทีนั้นเสี่ยงไม่ได้ ต้องช่วยให้เร็วที่สุด ตอนนั้นไม่ได้สนใจว่า น.ส.แอนจะตั้งใจไปขายตัวหรือถูกหลอก คิดเพียงแต่ว่าถ้าอยากกลับบ้านต้องได้กลับ