พระอาการวัตตาสูตร





อานิสงส์พระอาการวัตตาสูตร



เมื่อครั้งพุทธกาลพระสารีบุตรได้ปริวิตกในจิตว่าจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ที่ไม่รู้จักบารมีแห่งพระพุทธเจ้าได้อย่างไร จึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า มีธรรมอันใดเล่า ที่จะลึกสุขุมจะห้ามเสียซึ่งหมู่อันธพาลพังกระทำบาปกรรม ทั้งปวงไม่ให้ตกไปในนรกอเวจี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถึงบทพระอาการวัตตาสูตรว่า อานิสงส์ดังนี้ 

ผู้ใดท่องได้ใช้สวดมนต์ปฏิบัติได้เสมอ มีอานิสงส์มากยิ่งนักหนา แม้จะปรารถนาพระพุทธภูมิ พระปัจเจกภูมิ  พระอัครสาวกภูมิ พระสาวิกาภูมิ จะปรารถนามนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ นิพพานสมบัติก็ส่งผลให้ได้สำเร็จสมความปรารถนาทั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เป็นพระพุทธเจ้าปัญญามาก

เพราะเจริญพระพุทธมนต์บทนี้ ถ้าผู้ใดปฏิบัติได้เจริญได้ทุกวันจะเห็นผลความสุขขึ้นเองไม่ต้องมีผู้อื่นบอกอานิสงส์ แสดงว่าผู้ที่เจริญพระสูตรนี้ ครั้งหนึ่ง จะคุ้มครองภัยอันตราย 30ประการได้ 4 เดือน

 ผู้ใดเจริญพระสูตรนี้อยู่เป็นนิจ บาปกรรมทั้งปวงก็จะไม่ได้ช่องหยั่งลงสู่สันดานเว้นแต่กรรมเก่าตามมาทันเท่านั้น ผู้ใดอุตสาหะ ตั้งจิตตั้งใจเล่าเรียนได้ สวดมนต์ก็ดีบอกเล่าผู้อื่นให้เลื่อมใสก็ดี เขียนเองก็ดี กระทำสักการะบูชาเคารพนับถือ พร้อมทั้งไตรทวารก็ดี  ผู้นั้นจะปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จทุกประการ 

ท่านผู้มีปรีชาศรัทธาความเลื่อมใสจะกระทำซึ่งอาการวัตตาสูตร
อันจะเป็นที่พักผ่อน พึ่งพาอาศัยในวัฏฏสงสาร
ดุจเกาะและฝั่งเป็นที่อาศัยแห่งชนทั้งหลายผู้สัญจรไปมาในชลสาครสมุทรทะเลใหญ่ ฉะนั้น 

อาการวัตตาสูตรนี้ พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ที่ปรินิพพานไปแล้วก็ดี
พระตถาคตพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ดี มิได้สละละวางทิ้งร้างให้ห่างเลยสักพระองค์เดียว  ได้ทรงพระเจริญตามพระสูตรนี้มาทุกๆ พระองค์

จึงมีคุณานุภาพยิ่งใหญ่กว่าสูตรอื่นไม่มีธรรมอื่นจะเปรียบให้เท่าถึงเป็นธรรมอันระงับไปโดยแท้ในอนาคตกาล ถ้าบุคคลใดทำปาณาติบาต คือ ปลงชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไปเป็นวัชร กรรมที่ชักนำให้ปฏิสนธิในนรกใหญ่ทั้ง 8 ขุม คือ สัญชีพนรก อุสุทนรก สังฆาตนรก โรรุวนรก ตาปนรก มหาตาปนรก อเวจีนรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน กำเนิดไซร้ ถ้าได้ท่องบ่นทรงจำจนคล่องปากก็จะปิดบังห้ามกันไว้ไม่ให้ไปสู่ทุคติกำเนิดก่อนโดยกาลนาน 90 แสนกัลป์

ผู้นั้นระลึกตามเนืองๆ ก็จะสำเร็จไตรวิชชาและอภิญญา 6 ประการ ยังทิพจักษุญาณให้บริสุทธิ์ ดุจองค์มเหสักข์เทวราชมีการรีบร้อนออกจากบ้านไป จะไม่อดอาหารในระหว่างทางที่ผ่านไป
จะเป็นที่พึ่งอาศัยแห่งชนทั้งหลายในเรื่องเสบียงอาหาร ภัยอันตราย ศัตรู หมู่ปัจจามิตร  ไม่อาจจะมาครอบงำย่ำยีได้ นี้เป็น 

ทิฏฐธรรมเวทนียานิสงส์ปัจจุบันทันตาในสัมปรายิกานิสงส์ ที่จะเกื้อหนุนในภพเบื้องหน้านั้น แสดงว่าผู้ใดได้พระสูตรนี้เมื่อสืบขันธประวัติในภพเบื้องหน้า จะบริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ  หิรัณยรัตนมณีเหลือล้นขนขึ้นรักษาไว้ที่เรือนและที่คลังเป็นต้น ประกอบด้วยเครื่องอลังการภูษิตพรรณต่างๆ

จะมีกำลังมากแรงขยันต่อยุทธนาข้าศึกศัตรูหมู่ไพรีไม่ย่อท้อทั้งจะมีฉวีวรรณผ่องใสบริสุทธิ์ดุจทองธรรมชาติ มีจักษุประสาทรุ่งเรืองงามไม่วิปริตแลเห็นทั่วทิศที่สรรพรูปทั้งปวงและจะได้เป็นพระอินทร์ปิ่นพิภพดาวดึง อยู่ 36 กัลป์ โดยประมาณ และจะได้เป็นบรมจักรพรรดิราชผู้เป็นอิสระในทวีปใหญ่ 4 มีทวีปน้อย 2000 เป็นบริวารนานถึง 26 กัลป์ จะถึงพร้อมด้วยปราสาทอันแล้วไปด้วยทอง ควรจะปรีดา บริบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ

เป็นของเกิดสำหรับบุญแห่งจักรพรรดิราช จะตั้งอยู่ในสุขสมบัติโดยกำหนดกาลนานยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารอานิสงส์คงอภิบาลตามประคองไปให้มีปัญญาฉลาดเฉียบแหลมว่องไวสุขุมละเอียดลึกซึ้ง อาจรู้ทั่วถึงอรรถธรรมด้วยกำลังปรีชาญาณอวสานที่สุดชาติก็จะได้บรรลุพระนิพพาน 

อนึ่งถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานก็จะไม่ไปบังเกิดในอบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน กำเนิดและมหานรกใหญ่ทั้ง 8 ขุมช้านานถึง 90 แสนกัลป์ และจะไม่ได้ไปเกิดในตระกูลหญิงจัณฑาลเข็ญใจ จะไม่ไปเกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิ จะไม่ไปเกิดเป็นหญิง จะไม่ไปเกิดเป็นอุตโตพยัญชนก อันมีเพศเป็น 2 ฝ่าย

จะไม่ไปเกิดเป็นบัณเฑาะก์ เป็นกระเทยที่เป็นอภัพบุคคล บุคคลผู้นั้นเกิดในภพใดๆ
ก็จะมีอวัยวะน้อยใหญ่บริบูรณ์ จะมีรูปทรงสัณฐานงามดีดุจทองธรรมชาติ
เป็นที่เลื่อมใสแก่มหาชนผู้ได้ทัศนาไม่เบื่อหน่าย จะเป็นผู้มีอายุคงทนจนถึงอายุขัยจึงจะตาย

จะเป็นคนมีศีลศรัทธาธิคุณบริบูรณ์ในการบริจาคทานไม่เบื่อหน่าย จะเป็นคนไม่มีโรค-พยาธิเบียดเบียน สรรพอันตรายความจัญไรภัยพิบัติ สรรพอาพาธที่บังเกิดเบียดเบียนกายก็จะสงบระงับดับคลายลงด้วยคุณานิสงส์ ผลที่ได้สวดมนต์ ได้สดับฟังพระสูตรนี้ด้วยประสาทจิตผ่องใส เวลามรณสมัยใกล้จะตายไม่หลงสติจะดำรงสติไว้ในทางสุคติ เสวยสุขสมบัติตามใจประสงค์

นรชนผู้ใดเห็นตามโดยชอบซึ่งพระสูตรเจือปนด้วยพระวินัยพระปรมัตถ์มีนามบัญญัติชื่อว่า อาการวัตตาสูตร มีข้อความดังได้แสดงมาด้วยประการฉะนี้.........




พระอาการวัตตาสูตร

นะโม ตัสสะ ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( 3 จบ )

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ 

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ 

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ 

เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา ราชะคะเห วิหะระติ คิชฌะกูเฏ ปัพพะเต
เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ สัพพะสัตตานัง พุทธะคุโณ ธัมมะคุโณ สังฆะคุโณ 
อายัสมา อานันโท อะนุรุทโธ สารีปุตโต โมคคัลลาโน 
มะหิทธิโก มะหานุภาเวนะ สัตตานัง เอตะทะโวจะฯ

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง 
อิติปิ โส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ 
อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สุคะโต 
อิติปิ โส ภะคะวา โลกะวิทู 
อิติปิ โส ภะคะวา อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ 
อิติปิ โส ภะคะวา สัตถาเทวะมะนุสสานัง 
อิติปิ โส ภะคะวา พุทโธ 
อิติปิ โส ภะคะวา ภะคะวาติ 

( พุทธะคุณะวัคโค ปะฐะโม จบวรรคที่ 1 )

อิติปิ โส ภะคะวา อะภินิหาระ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อุฬารัชฌาสะยะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปะณิธานะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา มะหากะรุณา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปะโยคะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ยุติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ชุตติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา คัพภะโอกกันติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา คัพภะฐิติ ปาระมิสัมปันโน 

( อะภินิหาระวัคโค ทุติโย จบวรรคที่ 2 )

อิติปิ โส ภะคะวา คัพภะวุฏฐานะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา คัพภะมะละวิระหิตะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อุตตะมะชาติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา คะติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อะภิรูปะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สุวัณณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา มะหาสิริ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อาโรหะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปะริณามะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สุนิฏฐะ ปาระมิสัมปันโน

( คัพภะวุฏฐานะวัคโค ตะติโย จบวรรคที่ 3 ) 

อิติปิ โส ภะคะวา อะภิสัมโพธิ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สีละขันธะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สะมาธิขันธะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญญาขันธะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ทะวัตติงสะมะหาปุริสะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน 

( อะภิสัมโพธิวัคโค จะตุตโถ จบวรรที่ 4 ) 

อิติปิ โส ภะคะวา มะหาปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปุถุปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา หาสะปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ชะวะนะปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ติกขะปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา นิพเพธิกะปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจะจักขุ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อัฏฐาระสะพุทธะกะระ ปาระมิสัมปันโน 

( มะหาปัญญาวัคโค ปัญจะโม จบวรรคที่ 5 ) 

อิติปิ โส ภะคะวา ทานะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สีละ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา เนกขัมมะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา วิริยะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ขันติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สัจจะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อะธิฏฐานะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา เมตตา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อุเปกขา ปาระมิสัมปันโน 

( ปาระมิวัคโค ฉัฏโฐ จบวรรคที่ 6 )

อิติปิ โส ภะคะวา ทะสะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ทะสะอุปะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ทะสะปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สะมะติงสะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ตังตังฌานะฌานังคะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อะภิญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สะติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สะมาธิ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา วิมุตติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา วิมุตติญาณะทัสสะนะ ปาระมิสัมปันโน 

( ทะสะปาระมิวัคโค สัตตะโม จบวรรคที่ 7 ) 

อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา วิปัสสะนาญาณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา มะโนมะยิทธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อิทธิวิธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ทิพพะโสตะวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปะระจิตตะปะริยะญาณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ทิพพะจักขุวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อาสะวักขะยะญาณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา จะระณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา จะระณะธัมมะวิชชา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อะนุปุพพะวิหาระ ปาระมิสัมปันโน 

( วิชชาวัคโค อัฏฐะโม จบวรรคที่ 8 ) 

อิติปิ โส ภะคะวา ปะริญญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปะหานะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สัจฉิกิริยา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ภาวะนา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปะริญญาปะหานะ สัจฉิกิริยาภาวะนา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา จะตุธัมมะสัจจะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปะฏิสัมภิทาญาณะ ปาระมิสัมปันโน 

( ปะริญญาวัคโค นะวะโม จบวรรคที่ 9 )

อิติปิ โส ภะคะวา โพธิปักขิยะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สะติปัฏฐานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สัมมัปปะธานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อิทธิปาทะปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อินทรียะปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา พะละปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา โพชฌังคะปัญญา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อัฏฐังคิกะมัคคะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา มะหาปุริสะกิริยา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาวะระณะวิโมกขะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะผะละวิมุตติ ปาระมิสัมปันโน 

( โพธิปักขิยะธัมมะวัคโค ทะสะโม จบวรรคที่ 10 )

อิติปิ โส ภะคะวา ทะสะพะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ฐานาฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา วิปากะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สัพพัตถะคามินีปะฏิปะทาญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา นานาธาตุญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สัตตานังนานาธิมุตติกะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อินทรียะปะโรปะริยัตติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา นิโรธะวุฏฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา จุตูปะปาตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อาสะวักขะยะญาณะ ปาระมิสัมปันโน

( ทะสะพะละญาณะวัคโค เอกาทะสะโม จบวรรคที่ 11 )

อิติปิ โส ภะคะวา โกฏิสะหัสสานังปะโกฏิสะหัสสานัง หัตถีนัง พะละธะระ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะโกฏิทะสะสะ หัสสานังพะละธะระ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจะจักขุญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ยะมะกะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สีละคุณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา คุณะปาระมิสะมาปัตติ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญญาคุณะ ปาระมิสัมปันโน 

( กายะพะละวัคโค ทะวาทะสะโม จบวรรคที่ 12 )

อิติปิ โส ภะคะวา ถามะพะละ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ถามะพะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา พะละ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา พะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อะตุละยะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อุสสาหะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา คะเวสิญาณะ ปาระมิสัมปันโน 

( ถามะพะละวัคโค เตระสะโม จบวรรคที่ 13 ) 

อิติปิ โส ภะคะวา จะริยา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา จะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา โลกัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา โลกัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ญาตัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ญาตัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา พุทธะจะริยา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา พุทธะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ติวิธะจะริยา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปาระมิอุปะปาระมิ ปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน 

( จะริยาวัคโค จะตุททะสะโม จบวรรคที่ 14 ) 

อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุ อะนิจจะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุ ทุกขะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุ อะนัตตะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อายะตะเนสุ ติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อัฏฐาระสะธาตู สุติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา วิปะริณามะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน 

( ลักขะณะวัคโค ปัญจะทะสะโม จบวรรคที่ 15 )

อิติปิ โส ภะคะวา คะตัฏฐานะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา คะตัฏฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา วะสีตะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา วะสีตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สิกขา ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สิกขาญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สังวะระ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สังวะระญาณะ ปาระมิสัมปันโน 

( คะตัฏฐานะวัคโค โสฬะสะโม จบวรรคที่ 16 )

อิติปิ โส ภะคะวา พุทธะปะเวณิ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา พุทธะปะเวณิญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา จะตุพรหมะวิหาระ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาวะระณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา อะปะริยันตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา สัพพัญญุตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน 
อิติปิ โส ภะคะวา จะตุวีสะติโกฏิสะตะวะชิระญาณะ ปาระมิสัมปันโน 

( ปะเวณิวัคโค สัตตะระสะโม จบ 17 วรรค บริบูรณ์ )




Create Date : 15 กันยายน 2556
Last Update : 23 มกราคม 2557 8:34:13 น.
Counter : 2329 Pageviews.

1 comments
  
สาธู
โดย: กมล ผลจินดา IP: 223.204.248.20 วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:0:40:50 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปราชญ์บ้านนอก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]





กันยายน 2556

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30