ชายเข็ญใจทำทาน
ในสมัยพุทธกาล มีชายเข็ญใจคนหนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก ได้ฟังธรรมะ จึงได้รู้ว่าชีวิตของตนที่เกิดมาลำบากเช่นนี้ เพราะไม่เคยให้ทานในกาลก่อน จึงปรารถนาที่จะถวายทานบ้าง แต่เนื่องจากความยากจน จึงหาอาหารตามมีตามได้ถวายพระภิกษุ แต่อาหารนั้นไม่ปราณีตและไม่อร่อย พระภิกษุรับมาแล้วก็ไม่ได้ฉัน ชายเข็ญใจเห็นดังนั้น รู้สึกเนื้อน้อยต่ำใจ ในวาสนาตัวเอง...
ความคิดปรารถนาอย่างแรงกล้าว่า จะถวายทานอันประณีตสักครั้งหนึ่ง จึงปรึกษาภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก สองตายายจึงตัดสินใจนำลูกสาวของตนไปจำนำได้ทรัพมา๑๒กหาปณะ จากนั้นชายเข็ญใจนำเงินไปซื้อแม่โคนมเพื่อนำน้ำนมมาประกอบอาหารแล้วได้เอาไปแด่พระภิกษุสงฆ์ชายเข็ญใจเห็นพระสงฆ์ฉันอาหารของตนจนหมด ก็ดีใจหนักหนา....
เขาจึงปรึกษาภรรยา คู่ทุกข์คู่ยาก จะไปหางานทำที่ต่างเมือง ทำงานหีบอ้อย จะได้นำเงินมาไถ่ตัวลูกสาว ชายเข็ญใจใช้เวลาทำงานอยู่ถึงครึ่งปี จึงได้เงินครบ ๑๒ กหาปณะและตั้งใจจะรีบนำเงินกลับมาไถ่ตัวลูกสาว ในระหว่างทางได้พบพระเถระรูปหนึ่งซึ่งกำลังจะเดินทางไปนมัสการพระเจดีย์ จึงถามพระเถระว่า พระคุณเจ้าท่านจำพรรษาที่ไหนขอรับ
"อาตมาจำพรรษาในป่าอุบาสก" ชายเข็ญใจได้ฟังดังนั้นรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา พระคุณเจ้าฉันข้าวหรือยังครับ "
ยังเลยอุบาสก " ขอนิมนต์พระคุณเจ้ารอตรงนี้ก่อน " ว่าแล้วเขาก็วิ่งไปหาอาหาร เผื่อจะมีอะไรบ้างโชคดีเจอชายตัดฟืนถืออาหารผ่านมา เขาจึงร้องขอซื้ออาหาร
"สหายเอ๋ย!!!! ห่อข้าวของท่าน ขายได้หรือไม่ ผมให้ ๑ กหาปณะ"
ชายตัดฟืนได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ ห่อข้าวเล็กๆของเราขอซื้อตั้ง ๑ กหาปณะ แสดงว่าชายผู้นี้มีเงิน จึงคิดจะโก่งราคา " ไม่ยอมขาย "ชายเข็ญใจได้เพิ่มเงินขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ยอมขาย ชายเข็ญใจจึงตัดสินใจพูดว่า
สหายเอ๋ย!!! เงินของเรามีอยู่ ๑๒ กหาปาณะ เราไม่ได้ซื้อเพื่อประโยชน์ตนเลย แต่ซื้อเพื่อไปถวายพระซึ่งท่านนั่งพักอยู่ที่โคนไม้โน่น ถ้าท่านขาย ท่านก็จะมีส่วนแห่งบุญในภัตตาหารนั้นด้วย ชายตัดฟืนจึงยอมขายอาหารให้
ชายเข็ญใจดีใจหนักหนา น้อมภัตตาหารไปถวายพระเถระ พระเถระรับเพียงมาครึ่งเดียวเพื่อให้เขาได้รับประทานอาหารด้วย แต่ชายเข็ญใจกล่าวว่า
"นิมนต์เถิดพระคุณเจ้าอาหารนี้เหมาะสำหรับบุคคลเดียวถึงจะอิ่ม อย่าได้ห่วงเกล้ากระผมเลย "
พระเถระจึงยอมรับอาหารทั้งหมดมาฉัน พระเถระแปลกใจในป่าเช่นนี้เขานำอาหารมาจากไหน ชายเข็ญใจจึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง และกำลังจะไปไถ่ตัวลูกสาว พระเถระฟังแล้วรู้สึกสลดใจ ชายเข็ญใจผู้นี้กระทำสิ่งที่ยาก เราไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พ่อ แม่ หรือพี่น้อง ทำไมเขาถึงกล้าทำขนาดนี้ เพราะเขาต้องการบุญจากเรา แต่เรายังไม่คุณธรรมอันใดเลย ท่านคิดดังนั้นก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้
ท่านจึงตัดสินใจ "เราจะทำทานนี้ให้เป็นอรหันตทาน"
( ทานที่ถวายก่อนบรรลุอรหันต์ ทานนั้นจะมีผลมาก) ต่อไปนี้เราจักไม่ฉันอาหารจากใคร และจะไม่รับของใคร )
แม้เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป หากไม่บรรลุธรรมก็จะไม่ลุกจากที่เด็ดขาด
ล่วงไปวันที่สองและวันที่สามก็ยังไม่สามารถยังคุณธรรมให้สำเร็จได้ จนกระทั่งลุถึงวันที่เจ็ด พระมหาเถระก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พร้อมจตุปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อบรรลุธรรมแล้ว จึงพิจารณาอายุสังขาร รู้ว่าจะไม่สามารถดำรงธาตุขันธ์อยู่ได้ ท่านจึงเดินออกมาเคาะระฆัง
" ผู้ใดสงสัยในธรรมข้อใดจงถามเถิด "
เจ้าอาวาสท่านก็เป็นพระอรหันต์เช่นกันถามว่า
"อาวุโสปัญหาไม่มีสำหรับกระผม แต่เหตุใดท่านถึงทำความเพียรอุกฤษฏ์เช่นนี้"
ท่านจึงได้เล่าเหตุการณ์ให้พระภิกษุสงฆ์และบรรดาบริษัทที่นั่งฟัง ทุกคนก็มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ ต่างคนต่างก็ร้องไห้สงสารพระมหาเถระ ที่สู้อุตสาหะกระทำความเพียรโดยมิได้หลับได้นอน ทั้งอดอาหารมาตลอด ๗ วัน จนอายุสังขารจะขาดสิ้นเข้านิพพานในวันนี้ ก็เพราะเหตุที่มีกตัญญูรู้คุณค่าแห่งอาหาร ประสงค์จะให้บิณฑบาตของเขาเป็น อรหันตทาน จนได้สำเร็จสมความปรารถนาพระมหาเถระเล่าจบ พระมหาเถระก็ได้อธิษฐาน
" แม้ใครๆในโลก ทั้งเทวโลก อย่าได้ยกศพข้าพเจ้าขึ้นเลย ยกเว้นอุบาสกเข็ญใจผู้นั้นมาถึงแล้ว ขอให้ศพนี้จงลอยขึ้น พร้อมด้วยไฟเถิด.."
อธิษฐานเสร็จ ท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ข่าวนี้ลือสะพัดออกไปมีคนมาร่วมงานศพของท่านจำนวนมากพร้อมพระราชา แต่ไม่มีใครสามารถคลื่อนศพของท่านได้ พระราชาจึงได้ตรัสถามว่า ก่อนพระมหาเถระได้นิพพานได้กล่าวอะไรไว้บ้าง เจ้าอาวาสจึงได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง พระราชาจึงให้ตีฆ้องร้องหาอบาสกเข็ญใจคนนั้น อุบาสกเข็ญใจได้ฟังข่าว ก็เดินทางมากราบนมัสการ เห็นศพพระเถระก็จำได้ จึงวิ่งเข้าไปกอดศพแล้วก็ร้องให้
"ข้าแต่พระคุณเจ้า เหตุใดท่านจึงจากข้าพเจ้าไปเร็วนัก ข้าพเจ้าพึ่งเห็นท่านไม่นานเลย "
กล่าวจบศพของพระมหาเถระก็ลอยขึ้นกลางอากาศ พร้อมไฟก็เผาท่านกลางอากาศ ผู้คนต่างรู้สึกต่างอัศจรรย์ ไม่เคยมีไม่เคยเห็นในกาลก่อน พระราชารู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในคุณธรรมของชายเข็ญใจ กรรมที่ทำได้โดยยาก จึงตั้งให้เขาเป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง......................