|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
คืนวันที่ฟ้าโอบกอด
บนยอดดอยหลวงเชียงดาว
ค่ำวันที่ 9 ธันวาคม 2548 ขณะที่คนในเมืองกรุงกำลังตื่นเต้นกับการเปิดตัวของห้างยักษ์ใหญ่กลางเมือง ผมและเพื่อนๆอีกกลุ่มหนึ่งก็กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการคืนกลับสู่ธรรมชาติ สู่ขุนเขา สายหมอกและดอกไม้บนยอดดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่หมอชิตเย็นวันนั้น คราคร่ำไปด้วยผู้คน ต่างจิตต่างใจ ต่างพ่อต่างแม่ และต่างจุดหมายในการเดินทาง สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนพยายามจะแทรกตัวเองออกจากมหานครอันวุ่นวาย เพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางในวันหยุดยาวสุดสัปดาห์ของแต่ละคน
9 ชั่วโมงให้หลัง พวกเราพบตัวเองกำลังยืนอยู่ที่หน้าสถานีขนส่งอาเขต จ.เชียงใหม่ หลังจากล้างหน้าล้างตาและทักทายสหายเจ้าถิ่น เราเริ่มออกเดินทางสู่อำเภอเชียงดาวด้วยรถกระบะคันงามที่บรรทุกพวกเราทั้ง 12 ชีวิตและสัมภาระทั้งส่วนตัวและกองกลางซะเต็มแปร้ หลังแวะเติมพลังมื้อเช้าพร้อมจับจ่ายเสบียงสำหรับมื้อกลางวันกันที่กาดแม่มาลัยแล้ว จุดหมายต่อไปของเราก็คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว ที่ที่ดอยหลวงเชียงดาวตั้งตระหง่านเป็นปราการใหญ่เพื่อรอให้เราขึ้นไปสัมผัสความงามที่แท้จริง
จากที่ทำการเขตรักษาฯ ที่เราแวะมาทำการลงทะเบียนและจัดเตรียมสัมภาระส่วนตัวให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมสำหรับการเดินขึ้นดอย พร้อมทั้งเปลี่ยนพาหนะมาเป็นเจ้า 4WD ขาลุย ที่จะนำเราขึ้นสู่หน่วยพิทักษ์ป่าเดินหญ้าขัด ระหว่างทางถึงหน่วยฯเด่นหญ้าขัดเป็นเส้นทางขึ้นเขา ลาดชันและลื่นไหลแทบตลอดเส้นทาง บางจังหวะรถเกือบเสียหลัก พาให้พวกเราใจตุ๊มๆต่อมๆกันพอหอมปากหอมคอ ในที่สุดก็ถึงจุดตรวจสันป่าเกี๊ยะ เพื่อพักรถและพักกายอันเมื่อยขบของพวกเรา จากจุดตรวจสันป่าเกี๊ยะขึ้นไปอีกราวครึ่งชั่วโมงเศษ เราก็มาถึงหน่วยฯเด่นหญ้าขัด จุดเริ่มต้นเดินเท้าของพวกเรา เวลาตอนนั้นใกล้เที่ยงเข้าไปเต็มที่ อีกทั้งข้าวหน้าเป็ดที่ฟาดกันมาจากแม่มาลัยก็ได้มลายหายไปกับการกระแทกกระทั้นระหว่างทางมาที่เด่นหญ้าขัดเรียบร้อยไปหมดแล้ว และวลีที่กล่าวว่า กองทัพเดินด้วยท้อง ก็ถูกนำมาใช้กับพวกเราอีกครั้ง ใช้เวลากันไม่นานนัก ใส้อั่วกับข้าวเหนียวจิ้มกับน้ำพริกหนุ่มก็ถูกเรากำจัดไปซะเกือบหมด แล้วเวลาที่พวกเรารอคอยก็มาถึง
.
บ่ายโมงตรงเป็นเวลาที่เราเริ่มเดินเท้าจากหน่วยฯเด่นหญ้าขัด ระหว่างทางมีพันธุ์ไม้ให้เราได้ชื่นเชยอยู่เป็นระยะๆ ทั้งพันธุ์ไม้ทั่วไป และพันธุ์ไม้หายาก จากระดับที่สูงขึ้นและสูงขึ้น พวกเราไต่ไปตามทางที่ทั้งลื่นและแคบ บางช่วงก็กว้างพอที่จะเดินแบบเกาะกลุ่มกันได้ บางช่วงก็แคบชนิดที่ต้องเดินเรียงเดี่ยวเท่านั้น ผ่านเนินแล้วเนินเล่า บ้างก็หยุดพักเหนื่อย บ้างก็หยุดถ่ายภาพ บ้างก็หยุดชมวิวข้างทาง ฯลฯ ตามแต่ใจจะเรียกร้อง ในที่สุดเงาดำทะมึนของยอดดอยหลวงเชียงดาวก็ปรากฏตรงหน้าของเรา ยังมองเห็นอะไรไม่ชัดนัก เนื่องจากเวลาที่เราไปถึงจุดพักแรมอ่างสลุง(ที่ตีนดอยหลวงฯ)ก็ปาเข้าไป 6 โมงครึ่งแล้ว รวมเวลาเดินขึ้นดอยทั้งหมด 5 ชั่วโมงครึ่งพอดิบพอดี
Create Date : 30 ธันวาคม 2548 |
Last Update : 30 ธันวาคม 2548 11:45:52 น. |
|
15 comments
|
Counter : 737 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Mr.Vop วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:11:57:36 น. |
|
|
|
โดย: ปะการังหอม วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:16:28:41 น. |
|
|
|
โดย: พลอยสีสวย วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:23:06:21 น. |
|
|
|
โดย: BBwindy วันที่: 1 มกราคม 2549 เวลา:1:05:42 น. |
|
|
|
โดย: Ke@iNuRen วันที่: 1 มกราคม 2549 เวลา:10:47:11 น. |
|
|
|
โดย: vodca วันที่: 1 มกราคม 2549 เวลา:14:59:07 น. |
|
|
|
โดย: nickky_wan วันที่: 5 เมษายน 2549 เวลา:15:18:05 น. |
|
|
|
โดย: c IP: 210.86.215.211 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:8:56:53 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ก่อนนอน เราเฝ้าภาวนาว่าขอให้พรุ่งนี้เช้าฟ้าเปิดเพื่อให้เราได้ขึ้นไปถ่ายภาพทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดกิ่วลม และคืนนั้นพวกเราก็หลับกันอย่างเต็มอิ่มเพราะเดินกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งวันแล้ว
ตีห้าครึ่งวันต่อมา ผมโผล่หัวออกมานอกเต็นท์ตามเสียงเรียกของเพื่อน พลันที่ผมแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ภาพที่เห็นก็คือดวงดาวเต็มท้องฟ้า ผมและเพื่อนๆดีใจกันยกใหญ่ ฟ้าเปิดให้เราชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
ว่ากันว่า การได้บูชาอาทิตย์ยามเช้าของวันใหม่เป็นสิ่งที่สดใสและดีงามกว่าการส่งอาทิตย์ให้ลับขอบฟ้าเป็นไหนๆ
และเช้านี้ พวกเรากำลังจะขึ้นไปต้อนรับพระอาทิตย์บนยอดดอยกิ่วลมแห่งเทือกดอยหลวงเชียงดาว ..
ใช้เวลาเดินขึ้นยอดกิ่วลมประมาณ 30-40 นาที เราก็มาถึงจุดพักแรกซึ่งเป็นจุดที่สามารถชมวิวได้ บางคนก็หยุดแค่จุดนี้ ส่วนผมและเพื่อนๆอีก 3-4 คนก็ตะกายต่อขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของดอย แล้วธรรมชาติก็มอบของขวัญที่พิเศษสุดให้กับพวกเรา ทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตา อัดแน่นและเป็นปุยขาวราวกับปุยนุ่น อยู่ล้อมรอบตัวเราทั้ง 360 องศา มองไปด้านหน้าก็เป็นมุมพระอาทิตย์ขึ้น มองไปด้านหลังก็เห็นดอยสามพี่น้องและดอยปิรามิดยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางทะเลหมอกสีขาวนวลตา
ภาพทะเลหมอกสุดอลังการนี้สะกดสายตาผมและเพื่อนๆอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็เป็นเสียงรัวชัตเตอร์กันราวกับมีสงครามย่อยๆเกิดขึ้น เราถ่ายภาพทะเลหมอกกันจนหนำใจ ทั้งมุมโน้นมุมนี้ ยิ่งสายก็ยิ่งสวย มีแต่เสียงร้อง ว้าว ว้าว กันตลอดเวลา
พอได้เวลาท้องร้อง เราก็เดินลงจากยอดดอยเพื่อจัดการกับมื้อเช้าและตระเตรียมสำหรับมื้อกลางวันต่อไป โปรแกรมของวันนี้คือเราจะกลับขึ้นยอดดอยกิ่วลมกันอีกครั้งหลังอาหารเช้า เพื่อชมพืชพรรณต่างๆและกินอาหารกลางวันเคล้าสายหมอกกันบนยอดดอย
เมื่อตอนเช้ามืดเรามัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินโดนไม่ได้สังเกตรอบตัว แต่พอเราขึ้นไปตอนสว่างแล้ว ทำให้เราได้พบกับความมหัศจรรย์แห่งพรรณพืชบนยอดดอยแห่งนี้ ที่นี่เป็นสังคมพืชกึ่งอัลไพน์ พรรณไม้หลายชนิดไม่สามาถพบได้ที่อื่น บางชนิดหายากมาก พบได้เฉพาะที่ดอยหลวงเชียงดาวที่นี่ที่เดียวเท่านั้น ดังจะสังเกตได้จากชื่อที่ตั้งไว้ให้รู้เลยว่าเป็นพืชเฉพาะถิ่นที่นี่เท่านั้น เช่น ชมพูเชียงดาว กุหลาบขาวเชียงดาว เทียนเชียงดาว แอสเตอร์เชียงดาว ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีพรรณไม้ที่โดดเด่นทั้งสวย ทั้งแปลก และมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวอยู่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทียนนกแก้ว ที่ให้ดอกเป็นรูปร่างเหมือนนกแก้ว, ค้อเชียงดาวหรือปาล์มรักเมฆ ที่สามารถขึ้นได้ในสภาพหินปูนและยืนต้นท้าแรงลมอยู่ตามไหล่เขาได้อย่างน่าอัศจรรย์, เหยื่อจงหรือเทียนหมอคา ซึ่งเป็นเทียนที่ใหญ่ที่สุด, ชมพูพิมพ์ใจ ที่มีกลิ่นหอมชวนให้ดมดอมเสียเหลือเกิน หรือแม้แต่กุหลาบเลื้อยเชียงดาวหรือศรีจันทรา ที่เค้าว่าสวยงามยิ่งนักยามที่มันต้องแสงจันทร์ในเวลาค่ำคืน .
ในการขึ้นยอดดอยครั้งนี้ เราได้เห็นร่องรอยของกวางผาหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าม้าเทวดาด้วย เป็นรอยที่เขามาตะกุยดินเพื่อหากิน พี่วารินทร์ซึ่งเป็นคนนำทางของเราบอกว่า เป็นรอยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง เสียดายก็แต่ว่าเราไม่มีโอกาสได้เห็นตัวของเขาเลย