และหนึ่งในไฮไลท์อีกที่ของไต้หวัน ก็คือ "ทะเลสาบสุริยันจันทรา" หรือ "Sun Moon Lake" ที่นี่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นทะเลสาบที่งดงามราวกับภาพวาดเปรียบเสมือนสวิสเซอร์แลนด์แห่งไต้หวัน ซึ่งถือว่าเป็นทะเลสาบที่มีลักษณะภูมิประเทศโดเด่น มีภูเขาสลับซับซ้อนล้อมรอบ ทำให้ด้านหนึ่งของตัวทะเลสาบมองดูคล้ายพระอาทิตย์ และอีกด้านหนึ่งมองดูคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ซึ่งเป็นที่มาของทะเลสาบแห่งนี้ แต่น่าเสียดายวันที่ไปถึงหมอกลงจัด เลยมองไม่ค่อยเห็นอะไร แต่กลัวไม่มีใครเชื่อว่าได้มา ก็เลยต้องขอแวะถ่ายกับป้ายก็ยังดี
เช้าวันรุ่งขึ้น ก็เดินทางถึงอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ และเป็นสถานที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะมาที่นี่ ตามบทเพลง "เกาซางซิง" หรือที่เรารู้จักกันในนาม "อุทยานอาลีซัน" นั่นเอง การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างลำบาก และต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงในการขึ้นเขาอันมีเส้นทางที่คดเคี้ยวและหวาดเสียวพอสมควร ที่นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาะไต้หวัน มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 2,700 เมตร เมื่อขึ้นมาถึงที่นี่ ความเหนื่อยล้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง เนื่องจากที่นี่สวยงามมากจริงๆ มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ทั้งป่าไม้ เทือกเขา ลำเนาไพร สมบูรณ์จนหาที่อื่นเปรียบไม่ได้
ธรรมชาติของที่นี่ ได้รังสรรค์สิ่งสวยงามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นป่าสน 2,000 ปี ทิวสนตั้งเรียงตระหง่าน พริ้วตามลมอย่างเป็นธรรมชาติที่สวยงาม กับหมอกจางๆ รวมไปถึงความแปลกตาของต้นไม้ที่ก่อเกิดเป็นรูปต่างๆ เช่น "รูปหมู" หรือ "รูปหัวใจ" และรูปร่างอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งทำให้เป็นที่ประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นอย่างยิ่ง
วันที่มาที่นี่ อากาศเย็นกำลังสบายๆ อุณหภูมิประมาณ 5 องศา แม้ว่าจะเดินกว่า 2 ชั่วโมงบนนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมาก แต่กลับได้ซึมซับความงดงามของธรรมชาติของที่นี่ หลังจากได้เวลาพอสมควรไกด์ใจดีของพวกเราก็พาเรานั่งรถไฟลงมาจากยอดเขา ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี
วันรุ่งขึ้น คณะของเราเดินทางกลับมาที่ไทเป เมืองหลวงของเกาะไต้หวัน โดยจุดแรกที่เราเยี่ยมเข้าชมคืออนุสรณ์สถาน "จงเรียฉือ" อนุสรณ์สถานี้สร้างขึ้น เพื่อระลึกถึงวีรบุรุษที่สละชีพเพื่อชาติ ในสมัยปฏิวัติล้มราชวงศ์แมนจู และรวมประเทศต่อต้านญี่ปุ่นจนถึงยุคปราบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นที่สักการะดวงวิญาณ ของทหารจำนวน 330,000 คน ที่สังเวยชีวิตในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่น ที่นี่จะมีการผลัดเปลี่ยนเวรยามของทหาร ที่ได้รับการฝึกอย่าง เคร่งครัดโดย ทหารจะเดินสับเปลี่ยนเวรยามทุกชั่วโมงตั้งแต่ตอนเช้า และถือเป็นการเปลี่ยนผลัดที่มีความเข้มแข็งสวยงามติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก ไม่แพ้พระราชวังบั๊กกิ้งแฮม เลยทีเดียว
หากใครถามว่า ของฝากขึ้นชื่อที่นี่คืออะไร ก็คงเป็น "เค้กไส้สับปะรด" ใครที่มาไต้หวันส่วนใหญ่จะแวะมาที่ "ร้านขนมเหว่ยเก๋อ" เป็นร้านเล็กๆ ซึ่งเป็นร้านยอดนิยมของคนไต้หวันและนักท่องเที่ยวที่มักจะซื้อของฝากที่นี่โดยเฉพาะเค้กไส้สับปะรดที่เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ อันที่จริง เค้กที่นี่ราคาก็แพงใช้ได้ทีเดียว กล่องหนึ่งมี 10 ชิ้น ตกกล่องละ 360 เหรียญไต้หวัน (ประมาณ 400 กว่าบาท) และหากไปเดินตามตลาดเราอาจจะเห็น "เค้กไส้สับปะรด" ในราคาถูกกว่าประมาณร้อยเหรียญ แต่ถ้าเทียบรสชาติกันแล้วก็ต้องบอกว่าแตกต่างกันตามราคาเหมือนกัน ซึ่งแนะนำว่าหากจะซื้อเป็นของฝาก ซื้อแพงกว่าหน่อยแต่ก็อร่อยกว่าจริงๆครับ
จากนั้นคณะเราเดินทางมาที่ "พิพิธภัณฑ์กู้กง" อันที่จริงเมื่อครั้งที่ผมและมาม้าไปเที่ยวปักกิ่งเมื่อ 7 ปีก่อน ได้มีโอกาสเยี่ยมชม "พระราชวังกู้กง" มาแล้ว แต่มีคนกล่าวไว้ว่า เปลือกของกู้กงอยู่ที่ปักกิ่ง แต่หัวใจของกู้กงนั้นอยู่ที่ไต้หวัน หลังจากที่เจียงไคเช็คลี้ภัยมาที่เกาะไต้หวัน เนื่องจากแพ้ต่อคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตุงก็ได้นำสมบัติล้ำค่าของที่กู้กงจากเมืองปักกิ่ง มารวบรวมไว้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ พิพิธภัณฑ์นี้ได้รวบรวมของล้ำค่าในพระราชวังกู้กงของปักกิ่งไว้ทั้งหมดกว่าหกแสนชิ้น รวมถึงของล้ำค่าหายากต่างๆ เช่น หยกผักกาดขาว หยดหมูสามชั้น ตราประทับฮ่องเต้ เป็นต้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะครับ ใครอยากจะเห็น คงต้องไปเยี่ยมชมเอง แต่ขอบอกว่าคนเยอะมากกกก
และไฮไลท์ที่ขาดไม่ได้สำหรับทริปนี้ หากไม่ได้มาที่นี่ก็คงจะมาไม่ถึงเมืองไทเปกับ "ตึกไทเป 101" ที่มาของตึกนี้น่าจะเป็นเพราะความสูงของตึกที่มี 101 ชั้น ซึ่งเคยเป็นตึกที่มีความสูงที่สุดในโลก มีความสูงถึง 508 เมตร สร้างขึ้นโดยหลักวิศวกรรมชั้นเยี่ยมที่สามารถทนทานต่อการสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว โดยชั้นล่างของตึกเป็นเหมือนห้างที่มีแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมต่างๆมากมาย
แต่กว่าจะได้ขึ้นไปบนตึกชมวิวนั้น ก็ใช่ว่าจะขึ้นไปได้ง่ายๆ ยิ่งช่วงที่ไปเป็นช่วง High Season เรียกได้กว่าจะขึ้นไปได้รอคิวยาวเป็นหางว่าวกันเลยทีเดียว ยังดีระหว่างรอคิวมีกิจกรรมให้ถ่ายรูปพร้อมฉากตึกไทเป 101 ก็เลยรู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้นมานิดหนึ่ง
และอีกหนึ่งความเป็นที่สุดของที่นี่ก็คือ ระบบลิฟท์โดยสารที่ถือว่ามีระบบที่เร็วที่สุดในโลก โดยใช้เวลาจากชั้นล่างสุด ถึงจุดชมวิวที่ชั้น 89 เพียงแค่ 37 วินาทีแค่นั้นเอง เพียงไม่กี่อึดใจ เราก็ได้มาชมวิวจากภายในตึกแบบ 360 องศา แบบเห็นทิวทัศน์นครไทเปรอบด้าน จริงๆจะว่าไปแล้วก็คล้ายๆตึกใบหยกบ้านเราเหมือนกันนะครับ
นอกจากนี้ ตึกนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งนั่นคือ ลูกตุ้มเหล็กขนาดยักษ์หนัก 662 ตัน เส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เมตรที่แขวนไว้ระหว่างชั้นที่ 88-92 ทางไกด์ได้บอกว่าเป็นอุปกรณ์เสริมความมั่นคงของตึก คอยช่วงถ่วงการเคลื่อนไหวนของตึกเวลามีกระแสลมหรือแผ่นดินไหวได้เป็นอย่างดี
และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทาง เป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางที่นี่ก็คือ "อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค" อนุสรณ์สถานที่นี่เป็นตัวอาคารทำด้วยหินอ่อนทั้งหลัง มีลักษณะการก่อสร้างคล้ายวิหารเทียนถันที่ปักกิ่ง ชาวไต้หวันสร้างที่นีขึ้นเพื่อเป็นที่รำลึกผู้นำเจียงไคเช็ค ที่คนไต้หวันรักใคร่เป็นอย่างมาก โดยภายในเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมชีวประวัติ พิพิธภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัว และรูปภาพประวัติศาสตร์สำคัญที่หาดูได้ยากของผู้นำประเทศ "เจียงไคเช็ค" รวมถึงความเป็นมาและประวัติศาสตร์ของเกาะไต้หวันแห่งนี้ด้วย หากใครอยากรู้ประวัติศาสตร์ของไต้หวัน รับรองมาที่นี่ไม่พลาดแน่นอน
กับ 5 วัน 4 คืนที่นี่ แม้จะเป็นเวลาที่ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ผมได้พบกับความสวยงามตามธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมรวมถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างญี่ปุ่นและจีนได้อย่างกลมกลืน ทำให้ดินแดนแห่งนี้มีเสน่ห์ยากที่จะลืมเลือน ขอบคุณไกด์ชางที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ รวมถึงความเป็นมาของแต่ละสถานที่ ทำให้เราได้เข้าใจและเพลิดเพลินกับสถานที่ต่างๆได้ดีขึ้น ขอบคุณคุณจอย คุณเต้ ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ขอบคุณเพื่อนร่วมทัวร์ทุกท่านสำหรับมิตรภาพที่ดีตลอดการเดินทางในครั้งนี้ โดยเฉพาะพี่หน่อยและพี่โย่ง ถ้าไม่มีพี่ทั้งสองคน ทริปนี้ก็คงจะไม่มีภาพคู่แม่ลูกสวยๆของเราสองคนมากมายขนาดนี้ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งทริปที่คงจะอยู่ในความทรงจำของผมและคุณแม่ผมไปอีกนานแสนนาน