ตุลาคม 2551

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
21
22
23
24
26
27
28
30
31
 
 
๑. กว่าจะรู้ตัว..ก็เกือบหมดไฟ


ทุกคน ก็คงมีฝัน แตกต่างกันไป ว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร




เราเองก็เคยมีฝันว่าอยากจะเป็นไกด์  แต่โชคชะตา และความโง่ของตัวเองพาไป




ทำให้ได้เรียนได้ทำงานหลายอย่าง 




ในความหลากหลายนั้น อยากจะบอกตามจริงว่า เอาดีไม่ได้สักอย่าง Smiley




รู้ก็รู้เหมือนเป็ด ครึ่งๆ กลางๆ ไม่เก่งจริงๆ จังๆ สักอย่าง แค่พอเอาตัวรอด ถูๆ ไถๆ ไปวันๆ


จนกระทั่งวันรับปริญญาจะมาถึง


(กว่าจะถึงวันนั้น พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ปู่ย่า ตายาย เพื่อนสนิท มิตรสหาย รอกันแล้วรอกันเล่า 5555555) เราคิดว่า เราจะแต่งหน้าทำผมเอง จะได้ไม่เปลืองมาก เพราะว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีกเยอะ


ถ้าจ้างช่างแต่งครั้งเดียว คิดว่า เอาเงินไปซื้อเครื่องสำอางดีกว่า เก็บไว้ใช้ได้นาน แต่งไปทำงานได้อีกด้วย


จึงเริ่มค้นคว้าหาข้อมูล ที่แรกเลยก็ในสวนลุม พันทิป แหล่งสิงสถิตย์ประจำของเราอยู่แล้ว


อย่างแรกไปตัดผมให้เป็นทรง แล้วก็ไปเดินเลือกเดินซื้อของดี ราคาถูกด้วยตัวเอง ว่าจะเอายังไง อยากจะได้แบบไหน


เมื่อวันซ้อมใหญ่มาถึง ปรากฏว่าเราก็ทำเองทุกอย่างค่อนข้างดี ก็มานั่งนึกว่า เอ..ฉันก็ทำได้นี่นา ฉันก็รู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ถ้าวันนึง ฉันไม่รู้ว่าฉันจะไปทางไหน ฉันจะหันมาเอาดีทางนี้ดีไหมนะ?




งานรับปริญญาผ่านไปได้ด้วยดี



หลังจากนั้นเราได้งานทำ เป็นบ.แห่งหนึ่ง


งานคือเป็นประชาสัมพันธ์และฝ่ายขาย มีหน้าที่ให้ข้อมูล และรับสายขายตั๋วทางโทรศัพท์ 


แต่เวลาเข้างานไม่เป็นเวลา เข้า เช้าๆ (ตี๔, ๖โมง) สายๆ ( ๘,๙,๑๐,๑๑) บ่ายๆ (๑,๒,๓) เปลี่ยนไปเรื่อย แล้วแต่เขา


เคยครั้งหนึ่งแบบว่า วันนึงออกเวรเที่ยงคืน อีกวันเข้าเช้า ตี ๔ คุณเชื่อไหม?


เขาจัดกะอะไรกันนี่



สายแม้แต่ ๑ นาที ก็จะโดนเหล่


ต้องมาก่อนเวลาทำงาน ๑๕ นาทีด้วย ไม่อย่างนั้นแล้ว คุณจะอดเบี้ยขยัน


คุณต้องทำงานจนถึงเวลาเลิกงานเป๊ง! คุณถึงจะสรุปยอดปิดบัญชี แล้วส่งยอดหัวหน้าได้ กว่าจะเสร็จประมาณครึ่งชม. หรือมากกว่านั้น


วัสดุสำนักงาน จำพวก กระดาษรายงาน ปากกา ลิควิด ต้องเตรียมไปเองแทบทุกอย่าง


คอมเปิดได้โปรแกรมเดียวคือโปรแกรมขายตั๋วเท่านั้น!


ที่ทำงานโทรออกไม่ได้ เกิดมีปัญหากับลูกค้า ต้องไปขออนุญาตหัวหน้า และเขียนบันทึกไว้ว่า โทรหาใคร โทรเมื่อไหร่ โทรกี่นาที 


ดูมันยุ่งยากมากใช่ไหมคะ  เพื่อนร่วมงานก็เลยแก้ปัญหาแบบว่า เปิดโปรโมชั่นมือถือตัวเองให้เป็นบุฟเฟต์ จะได้สะดวกโทรได้ทันทีเลย


อุ๊ย! เผลอนินทาที่ทำงานเก่ามานาน




อย่าถามนะคะว่าที่ไหน ผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วไป


ด้วยความที่ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพาย


พ่อแม่ และน้องสาว จึงเห็นดีเห็นงามว่า ส่งมันไปหาเงิน และอยู่กับน้องที่อเมริกาดีกว่า


ในระหว่างช่วงเตรียมเอกสาร และขอวีซ่า


และด้วยความอึดอัด ที่ที่ทำงานเหมือน รร.ประจำ


เราจึงตัดสินใจ ออกมาแบบกระทันหัน


ทีนี้ก็ว่างแล้ว ก็มีเวลาตามหาฝันของตัวเองกันอีกที


อย่างแรกเลย อยากเปิดร้านขายเสื้อผ้าคนอ้วน




เพราะร้านที่มีขายๆ อยู่มันไม่ถูกใจเดี๊ยนฮ่ะ  ทำไมหรือคะ  ก็ส่วนใหญ่ ไซส์มันใหญ่อย่างเดียว


อย่างกับผ้าห่อควาย ไม่ได้สวย หรือช่วยให้คนอ้วนดูดีขึ้นเลย


ไปเสียตังค์ลงเรียนคอร์ส ออกแบบเสื้อผ้าระยะสั้น (สั้นจริงๆ แค่สองวัน)


อ. สอนดีมาก แต่ว่าหัวเรามันไม่ไป แถมทิ้งด้านศิลปะ ขีดๆ เขียนๆ มานาน วาดไม่ออก คิดไม่ไป


แต่ก็เข้าใจหลักการที่เขาสอนบ้าง  และก็เคยอ่านหนังสือพวกการแต่งกายมาบ้าง


สรุปว่าคอร์สนี้ ไม่ประสบความสำเร็จสำหรับเราอีกตามเคย เฮ้อ! เสียดายเงิน









เราก็เริ่มค้นข้อมูลจากในเน็ต ที่ไหนมี ที่ไหนดี
ไปเจอรร.นึง เป็นรร.รัฐบาล ไปเลยดีกว่า


ขอใบระเบียบการมาดู โอ้ว..จอร์จ มันยอดมาก ค่าเรียน ร้อยกว่าบาท


ไหนๆ เปิดระเบียบการดูสิ นวดไทยก็มี ตัดเสื้อก็มี แน้..มีเสริมสวยด้วย


เรียนนวดพักไว้ก่อนละกัน เวลายังเหลืออีกเยอะ ฉันขอเวลาไปตามหาฝันฉันต่อก่อน



ปรึกษาแม่ดีกว่า "แม่ๆ แม่ว่าเรียนเสริมสวย กับเรียนตัดเสื้อ อันไหนดีกว่ากัน? "


ที่ถามแม่เพราะว่าแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน (สมัยก่อนอยู่ต่างจังหวัด พ่อทำงาน แม่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก กลางวันก็พอจะว่าง ส่งลูกเสร็จแม่ก็ไปหาความรู้ใส่ตัว แม่เรียนทั้งเสริมสวย ตัดเสื้อ ทำอาหาร เลยแหละ)


"แม่ว่า เสริมสวยดีกว่านะ ทำแล้วเสร็จเลย มาทำใหม่ก็ได้เงิน ไม่เหมือนตัดเสื้อ ต้องคำนวณเก่ง ตัดกว่าจะได้แต่ละตัว ตัดแล้วคนใส่อ้วนขึ้นหรือผอมลง ใส่ไม่พอดี ก็มาแก้ แก้แล้วแก้อีก แก้ฟรีอีกต่างหาก"


"อื่ม.."


เอาวะ ไปสมัครเสริมสวยดีกว่า






มันน้อยคนนะ ที่จะฝันตั้งแต่เด็กว่า โตมาฉันอยากจะเป็นช่างเสริมสวย

เราเองก็เหมือนกัน ไม่เคยคิด ไม่เคยฝันมาก่อน ไม่เคยอยู่ในสายตา ไม่เคยอยู่ในหัวใจ (จะคร่ำครวญเป็นเพลงแล้ว!)

เคยคิดว่ามันเป็นงานง่ายๆ ที่คนไม่มีความรู้ และไม่รู้ว่าจะทำงานอะไรแล้วมาทำ   ถ้าคิดอคติอย่างเมื่อก่อน  อาจจะมองว่า เป็นอาชีพของเมียน้อย เหงา เฝ้ารอสามีอยู่กับบ้านเลยหาอะไรทำ


ถึงแม่เรียนเสริมสวยมา แต่ก็ไม่ได้เป็นช่าง ก็เอามาใช่แต่งหน้าทำผมให้เราเวลามีงาน รร. และก็ถักเปียตอนเช้าก่อนไปรร. แค่นั้นเอง (แต่แม่พาไปร้านทำผมเพื่อนบ่อยมาก ตอนนั้นเราก็ไม่รู้แม่พามาทำไมอยู่ได้ นึกถึงร้านทำผมเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แล้วอยู่ต่างจังหวัดสิคะ  ร้านเล็กๆ อย่างในเรื่องแฟนฉัน ประมาณนั้นแหละ)  


รร.ประถมเราเป็นรร.คริสต์ มีงานบ่อยมากๆ  หลายหนเราเห็นเพื่อนที่แม่ไม่มา เขาแต่งหน้าเอง ก็อยากแต่งเองบ้างบอกแม่ ไม่ต้องมานะจะแต่งหน้าเอง  เชื่อไหมคะ สมัยก่อน ลิปสติกแท่งเดียว กับแป้ง ๑ ตลับ มันแต่งหน้าได้เสร็จสรรพเลยนะ


ลิปสติกนอกจากจะทาปากแล้ว ก็มาทาปื้นๆ ที่แก้ม ทาตาได้ด้วย

แต่ด้วยความห่วง และอยากชื่นชมการแสดงของลูก แม่ก็มาเสมอ (ขัดใจหนู อยากแต่งหน้าแบบตูดลิงก็ไม่ได้)




ช่วงวัยนั้นเคยอ่านเจอว่า การอ่านหนังสือ จะทำให้คนมีความรู้เสมอ ไม่ว่าหนังสือนั้นจะเป็นหนังสืออะไร


เราลองมาสังเกตดู หนังสือที่เราชอบอ่าน นอกจากการ์ตูนตามประสาเด็กแล้ว


ด้วยความที่เป็น รร.สตรี ทำให้ต้องเรียนทำงานฝีมือ และอาหารบ่อยๆ  หนังสือที่อ่านบ่อยจึงเป็นพวกนิตยสารผู้หญิง


แล้วก็จะมีคอลัมน์เล็กๆ เป็นเกร็ดความรู้ เกี่ยวกับความงาม ที่เราชอบอ่าน ตั้งแต่ยังไม่จบประถม


พอมัธยม ย้ายมาอยู่ในเมืองกรุง เริ่มเป็นสาว เริ่มใส่ใจความงามมากขึ้น



ก็สรรหาหนังสือเกี่ยวกับความงาม เคล็ดลับการประทินผิว บำรุงผม แต่งหน้า ทั้งหลายแหล่ มาอ่านเอง


รวมถึงเรื่องสมุนไพร และเรื่องเล่าสมัยก่อน  และที่จำได้ดี และชอบอ่านมาก คือหนังสืออ่านนอกเวลา เรื่อง เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก


แล้วช่วงม.ต้นนี้ ได้ตัดผมเพื่อนบ่อยมาก เพราะเพื่อนแก่นๆ ชอบแอบไว้ยาว ถึงคราวอ.ตรวจก็โดน


ก็ตัดกันสดๆ นี่แหละตอนเช้าก่อนเข้าแถว หน้าเสาธง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ว่าทำไม เพื่อนมันถึงไว้ใจแต่เรา มาให้ตัด แหว่งได้ใจ หรือว่าไม่มีทางเลือก 5555555



พอเข้าวัยรุ่นกลาง ๆ เรียนพาณิชย์ ก็ซ่าตามประสา


แต่งหน่งแต่งหน้า จากที่เคยแอบๆ ก็ไม่แอบ (ยกเว้น อ.ฝ่ายปกครองคนเดียว เพราะแกดุมาก จริงๆ ถ้าแกเดินมาทางนึง นศ.นี่วิ่งกันทั้งตึกสิเอ้า)


ปากแดงเจ่อมาแต่ไกล ไม่นานเขาเปลี่ยนมาฮิตเอิร์ธโทน ก็ทาปากซะดำเหมือนแม่มด (เอาดินสอเขียนขอบตามาเขียนขอบปากซะงั้น)



๑๔-๑๕ ก็เริ่มรู้จักการทำสีผม แรกๆ ก็มั่วๆ ทำเอง ตามคำแนะนำของเพื่อนเมื่อก่อนมีสีไม่กี่แบบ และจำได้ว่า ยี่ห้อที่ฮิตที่สุด ก็คือยี่ห้ออีโกร่า ที่ต้องเอาแปรงสีฟันป้ายๆ ทำเองมั่วสุดๆ


ตอนนั้นไม่เคยทำสีอื่นเลยนอกจากสีน้ำตาลทอง (จริงๆ มันฮิตตั้งแต่ม.ต้นแล้ว ตอนนั้นเขาเรียกว่าสีโค้ก เพื่อนเคยซอยสั้นทรงมาช่าชุดแรก และทำสีมา แล้วโดนอาจารย์เล่น จำได้ๆ อิอิอิ)


นานเข้าเริ่มแก่วิชา จากสีผม ก็มายืดผม  (ตอนนั้นที่ดังๆมันก็มีแกลทยี่ห้อเดียว) เหม็นก็เหม็น ทำแล้วไม่เห็นตรง ผมเสียอีกต่างหาก เข็ดเลย พอกันทีกับการยืดผม



๑๖-๑๗ ไททานิค มาแรง เราชอบการแต่งตัวของยุคนั้น (อาจจะเพราะนางเอกหุ่นพอๆ กับเราตอนนั้น ๕๕๕)และละครความรักอลอนด้า ก็น่าติดตาม เพราะใส่ชุดสวยๆ ทั้งนั้น และที่สำคัญ ทรงผมใช่เลย สวยมาก หยิกเป็นลอนๆ สีก็สวย เอาเลย ไปดัด



ร้านที่ไปดัด ไม่ใช่ที่อื่นไกล ก็บ้านที่เราสอนพิเศษ


แล้วไงรู้ไหมคะ ด้วยความโง่อีกนั่นแหละ แลกค่าสอนพิเศษกับการดัดผม


เลือกลอนใหญ่ๆ เลยค่า จะได้มีลอนเหมือนตุ๊กตา ด้วยปัญญาที่มีน้อยอีกแล้ว


มันเลยออกมาไม่หยิกเป็นแค่คลื่นๆ แค่นั้นเอง จริงๆ แล้วต้องดัดลอนกลาง หรือเล็กค่ะ ถึงจะได้ลอนเกลียวๆ เจ๊แกไม่ได้แนะนำอะไรก่อนดัดหรือหลังดัดเลยค่าท่านผู้ชม


จบกัน ได้แก่สมใจจริงๆ เลยฉัน แก่แดดยังไม่พอ หน้าแก่เลยด้วย อย่างกับแม่ลูกอ่อน



เสียดายผมมาก ไว้มา ๕ ปี ไม่ได้ๆ ฉันจะสระแล้วหวีๆๆๆ


หวีจริงๆ ค่ะ จำไม่ได้ว่าวันแรก หรือสอง หรือสาม สระแล้วหวีๆๆ


พอแห้งก็ตรงนะแต่มันจะพองๆ มัดมั่งถักเปียมั่ง จำไม่ได้ว่านานกี่เดือน แต่รู้ว่าทนให้ไอ้เพื่อนยากปากแมว แซวอยู่ได้ทุกวันว่า "ปลาดุกฟู"


ท้ายที่สุดรำคาญ ให้เพื่อนกระเทยตัดให้ เพื่อนก็จะไม่ตัดนะ เสียดาย จะสไลด์ให้


ไม่เอาตัดบ๊อบเลย เพื่อนปากแมวก็ยังหาทางล้อได้นะ ว่า "ชาละวันลัลล้า" เอ้า เอากับมันสิคะ
ตั้งแต่นั้นก็สั้น ๆ แล้วก็สั้นมาตลอด


สารพัดทรง เปิดหนังสือ เจอทรงไหนก็บอกแม่ (ตอนนั้นทาทา ออกชุดแรก กำลังฮิตทรงแมงกระพรุน 55555 ประมาณทรงทุยๆ แล้วมีรากไทรน่ะค่ะ)


หลังๆ แม่ไม่ตัดให้แล้ว ไม่มีเวลา (หรือว่ารำคาญก็ไม่รู้) ก็ไปร้าน


ลองมาหลายร้าน ก็เริ่มสังเกตว่า ช่างแต่ละคนนี่ ตัดผมทรงเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกันเลยนะ (เริ่มดูออกแล้วว่าใครเก่งไม่เก่ง)


มาได้ช่างถูกใจปากซอยบ้าน ช่างอายุประมาณ 40 แล้ว ตัดผมช้าๆ แต่ออกมาได้ใจมาก


แม้แต่ครั้งที่เราตัดสั้นที่สุดยาว ประมาณ ๓ เซน (เห็นแบบในหนังสือ ผมสั้นดำ ทาปากแดงสวยดี เอาแบบไปให้ดู)


ตอนแรกแกจะไม่ตัดให้เพราะหน้าเรากลม อ้วน และผมเริ่มยาวเลยบ่าแล้ว เริ่มไล่สั้นมาทีละทรง เราก็ไม่ถูกใจกับความสั้นสักที มันสั้นไม่พอ เลยทำให้ดู พี่ เอาเท่านี้นะคะ


จนแกตัดได้ออกมาสวยและหวานมาก ถ้าไปตัดร้านอื่นคงได้เป็นทอมสมใจอยากแน่ๆ 5555555


แล้วพี่แกย้ายร้านไป ก็ยังตามไปนะ แต่ทีนี้ไม่รู้ค่าที่แพงหรือไง ปรกติตัดแก ๑๒๐ แต่พอย้ายร้านใหม่ ชวนทำสี เราก็อยากทำมากเลยนะ ในกระเป๋ามี ๕๐๐ แล้วผมสั้นกระจุ๊ดรุด อย่างที่เล่ามา แกบอก ๘๐๐


โอ้วแม่เจ้า..ไม่เอาดีกว่า ตั้งกะนั้นไม่ตามไปตัดอีกเลย ขอบาย



หลังจากนั้นก็สรรหาช่าง สรรหาทรงมาเรื่อยๆ  เวลาไปตัดผมก็จะไม่ชอบอ่านหนังสือหรือหลับ


จะคอยมองช่างตัด ว่าตัดยังไง ทำยังไง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน (ก็ยังไม่รู้ตัวเองอยู่ดี ถ้าเราเป็นเกย์ สงสัยกว่าจะรู้ตัว คงมีลูกโตแล้วแหงๆ ๕๕๕๕๕๕๕ ความรู้สึกช้า..ช้า)






เอ้า ตัดเล่าเรื่องเรียนเสริมสวยกันต่อ!

พอถึงวันจะเปิดเรียนก็ตื่นเต้นๆ ขุด รื้อ อุปกรณ์เก่าๆ ของแม่ สมัยก่อนออกมา ไดร์เอย ปัตตาเลี่ยนเอย หนังสือเรียนเรียน มาปัดฝุ่น

ตั้งใจไปเรียนเต็มที่ แต่ทว่า ไดร์รุ่นแม่มันล้าสมัยไปแล้วไม่แรงพอ แต่เราดันทุรังจะใช้ (ก็เคยอ่านเจอนี่ว่า การใช้ไดร์แรงๆ จ่อผมทำให้ผมแห้งแตกปลาย ก็เลยกลัวๆ นี่นา เห็นเขาจ่อกันควันขโมงโฉงเฉง กลัวทำผมเขาพัง)

ในห้องมีเรียนจริงๆ มี ๗-๘ คน ไปๆ มาๆ เหลือแค่ ๕ คนเองค่ะ

อ.สอนสระผม เราก็ค่อนข้างทำได้ดี ลูกค้าชอบเพราะมือเบา (รร.นี้ทำผมฟรี แค่หยอดตู้ ๒๐ มีลูกค้าประจำมาบ่อยๆ)

อุปกรณ์ส่วนใหญ่มีให้ยืม แต่หัวหุ่นซื้อเอง ราคาประมาณ 650

อ. เก่ง อายุมากแล้ว แต่แกถ่ายทอดความรู้ได้ไม่ค่อยดี เวลาลูกค้ามาแกก็ทำๆๆๆๆๆ ไม่ได้อธิบายอะไร ว่าทำยังไง บางทีก็ดึงให้เรามาทำ ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้เรียน

เราก็ได้เคล็ดลับการยืดผมมาจากที่นี่นะ อ.บอกแต่ว่าใช้อะไรๆ ทำอย่างนี้ๆ แต่แกไม่สามารถอธิบาย หรือตอบข้อสงสัยเราได้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เราเลยคาใจ

พี่ร่วมห้องเขามาลงเรียน ๒-๓ เทอมแล้ว เก่งกว่าเราทำได้แทบทุกอย่าง เราก็ได้แต่นั่งมอง บางทีก็ช่วยเขาคลำๆ บ้าง เขาบอกให้ทำๆ ไป ใหม่ๆ ก็อย่างนี้แหละ เดี๋ยวอยู่ๆ ไปก็ทำเป็นเอง
ให้เราลงเรียนแบบเขา ๒-๓ เทอมแล้วได้นิดๆ หน่อยๆ มันไม่ไหวนะ เรามีเวลาไม่มาก แล้วอีกอย่าง อยากหาเงินเก็บด้วย
พี่บางคน อ.บอกให้ไปสมัครงานร้านทำผม แกก็ด้นไปสมัครเลยค่ะ ไปหัดทุกอย่างเอาที่ร้านเลย เราใจไม่กล้าขนาดนั้นหรอก ถ้าเราไม่รู้เราก็ไม่กล้าทำ
เห็นน้องอีกคนนึง เขาเรียนกับอ.อีกคนนึง รอบอื่น เห็นเขาทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ดัด เปีย ฯลฯ มีการบ้านมาทำเสมอ

ห้องนั้นเขามีสอนสองรอบ รอบที่น้องคนนั้นเรียน เต็มแล้ว รอบเวลาเดียวกับห้องเรา ยังว่างอยู่ เราขอย้าย แกก็ไม่ยอม กลัวว่าจะหักหน้า ผิดใจกันระหว่างอาจารย์ เป็นอันว่าอดไป เราก็ทนเรียนพักนึง ก็คิดจะหาที่เรียนใหม่ ก็กลับไปค้นในเน็ตอีก ทีนี้หาที่ใกล้บ้านกว่าเก่า แถมได้ที่เรียนฟรีด้วย

นั่นก็คือ แถ่น แทน แท้น   ศูนย์ฝึกอาชีพ กทม. แถวฝั่งธน


ที่นี่เรียนเต็มวันค่ะ เรียนเช้า เลิกเย็น


เช้าเรียนนี่ เย็นไปเรียนที่เก่า แต่ที่ใหม่นี่ เราต้องซื้อเองทุกอย่างเลย (ก็ยังแอบขี้เหนียวๆ อยู่ เพราะว่าแม่เตือนมา ว่าพวก อ.สอนเสริมสวยนี้ ชอบเน้นขายของด้วย เราก็เลยเกร็งๆ แถมต้องเก็บเงินมาอเมริกาอีก ก็เลยยังซื้อไม่ครบทุกอย่าง ซื้อเองข้างนอกบ้าง)



แต่พอเรียนๆ ไป ถึงรู้ว่า อ.แกดีจริงๆ


สอนอยู่หน้าห้อง (เราอยู่หลังห้อง เพราะตอนแรกนึกว่า ตรงที่เรานั่งเป็นหน้าห้อง พอ อ.เข้ามา อ้าว หน้าห้องมันอีกทางนี่หว่าSmileySmileySmiley) แต่อ.ไม่ได้ยืนแต่หน้าห้อง พอ อ.สอนอะไร แล้ว อ.จะเดินดูทุกคนว่าทำได้ไหม ทั้งที่ในห้องมีเกือบ ๓๐ คน


แล้วเขามีแผนการสอนที่แน่นอนทุกวัน ว่าวันนี้จะสอนอะไร วันไหนจะออกไปข้างนอก จะปิดคอร์สเมื่อไหร่ จะจบทันไหม


แถมตอบโจทย์ข้อสงสัยเราได้แบบเคลียร์มาก


เราเลยประทับใจค่อนข้างมาก



แล้วเพื่อนในห้องดีมากค่ะ สนุกสนานกันดี เวลาออกไปข้างนอก เราเนี่ย อายุน้อยเป็นอันดับที่ ๓ ของในห้องเลยนะ (มีทั้ง พี่ ป้า มาเรียนกันเยอะ)



เราได้ออกไปข้างนอกบ่อยๆ เพราะเหมือนกับว่า รร.ของกทม. เรียนมาก็ต้องตอบแทนกทม. อะไรอย่างนั้น


แต่ก็ทำให้เราได้ประสบการณ์ ได้ความผูกพัน เพราะไปลำบากลำบนร่วมกัน (จริงๆ ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอกค่ะ แค่บางทีมันไปต่างที่ต่างถิ่นไกลๆ)



และอาจารย์เราก็ไฮเปอร์ไม่เคยหยุดนิ่ง มีโอกาสว่างๆ ก็มักไปอบรมหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ


แล้วมาสอนนักเรียนแบบไม่มีกั๊ก



เคยถามอ.เหมือนกันว่า ไม่คิดเปิดร้านเองบ้างหรอ เพราะอ.เก่งมาก ถ้าเปิดร้านคงรวย



อ.บอกไม่หรอก อยู่อย่างนี้ก็พออยู่พอกินแล้ว  ที่สำคัญ รักที่จะเป็นครู



เลยประทับใจ อ.มากมาย ก็เที่ยวบอกเที่ยวแนะนำใครต่อใคร ว่าให้ไปเรียนกับ อ.คนนี้ ที่นี่นะ เริ่ด 



(เพราะกทม.เขามีวัดเรตติ้ง อ.ด้วยนะคะ)



จนปัจจุบัน ตอนเรากลับไปเยี่ยมบ้าน แวะไปหาอ.



ได้ยินว่าแกป๊อบ นร. แทบจะล้นห้องกันเลยทีเดียว




เริ่มเม้าท์ ๑๗ ตค.๕๑
ปรับปรุง ๒๐ ตค.๕๑
src=//www.bloggang.com/emo/emo18.gif>



Create Date : 20 ตุลาคม 2551
Last Update : 26 ตุลาคม 2551 0:48:10 น.
Counter : 1765 Pageviews.

7 comments
  



จริงๆด้วยค่ะ
ร้านเสื้อคนไซสืบิ๊กก้ใหญ่จนเว่อร์เกินไป
มันไม่สวย
เราก็ตัวใหญ่นะ
ไซส์ธรรมดาไม่พอ ไซส์ใหญ่ก็ใหญ่เกินไปเยอะเลย
เหมือนทำๆออกมาแต่ไม่มีรสนิยมเลยละค่ะ
สีสันก็โอ้ยรับไม่ได้อ่ะ
อยากได้ร้านถุกใจบ้างจังเลย อิอิ



โดย: fordear วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:16:49:46 น.



ร้านขายเสื้อผ้าสำหรับคนอวบดีกว่ามังคะ
หายากอะคะ เสื้อไซส์ L XL XXL
ร้านไหนใหญ่ก็ใหญ่จนใส่ไม่ได้
เล็กก็เล็กจนเอาไส้ไปไว้ที่ไหนกันเนี่ย



โดย: beautystone วันที่: 18 ตุลาคม 2551 เวลา:3:32:55 น.











โดย: สาวพิษณุโลก** วันที่: 18 ตุลาคม 2551 เวลา:16:37:43 น.



โดย: โดดเดี่ยวผู้น่ารัก วันที่: 20 ตุลาคม 2551 เวลา:14:43:28 น.
  
โดย: โดดเดี่ยวผู้น่ารัก วันที่: 20 ตุลาคม 2551 เวลา:15:12:19 น.
  
เล่าเรื่องสนุกมากเลยคะ อยากไปเรียนด้วยคนอะ

ยังทันมะคะ

ปล.ขอพิกัด กะชื่ออ. ก็ยังดีนะ จะตามไปเป็นรุ่นน้อง ^ ^
โดย: ohjin15 IP: 58.9.224.254 วันที่: 20 ตุลาคม 2551 เวลา:16:13:08 น.
  
อ่านเพลินมากๆค่ะ .. ชอบอ่าน "เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก" เหมือนกันเลย

ขอให้เก่งไวๆนะคะ
โดย: s.o.s IP: 124.121.227.13 วันที่: 20 ตุลาคม 2551 เวลา:19:49:57 น.
  
ติดกับวัดบางพลัดเลยค่ะ
แต่อยากแนะนำว่า ถ้าคิดว่าอยากเรียนผมชายด้วย ให้เรียนผมชายก่อนค่ะ
เพราะว่าผมชาย ถ้าคุณเรียนจบคือจบ ถ้าตัดเป็นแล้วมันเป็นไปเลยใช้เวลาไม่กี่เดือน

เรียนจบแล้วค่อยมาเรียนผมหญิง แล้วก็ทำงานตัดผมชายไปด้วย คุณก็จะได้มีรายได้มาเลี้ยงตัว ระหว่างเรียน

อ.ผมชายก็เก่งเหมือนกัน เขาสนิทกับอ.เรา ลุยไหนลุยกัน ชื่อ อ.แต้วค่ะ ส่วน อ.เรา ชื่อ อ.ปุ้ม


เราน่ะ คิดผิดไปจริงๆ ที่เรียนผมหญิงก่อน
เพราะว่าเรียนเท่าไหร่ มันก็ไม่จบ ผมทรงใหม่ เทคนิคใหม่ๆ ก็มาเรื่อยๆ

ไว้เดี๋ยวเรามาเล่าอันใหม่ว่าได้เรียนอะไรไปบ้าง ที่นี่ เผื่อเป็นแนวทางให้นะคะ



ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ
ไม่คิดเหมือนกันว่ามีคนชอบอ่านเรื่อง เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก อ่านแล้วประทับใจ เพราะย่าเราก็ชอบเล่าเรื่องสมัยก่อนให้ฟังเหมือนกัน
จำได้ว่าอ่านอยู่หลายรอบ แล้วก็ไปหาซื้อเล่มสองมาอ่านต่อด้วย ปัจจุบันก็ยังเก็บไว้บ้านที่ไทยค่ะ ถ้ากลับไปจะไปหามาดู นึกถึงความหลัง
โดย: โดดเดี่ยวผู้น่ารัก วันที่: 21 ตุลาคม 2551 เวลา:0:45:07 น.
  
อ่านสนุกมากเลยค่ะ อ่านไปยิ้มไป
จนเจอคำว่า เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก เราถึงกับกรี๊ดเลย .... รักหนังสือเล่มนี้มากเลย

ความคิดเรื่องร้านขายเสื้อไซด์ใหญ่ แล้วได้ทำกิจการมั๊ยคะ? เราว่าตอนนั้นคงไม่ค่อยมีคนทำเนอะ ไอเดียดีมากเลย ^^
โดย: เสาไฟมุมถนน IP: 76.202.56.81 วันที่: 7 มิถุนายน 2554 เวลา:0:08:58 น.
  
บังเอิญมากที่กำลังคิดจะเรียนเสริมสวยเลยเสิร์ชก็มาเจอบล็อกของพี่ อ่านแล้วสนุกมาก เพราะที่คิดจะเรียนก็อยากเรียนที่เป็นโรงเรียนดัง ๆ ดีใจอีกครั้งแม้ว่าจะเขียนมานานแล้วก็ตาม แต่ได้อ่านแล้วเป็นกำลังใจอย่างดีเหมือนกันจะไปเรียนศูนย์ฝึก กทม บ้าง เพราะงบน้อยเก็บตังไปซื้ออุปกรดีกว่า ถ้าบังเิอิญพี่เข้ามาตอบช่วยทิ้งเมลล์ให้น้องด้วยอยากจะคุยปรึกษาด้วยไม่ทราบว่าตอนนี้เป็นช่างผมไปรึยัง
โดย: ผ่านมาเจอ IP: 124.120.126.14 วันที่: 4 ธันวาคม 2555 เวลา:23:15:33 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โดดเดี่ยวผู้น่ารัก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]