All Blog
|
Japan..Lovely Kansai 2012 Japan รอบนี้ พวกเราเดินทางด้วย Low cost อันดับหนึ่งในดวงใจ Cebu pacific สาเหตุที่ปลื้ม คือ จองง่าย แถมไม่เรื่องมาก จะพกอาหารอาไรไปทานบนเครื่อง ไม่เคยบ่นไม่เคยว่าเลยค่ะ เสียอย่างเดียว ตรงที่ต้อง via Manila เนี่ยแหละ เค้ากัววววววว!!! ไปมา 2 รอบยังกัว คิดดู้้!!!! Let's go กันเลยดีก่าค่ะ Day 1 Thu 20 Oct 2011 ออกจากกรุงเทพฯ ราวเที่ยงคืนก่าๆ ก้อจะถึง Manila ตี 5 (เร็วกว่าบ้านเรา 1 ชม.) จากนั้นเชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยเลยค่ะ รอเวลาบ่าย 3 เดินทางสู่ Osaka Day 2 Fri 21 Oct 2011 ออกจาก Manila บ่ายสามโมงเศษ ถึง Osaka 2 ทุ่มได้ค่ะ จากนั้นพวกเราเลือกใช้รถบัสมุ่งหน้าสู่เมือง Kyoto ที่พักคืนแรกของเรากันค่ะ ใช้เวลา 1 ชม.ก้อถึงพอดี Kyoto Station เดินตรงไปจนถึงสี่แยกจะเห็นร้านข้าวหน้าเนื้อ Sukiya ถูกและดี เพราะเปิดตลอด 24 ชม.เลยค่ะ เหมาะสำหรับพวกเรามว้ากกก คืนแรกเราพักที่ Kyoto Hana Hostel (แอบติดจัยตั้งแต่สมัยทริป Hiroshima ค่ะ) ห้องพักแบบ 4 Bunk Beds room ราคา 2,800 เยน/person Day 3 Sat 22 Oct 2011 Let's go Kyoto วันนี้คิวแน่นเอี๊ยดดดดดด ห้ามพลาดทั้งน้านนน เริ่มต้นด้วย อาราชิยะมะ ภูเขาสุดยอดใบไม้แดง - สะพานโทเกซึเคียว (Bridge to Ford to the Moon) - สวนป่าไผ่ซากะโนะ (Bamboo Groves) - วัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) ทานกลางวัน และช้อปปิ้งที่ร้านกระดาษซับมันชื่อดัง Yojiya แล้ว จากนั้นห้ามพลาด Recommended ขึ้นรถรางไปลงสถานี Emmachi เพื่อไป ปราสาททองคินคะคุจิ (Kinkakuji) จากนั้นนั่งรถเมล์แค่ 3 ป้าย ก้อจะถึง วัด Ryoanji เป็นวัดที่มีสวนหินแบบเซนที่เรียกกันว่า คาเระซันซุย ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก หนึ่งในไอไลท์ที่ไม่ควรพลาด คือ วัดน้ำใส (Kiyomizu Temple) ก่อนไปรอดูสาวๆ เกอิชา ย่าน Gion ค่ะ โชคดีของพวกเราที่ได้เจอด้วย (จิงๆแล้วคือ ไมโกะ หรือเกอิชาฝึกหัดนะค่ะ) แต่เค้ารีบเดินมาก แถมไม่สบตาเลยด้วย ทำเอากะเหรี่ยงไทยแบบเรางง ทำไมต้องเก็บตัว แล้วเกอิชาคือผู้หญิงขายบริการรึป่าว แล้วยังงัย กับคำถามในใจมากมายยย แอบดูเสด หิวข้าวเย็น(มากกก)พอดี เลยไปหาไรหร่อยๆๆ วิวริมน้ำที่ ย่านแม่น้ำคะโมะ (Kamo-kawa) ร้านอาหารเพียบเลยค่ะ เลือกกันได้ตามอัธยาศัย ส่วนมากเป็นหนุ่มสาวทำงานนะค่ะ สุดท้ายไปลงเอยที่ร้านหม้อไฟร้านนึงอยู่บนชั้นสอง สาบานว่าไม่เคยกินมาก่อนจิงๆ (เพิ่งมารู้ว่าเมืองไทยก้อมีร้านหม้อไฟแบบนี้ที่โครงการ Nihonmashi ร้าน Nagiya) อิ่มแล้วกลับสู่ที่พัก ไม่ต้องสืบว่าสลบมั๊ย 5555+ Day 4 Sun 23 Oct 2011 วันนี้จะเบาๆ หน่อยค่ะ หลังจากร่าง(เกือบ)แหลกมาจากเมื่อวาน แถมตื่นสายได้นิดนุง เลยมีเวลาทำแซนวิชแฮมชีส เลียนแบบคุนลุงญี่ปุ่นมา ขนมปังที่ญี่ปุ่นอร่อยมาก หนานุ่มแบบที่ฟาร์มเฮาส์เซเว่นบ้านเราไม่มี ก่อนเที่ยววันนี้ ไม่ลืมไปจองตั๋วรถไฟไป Nagoya เย็นนี้ก่อนค่ะ เพราะเดียวจะไม่มีที่นั่งเอา แล้วงานจะเข้านะค่ะ 2 ชม.เชียวน๊า ได้ใช้ Kintetsu Line ที่ซื้อมาจาก กทม.ซะที (ราคา 5,700 เยน/5 Days) จองตั๋วเสดสับได้ที่นั่งแน่ๆแล้ว ก้อไป ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาระ ไทชา (Fushimi-inari Shrine)หรือเรียกว่าศาลเจ้าพ่อจิ้งจอก มีลักษณะเป็นซุ้มประตูสีแดงซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้า ถ่ายรูปแจ่มมั่กๆๆๆ ก่อนกลับเพื่อนสาวแวะซื้อผ้าญี่ปุ่น ในร้านเย็บปักถักร้อยเล็กๆ ของคุนยายใจดี คุนยายน่ารักมากกกก เราซื้อของไม่กี่ร้อยเยน แต่แกก้อประณีตห่อม้วนอย่างดี พอจะขอถ่ายรุปแกก้อเขิลกล้องด้วย ก่อนกลับแกแถมโปสการ์ดคิตตี้มาให้พวกเราด้วยค่ะ น่ารักจิงจัง ใครไปก้อแวะไปหาแกหน่อยน๊า Check out และแพ็คกระเป๋าไปรอขึ้นรถไฟที่ Kyoto Station เพื่อไป Nagoya โดยไม่เอะใจว่าลืมซื้อ Kitkat ชาเขียว ของดีของที่นี่ เพราะขี้เกียจแบก นึกว่าจะไปซื้อวันสุดท้ายที่ Osaka ฉะนั้นใครจะซื้อ ห้ามลืมนะค่ะ!! เพราะเค้ามีขายเฉพาะ Kyoto คร้า อย่าโง่แบบเราอีกกกกกก ออกจาก Kyoto ประมาณ 5 โมงเย็น โดยซื้อ Bento จากสถานีไปทานบนรถไฟด้วย ถึง Nagoya ราวๆ 1 ทุ่มตรง แล้วต่อ Subway ไปลง Fushimi เพราะเราพักที่ Nagoya Fushimi MontBlanc Hotel สาเหตุเพราะที่พักใน Nagoya ค่อนข้างแพงค่ะ เลยยอมนั่งรถไฟมาอีก 2 สถานี โรงแรมดีมากๆๆ แต่คือไม่มีเวบภาษาอังกริดเลยค่ะ โชคดีของเราที่มีเพื่อนที่ญี่ปุ่นจองให้ ใครจะมาพักเราไม่รู้จะแนะนำงัยดีอ่ะ ลืมเล่าไปว่าทริปนี้ไม่ได้เที่ยวเองซะหมดนะค่ะ เพราะไฮไลท์ของเราคือ Shirakawa-go หมู่บ้านมรดกโลก ตอนแรกก้อว่าจะไปเองโดยนั่งรถบัสไปลง Takayama ก่อน แล้วค่อยต่อไปอีกทีนึง แต่พอดีมีพี่ที่รู้จักแนะนำรถส่วนตัวพร้อมพาเที่ยวและค่าตั๋ว (ไม่รวมค่าอาหาร) ราคา 43,000 เยน เลยคิดว่าสะดวกกว่า แพงกว่านิดเดียวเอง เลยจัดไปค่ะ ซูซูกิซัง อายุราวๆ 60 ก่าได้ แต่งงานกะพี่นกคนไทยค่ะ พอเราเข้าพักที่ Nagoya พี่นกก้อโทรมาเลยว่าพรุ่งนี้เช้าซูซูกิซัง สามีเค้าจะมารับตอน 7 โมงเช้าตรง (ตรงมากๆๆตามนิสัยคนญี่ปุ่นอ่ะค่ะ พวกเรารู้ดีเลยมายืนรอก่อนเวลา พอ 7 โมงแกมาแล้วจิงๆ เป๊ะสุดๆๆๆ) ระหว่างทางมีข้อสงสัยอาไร หรืออยากกินอาไรซูซูกิซังก้อโทรหาพี่นกให้เราตลอดเวลา แถมคอยถือร่ม เก็บร่มให้ด้วย ดีจิงจัง และแกมีกล้องส่วนตัวมาด้วยนะค่ะ กลับมาเมืองไทยแกก้อส่งรูปมารอแล้ว จบทริปเย็นแล้วเกือบ 4 โมง แกก้อมาส่งเราที่ Nagoya Station พอดี เพื่อนั่งรถไฟกลับสู่ Osaka ค่ะ ไม่ลืมซื้อของขึ้นชื่อ ไ่ก่ทอด Nagoya!! มา Osaka คราวนี้ลืมตัวพักที่เดิม คือย่าน Shin-Osaka แต่จิงๆ ควรไปพักย่าน Namba มากกว่า เพราะมันสะดวกต่อการไปเที่ยวในวันถัดๆไปมากกว่าอ่ะค่ะ ครั้งนี้พักโรงแรม Shin-Osaka Station Annex Hotel ใกล้สถานีมากๆๆ แต่วนหาอยู่นาน เพราะเค้าเปลี่ยนชื่อ (จะรู้มั๊ยง่า?!!!) Day 5 Mon 24 Oct 2011 จิงๆ โรงแรมนี้แค่แวะซุกหัวนอนจิงๆ เพราะคืนสุดท้ายเราใช้สิทธิ์ Complementary ของบัตร Accor พักฟรีที่โรงแรม Novotel - Osaka Hotel ห้องพักกว้างโคดๆๆๆๆ ต่างกะ Hostel ที่ผ่านจิงๆ บุญของฉ้านนน แต่ข้อเสียคือไกลผู้ไกลคนจิงๆอ่ะค่ะ แต่ไม่สน เพราะฟรี!!! 555+ วันนี้เราจะเที่ยว Kobe นะค่ะ เมืองเล็กๆ น่ารัก ตามสไตล์ทริปเที่ยวเอง พวกเรานั่งพักที่ Starbucks นานมากกก เพราะพนักงานอัธยาศัยดี รู้ว่าเราเป็นคนไทยก้อดีจัยเพราะเคา้ชอบเมืองไทย เม้ามอยกันเสด แอบตกใจบ่ายแล้วเรอะ รีบไปขึ้น Cable Car ขึ้น เ้ขา Rokko San กันดีก่า ความพลาดมาเยือน ณ จุดนี้ค่ะ เนื่องจาก Rokko San ค่อนข้างมีที่เที่ยวเยอะ เค้าเลยแบ่งรถเมล์วิ่งวนคนละทิศ ด้วยความรีบลืมดู map ที่เค้าแจกถึงเวลาเปิด-ปิด ของแต่ละที่ เราดันเลือกไปที่ที่อยากไปก่อน ซึ่งปิดตั้ง 3 ทุ่ม!!! กะอีกที่ที่มีพวกฝูงแกะปิด 5 โมงเยน สุดท้ายเลยอดไปค่ะ ต้องตัดใจ กลับลงมาซะดีๆๆ รีบไป Namba ต่อ เพราะวันนี้แพลนไปถล่มร้านปิ้งย่าง Yakiniku ค่ะ ไปถามจาก Tourist Information ที่ Namba Station เลย เค้าแนะนำร้าน Yakiniku ไม่ไกล แต่อร่อยแถม Buffet เพราะมากินที่ญี่ปุ่นอาจหมดตรูดได้ง่ายๆๆ อิ่มแล้วกะว่าจะเดินย่อยที่ Shinsaibashi แต่ร้านค้าเริ่มปิดหมดแล้ว แวะถ่ายรูปแปปเดียว ก้อเลยกลับมาเอาแรงค่ะ ไม่เปนไรเรายังมีช้อปเก็บตกวันสุดท้ายรออยู่ Day 6 Tue 25 Oct 2011 ฝากของไว้ที่ Novotel ก่อน แล้วไปเที่ยว ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) สมาชิกแวะถ่ายรูปแว่บเดียว ก้อรีบไปต่อ กัวไม่ได้ช้อปมากก่า 555+ โดยนั่ง Local Line ไปลง Shinsaibashi Station เพื่อตามหา Shop Bao Bao ค่ะ เจอแล้วดีใจมาก ฝันเป็นจิง คือฉันต้องมาซื้อเองเท่านั้น!! แถมที่นี่ซื้อโดยไม่มี Tax ได้เลยค่ะ ไม่ต้องลำบากไป Refund ที่ airport เลย Shop เบาๆ กันไป พอหอมปากหอมคอ จนแทบปิดกระเป๋าไ่ม่ลงเท่านั้นเอง ก้อรีบไปขึ้นเครื่องกลับบ้าน via Manila ซะ 1 คืน (ความน่ากัวมันอยู่ตรงนี้ค่ะ ห้องพักยังกะคอนโดผีสิง ) Day 7 Wed 26 Oct 2011 ออกจาก Manila สามทุ่มครึ่ง ถึงกรุงเทพฯ เที่ยงคืนจ้า จบแล้วค่ะ เจอกันทริปหน้า... คือมันงงจิงจังอ่ะคร้า แถมดูหนังมาก้อเลยแอบสงสัย แล้วไมโกะที่เราๆแอบถ่ายรุปก้อทำตัวลึกลับๆ อีก กลับมารีบเสิชหาข้อมูลหใญ่เลย ^^"
โดย: BowSo วันที่: 12 พฤษภาคม 2555 เวลา:18:26:37 น.
|
BowSo
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Friends Blog Link |
เกชะ (ญี่ปุ่น: 芸者 geisha ศิลปิน ) เป็นอาชีพหนึ่งของสตรีญี่ปุ่นในสมัยก่อน ถือว่าเป็นผู้ที่ชำนาญทางศิลปะ และให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นเสมือนผู้คอยต้อนรับและปรนนิบัติแขก
"เกชะนั้นไม่ใช่โสเภณี" แม้ว่าในอดีตจะมีการขายพรหมจารีอย่างถูกต้อง และเกชะก็ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า แม้ว่าลูกค้าจะจ่ายเงินซื้อเพื่อการนี้ก็ตาม เกชะกับโสเภณี มีความแตกต่างพอสมควร โดยสังเกตอย่างง่ายจากการแต่งตัว โดยที่โสเภณีจะมีสายโอบิผูกชุดที่สามารถแกะได้จากข้างหน้า เพื่อความสะดวกในถอดชุดออกออก เครื่องประดับของเหล่าหญิงโสเภณีมีความงดงาม หรูหรา ฟู่ฟ่า ในขณะที่เกชะมีผ้าโอบิผูกจากข้างหลังตามชุดกิโมโนทั่วไป เครื่องประดับนั้นจะเรียบง่ายแต่แสดงออกถึงความสวยงามตามธรรมชาติ ในรูปแบบของศิลปะได้อย่างดีทีเดียว
เกชะสมัยใหม่จะไม่ถูกซื้อตัว หรือพามายังสำนักเกชะตั้งแต่เด็กเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว การเป็นเกชะในสมัยใหม่นั้น เป็นไปโดยสมัครใจทั้งสิ้น และการฝึกฝนอาชีพนั้น จะเริ่มต้นที่หญิงสาว ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ไม่ใช่เด็กหญิงอย่างแต่ก่อน และจะใช้เวลาที่ยาวนานและยุ่งยากมาก เพราะฝึกเมื่ออายุมาก
ปัจจุบันเกชะยังคงอาศัยอยู่มากในสำนักเกชะ ในบริเวณพื้นที่ซึ่งเรียกว่า ฮะนะมะชิ (花街 "เมืองดอกไม้") หรือ คะเรียวไก (花柳界 "โลกของดอกไม้และต้นหลิว") ซึ่งคล้ายกับย่านโพนโทะโช ในเกียวโต