Handle of specimen in forensic science
Handle of specimen in forensic science หรือการประเมินสภาพพยานหลักฐานในงานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งจริงๆแล้ว หลักการมันก็มีอยู่หลายมุมมอง แต่ที่นำเสนอนั้นเป็นเพียงมุมมองหนึ่งเ ท่านั้น ที่ผู้ที่จะเก็บพยานหลักฐานเหล่านี้ควรคำนึงก่อนส่งไปยังห้องปฏิบัติการ ซึ่งถ้าไม่คำนึงถึงหลักเหล่านี้ ก็อาจจะทำให้ ทางห้องปฏิบัติการนั้นไม่สามารถตรวจพยานหลักฐานเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง และได้รับความยุติธรรมที่สุด
ก่อนที่จะมาพูดถึง Handle of specimen นั้นเราจะต้องมารู้กันก่อนว่า ทำไมเราต้องมีการเก็บพยานหลักฐานกันด้วย ก็เพราะว่าพยานหลักฐาน โดยเฉพาะพยานวัตถุนั้นเป็นสิ่งที่สามารถใช้พิสูจน์การกระทำผิดกฎหมายได้ คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วพยานวัตถุที่ว่านั้น คือพยานวัตถุชิ้นไหนกันแน่ในสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งหลักในการพิจารณาว่า สิ่งไหนเป็นพยานวัตถุที่ใช้ในการพิสูจน์ ซึ่งมีหลักในการพิจารณา มีดังนี้
1. Corpus delecti นั่นคือพยานวัตถุที่แสดงให้เห็นว่า มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ทำให้ครบองค์ประกอบภายนอกในการกระทำความผิดโดยเฉพาะความผิดในทางอาญาที่ต้อง ตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัด
2. Modus operandi นั่นคือพยานวัตถุที่แสดงให้เห็นว่า วิธีการที่ใช้ในการกระทำความผิดของผู้ที่กระทำความผิด
3. Associative evidence นั่นคือพยานวัตถุที่สามารถเชื่อมโยงพยานวัตถุนี้เข้ากับพยานวัตถุอื่นๆหรือผู้เสียหายหรือผู้กระทำความผิดได้
หลังจากที่เรารู้แล้วว่าสิ่งไหนเป็นพยานวัตถุแล้ว เราก็จะมาทำการเก็บพยานวัตถุเหล่านี้ เพื่อที่จะไปทำการตรวจพิสูจน์เพื่อที่จะได้ทราบความจริงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป ซึ่งประเด็นในการตรวจพิสูจน์นั้นก็จะต้องแล้วแต่ว่าเราตั้งคำถามที่ประเด็นในการตรวจพิสูจน์อย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น คราบเลือดในที่เกิดเหตุ คราบเลือดนั้นเมื่อนำไปตรวจพิสูจน์ในทางนิติวิทยาศาสตร์สามารถตอบคำถามได้ 3คำถามคือ
1. คราบเลือดที่ต้องสงสัยดังกล่าวใช่เลือดหรือไม่ (What?)
2. คราบเลือดที่ต้องสงสัยดังกล่าวเป็นของมนุษย์หรือไม่ (Human in origin?)
3. คราบเลือดที่ต้องสงสัยดังกล่าวเป็นของใคร (Whose?)
แต่ก่อนที่จะทำการเก็บนั้น เราจะต้องมาคำนึงถึงหลักของ Handle of specimen ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะว่าพยานวัตถุในทางนิติวิทยาศาสตร์ นั้นจะไม่ได้สมบูรณ์เหมือนกับการเก็บตัวอย่างในโรงพยาบาล แต่อย่างใด บางครั้งพยานวัตถุเหล่านี้พอเข้าสู่กระบวนการตรวจพิสูจน์ในห้องปฏิบัติการ แล้วกลับพบว่ามันไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะด้วยสภาพของพยานวัตถุนั้นเอง หรือการเก็บหลักฐานที่ไม่ดีพอ ซึ่งอาจจะทำให้พยานวัตถุเหล่านี้เกิดความเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่ได้
ดังนั้นเราจะต้องทราบถึงหลัก Handle of specimen เพื่อช่วยในการประเมินสภาพของพยานวัตถุก่อนเพื่อที่จะได้ผลการวิเคราะห์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำการตรวจวิเคราะห์ได้ โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆด้วยกัน คือ
1. Pre-analytic คือ ขั้นตอนในการประเมินสภาพของพยานวัตถุก่อนว่าเหมาะสมในการตรวจวิเคราะห์ในกระบวนการต่อไปหรือไม่ ซึ่งหลักในการพิจารณาในขั้นตอนนี้ที่ต้องคำนึงถึงจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ประการที่สำคัญมากในการประเมินสภาพนั่นคือ
1.1 Adequacy หรือความเหมาะสมหรือความพอของพยานวัตถุที่เราเก็บมา ซึ่งสิ่งที่ต้องคำนึงเป็นสำคัญก็คือ ปริมาณที่ใช้ในการตรวจพิสูจน์นั้นต้องมากเพียงพอต่อวิธีการตรวจ ซึ่งถ้ามากเกินไปจริงๆแล้วก็ถือว่าดีนะครับ แต่อาจจะเกิดปัญหาได้ ถ้าสถานที่ในการจัดเก็บไม่เพียงพอต่อพยานวัตถุที่เก็บมามากเกินไป แต่ถ้าน้อยเกินไป อาจจะเกิดการปนเปื้อน (Contaminate) ได้ ต้องระมัดระวังมากในการตรวจวิเคราะห์ ซึ่งพยานวัตถุดังกล่าวมีปริมาณน้อยมากๆๆๆๆๆๆๆ อาจจะทำให้ลดความน่าเชื่อถือในการตรวจพิสูจน์ลงไป แต่ถ้าปริมาณมีมากเกินพอ ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องป้องกันมากเพราะว่า เวลาตรวจจริงๆแล้ว ตัวที่มันน้อยๆที่เป็นสิ่งปนเปื้อนนั้นจะถูกตัวอย่างที่มันมีมากเกินพอ แย่งจับหมดอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวเรื่อง contamination แต่อย่างใด
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การป้องกันการปนเปื้อนก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจะกล่าวในข้อต่อไป
ดังนั้นหลัก Adequacy นั้นมีหลักที่ต้องคำนึงอยู่ 2 ประการด้วยกันคือ
1. ความพอและความเหมาะสมของพยานวัตถุ ที่จะต้องเลือกว่า จะเลือกอะไรดีที่จะตรวจที่เหมาะสมที่สุด
2. ปริมาณของพยานวัตถุ ว่าเก็บมาเท่าใด
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพยานวัตถุของเรานั้นเป็น cell ของสิ่งมีชีวิตนั้นจะต้องแยกให้ออกระหว่างตัว cell กับ product ของ cell เพราะ product ของ cell นั้นความสมบูรณ์ในการตรวจนั้นจะลดลงไป ก็ต้องกลับมาดูอีกว่า พยานวัตถุที่นำมาตรวจนั้นอยู่ในสภาพไหน
นอกจากนี้ยังต้องกลับมาดูถึงวิธีการตรวจพิสูจน์ของเราว่า มีข้อจำกัดอะไรบ้าง เพื่อที่ว่าจะเป็นหลักในการประเมินพยานวัตถุที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ดูว่าควรที่จะเก็บเพื่อที่จะนำไปตรวจพิสูจน์หรือไม่
1.2 Contamination หรือการปนเปื้อนที่อาจจะไปปนเปื้อนพยานวัตถุของเราได้ ซึ่งการปนเปื้อนนั้น บางทีเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในความเป็นจริงเพราะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่าสภาพของมันนั้นไม่สมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็น ฉะนั้นจึงอาจมีการปนเปื้อนในพยานวัตถุได้ ซึ่งสิ่งที่ต้องคำนึงนั้นก็คือ การปนเปื้อนนั้นกระทบต่อวิธีการตรวจวิเคราะห์ของเราหรือไม่ และการปนเปื้อนนั้นอาจจะไปทำให้พยานวัตถุของเรานั้นมีปริมาณลดลงไปหรืออาจจะทำให้ผลการตรวจวิเคราะห์นั้นเปลี่ยนแปลงได้
นอกจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยานชีววัตถุ ถ้าเกิดการปนเปื้อน อาจจะทำให้พยานชีววัตถุของเรานั้นเน่าได้
1.3 Preservation ในพยานชีววัตถุนั้นเป็นสิ่งส่งตรวจพิสูจน์ได้มาจากสิ่งมีชีวิต ดังนั้นมันจึงมีการสลายตัวให้เปลี่ยนไปจากเดิมโดยธรรมชาติฉะนั้นแล้ว เราต้องรักษาสภาพพยานวัตถุของเราให้อยู่คงสภาพที่สมบูรณ์เหมือนดั่งตอนที่ได้พยานวัตถุมาใหม่ๆให้ได้นานที่สุด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของมันสามารถเกิดได้จาก putrefaction หรือการเน่า ซึ่งเราสามารถใช้สารกันเน่ากันได้แต่สารดังกล่าวต้องไม่ไปรบกวนวิธีการตรวจวิเคราะห์ของเราให้ผลการวิเคราะห์นั้นเปลี่ยนแปลงไป และ autolysis หรือการสลายไปเองตามธรรมชาตินั้น ไม่สามารถป้องกันได้
ดังนั้นการป้องกันการสลายตัวนั้นก็คือ ต้องทำการตรวจพิสูจน์ภายหลังจากการเก็บให้เร็วที่สุด หรือในพยานวัตถุบางอย่างเช่น เส้นผม ก็จะต้องเก็บในที่ๆแห้งที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความชื้นเกิดขึ้น และไม่ว่าจะใช้การเก็บด้วยวิธีใดๆก็ตาม วิธีการเก็บรักษานั้นต้องไม่ไปรบกวนวิธีการตรวจวิเคราะห์พยานวัตถุของเราซึ่งอาจจะทำให้ผลเปลี่ยนแปลงได้
1.4 Chain of custody เป็นหัวใจหลักของงานทางด้านนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมันหมายถึงห่วงโซ่แห่งการครอบครองพยานหลักฐาน กล่าวคือพยานหลักฐานที่ได้มาตั้งแต่ที่เกิดเหตุนั้นจะต้องทราบถึงคนที่ครอบครองพยานหลักฐานนั้นว่ามีใครบ้างและแต่ละคนกระทำอะไรต่อพยานหลักฐานนั้นบ้างเพื่อที่จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าผลการตรวจวิเคราะห์ที่นำมาแสดงในชั้นศาลนั้น เป็นผลมาจากการตรวจวิเคราะห์จากพยานวัตถุที่ได้มาจากที่เกิดเหตุนั้นจริงๆ ไม่ได้มีการสลับสับเปลี่ยน การปลอมปน อคติ (bias) การปนเปื้อนแต่อย่างใด กล่าวสั้นๆคือการได้มาซึ่งพยานหลักฐานนั้นเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งถ้าเกิดว่า chain of custody ขาด กล่าวคือมีการปลอมปน การสลับสับเปลี่ยนเกิดขึ้น ก็จะทำให้เป็นจุดที่ใช้ในการโต้แย้งของทนายฝ่ายจำเลย ซึ่งอาจจะทำให้คำพิพากษานั้นเปลี่ยนแปลงไป อย่างที่ไม่ควรจะเป็น
กระบวนการครอบครองพยานหลักฐานนั้น ทำให้ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานที่ได้มาจากการเก็บพยานหลักฐานนั้นเพิ่มสูงขึ้นและส่งผลทำให้ผลการตรวจวิเคราะห์พยานหลักฐานนี้มีความน่าเชื่อถือตามไปด้วย
Chain of custody นั้นจะดูแลขั้นตอนต่างๆในการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น เช่น
การ Label ป้องกันการสลับสับเปลี่ยน ,การ Double blind test หรือการส่งตรวจพิสูจน์ 2 แห่ง เพื่อลดอคติลงไปจากการตรวจ ถ้าตรวจเพียงแห่งเดียว ,การ Package และ Sealing ป้องกันการปลอมปน ให้รู้ว่า package ที่ใส่พยานวัตถุนี้ถูกทำลายมาหรือไม่ก่อนได้รับมา และ การ Transfer/Transportation ที่จะต้องรู้ว่าในแต่ละขั้นตอนของการรับ -ส่ง พยานวัตถุนั้นมีใครได้ครอบครองบ้าง ซึ่งจะทราบได้จากบัญชีผู้ครอบครองพยานวัตถุที่ติดมากับพยานวัตถุที่ส่งมาตรวจพิสูจน์ ซึ่งทำให้เราสามารถทวนสอบย้อนหลังได้ ว่าใครทำอะไรไว้กับพยานวัตถุบ้าง สามารถตรวจสอบได้ตลอดทุกขั้นตอนที่กระทำต่อพยานวัตถุนี้
2. Analytic หรือวิธีการตรวจวิเคราะห์ ซึ่งโดยปกติจะมี protocol หรือวิธีการตรวจที่เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้าง ขึ้นอยู่กับ pre-analytic พยานวัตถุที่ส่งมาตรวจวิเคราะห์นั้นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งการตรวจวิเคราะห์นั้น แบ่งได้เป็น 2 ลำดับขั้นตอน คือ
- Screening test คือการตรวจแบบคัดกรองซึ่งบอกได้แต่เพียงว่า ใช่หรือไม่ ซึ่งถ้าผลออกมาคือใช่ จะต้องทำการตรวจวิเคราะห์ในขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าผลออกมาคือไม่ใช่ ก็ไม่ต้องทำการตรวจพิสูจน์ในขั้นตอนต่อไป
- Confirmation test คือการตรวจยืนยันเป็นขั้นตอนที่ต่อมาจาก Screening test ซึ่งมักจะเป็น goal standard ในการตรวจวิเคราะห์สิ่งนั้นๆเลย และมักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการตรวจแบบ Screening test
3. Post-analytic คือการแปรผล การนำไปใช้ซึ่งเป็นขั้นตอนภายหลังจากการตรวจวิเคราะห์พยานวัตถุเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งสิ่งสำคัญก็คือ มีข้อจำกัดในการแปรผลหรือไม่ สิ่งที่ได้ออกมาจากการตรวจวิเคราะห์นั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งข้อจำกัดในการแปรผลนั้น อาจจะเกิดขึ้นได้ อันเนื่องมาจากข้อจำกัดมาตั้งแต่ Pre-analytic แล้ว
กล่าวโดยสรุปแล้วนั้น หลัก Handle of specimen ในงานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ผู้ที่ทำงานทางด้านนี้ต้องพึงระลึกไว้เสมอ และจะต้องให้ความสำคัญกับหลักนี้เป็นอย่างมาก เพื่อให้การทำงานในด้านนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง เป็นกลางและตรงกับความจริงที่สุด
Free TextEditor
Create Date : 14 สิงหาคม 2553
Last Update : 14 สิงหาคม 2553 19:12:11 น.
1 comments
Counter : 1501 Pageviews.