สะเก็ดความดีในพระพุทธศาสนา จงจำไว้ว่า จริยาที่เราต้องทรงใจมีดังนี้
- ยามปกติ เราจะไม่สนใจในกริยาของผู้อื่น ใครเขาจะดี ใครเขาจะเลว มันเรื่องของเขา
นี่อย่างย่อ ความดีขนาดนี้เป็น “สะเก็ดความดีในพระพุทธศาสนา”
อย่าลืมว่า “จงอย่ามีความห่วงใยอะไรทั้งหมดในขณะที่ทำสมาธิ กำลังใจของเราต้องดีตลอดวัน” นั่นคือไม่ยกตนข่มท่าน ไม่สนใจ ไม่แส่ไปหาเรื่องในจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาดีเขาจะเลวช่างเขา เราเห็นเขาเลวมากก็คือเราเลวมากเอง ถ้าเราเป็นคนดี ในโลกนี้ก็ไม่มีใครเลว ทุกคนอยู่ใต้อำนาจกฏแห่งกรรม และก็ไม่ถือตัวเกินไป.
เปลือกของความดีในพระพุทธศาสนา
- ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
- ถ้าชอบใจในของสวยสดงดงาม เราก็เจริญอสุภกรรมฐาน หรือกายคตานุสสติ
- ถ้าหากว่าเราจะปราบโทสะ คือความโกรธหรือความพยาบาท ก็ใช้พรหมวิหารสี่ หรือใช้วรรณกสิณสี่ คือ กสิณสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่ง
- เราระงับความง่วงด้วยการเดินบ้าง เปลี่ยนอิริยาบทบ้าง ลืมตาให้กว้างบ้าง เอาน้ำล้างหน้าบ้าง เอามือขยี้ตาบ้าง แหงนดูดาวบ้าง
- ถ้าหากอารมณ์จิตฟุ้งซ่านไม่ทรงตัวอยู่ ให้นับลมหายใจเข้าออก
- ถ้าความสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีขึ้น เราก็นั่งดูตัวเรา ว่าพระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เมื่อมีความเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็มีความเปลี่ยนแปลง แล้วก็มีความสลายตัวไปในที่สุด มาดูเราเวลานี้โตเท่าพ่อเท่าแม่ เวลาคลอดมาใหม่ ๆ โตเท่านี้หรือเปล่า ถอยหลังไป ๑๐ ปี ๒๐ ปี เราแก่เท่านี้ไหม เท่านี้เราก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านเทศน์ถูก แล้วคนที่เกิดมาแล้วตายเราเห็นบ้างไหม สัตว์และคนก็เหมือนกัน ถ้าสิ่งนี้มันจริงเราก็เลิกสงสัยได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนจริง นี่เป็นหลักใหญ่ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาและสมถภาวนาด้วย
- ทรงจิตให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔
- แผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งหมด เราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรกับสัตว์และบุคคลทั้งหมด จิตใจเราจะมีความชุ่มชื่น มองไม่เห็นว่าใครเป็นศัตรูกับเรา ผลของเมตตา แปลว่าความรัก เรามีความรักในเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เสมอด้วยตัวเรา
- มีกรุณา มีความสงสาร ปรารถนาจะให้มีความสุข เรามีอารมณ์จิตคิดอยู่เสมอว่า เรามีความต้องการจะเกื้อกูลบุคคลอื่นและสัตว์อื่นที่มีความทุกข์ ให้มีความสุขตามความสามารถที่เราจะพึงทำได้ ถ้าแนะนำเองไม่ได้ สงเคราะห์เองไม่ได้ ก็แนะนำให้ไปหาบุคคลที่มีความสามารถ ที่เขาจะช่วยได้สงเคราะห์ได้
- มุทิตา มีจิตอ่อนโยน คือระงับความอิจฉาริษยาเสีย ตัดโยนทิ้งไป เมื่อใครได้ดีก็พลอยยินดีกับความดีนั้นด้วย
- อุเบกขา ความวางเฉย กฏของกรรมใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายหรือหมู่คณะ มันเป็นเหตุที่เราปฏิเสธไม่ได้ อย่างความแก่ ความเจ็บ ความตาย กับการพลัดพรากจากของรักของชอบใจอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นของธรรมดา ในเมื่อในเกิดขึ้นมากับตัวเรา กับหมู่คณะก็ตามวางเฉย ถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
นี่เป็นหลักใหญ่ในการควบคุมกำลัง ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะควบคุมกำลังใจได้ตามนี้ การเจริญพระกรรมฐานก็ไม่มีผล กฏสี่ประการนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะต้องรักษาไว้ให้ได้ จะต้องทรงไว้ให้ได้ด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ถ้ากฏสี่ประการนี้ประจำจิตของท่านบรรดาพุทธบริษัททุกขณะจิต จนเป็นเอกัคตารมณ์ คือมีอารมณ์ทรงตัว ขึ้นชื่อว่ากังวลไม่มี มีศีลบริสุทธิ์ ระงับนิวรณ์ห้าได้ตามกำลังใจที่ต้องการ จิตทรงพรหมวิหาร ๔ ตลอดวันอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เข้าถึงเปลือกของความดีของพระพุทธศาสนา
ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้อย่างนี้ ฌานสมาบัติจะทรงตัว คำว่าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กำลังใจไม่เสมอกัน สว่างบ้างมืดบ้างไม่มี มีแต่คำว่าผ่องใสเรื่อยขึ้นไปตามลำดับ.
กระพี้ของพระพุทธศาสนา
เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติได้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เข้าถึงกระพี้ของพระพุทธศาสนา.
แก่นของพระพุทธศาสนา
ถ้าจุตูปปาตญาณที่ผ่านมาแล้ว เห็นคน ได้ยินชื่อคนหรือสัตว์ ทราบได้ทันทีว่าท่านผู้นี้ก่อนเกิดมาจากไหน ได้ยินชื่อคนตาย ก็ทราบได้ทันทีว่าท่านผู้นี้ตายแล้วไปไหน อันนี้เข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา แต่แก่นนี่ก็เป็นฌานโลกีย์ ยังไม่ดีพอ
แม้ว่าอารมณ์จิตจะไม่เข้าถึงฌาน ๔ แต่เป็นเพียงปฐมฌาน แต่ว่าจิตทรงวิปัสสนาญาณ ได้ตัดสังโยชน์ตั้งแต่สังโยชน์สามขึ้นไป อย่างนี้ชื่อว่าถึงแก่นเป็นสาระเป็นแก่นสารอย่างยอดเยี่ยมที่พระพุทธเจ้าต้องการ.
อ้างอิงจากหนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน หน้าที่ ๓๙,๔๓
อ้างอิงจากหนังสือ กรรมฐาน ๔๐ หน้าที่ ๓, ๔, ๕, ๑๐