It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
<<
กันยายน 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
18 กันยายน 2557
 
All Blogs
 
เหตุใดชาวพุทธแม้มีหลายนิกาย ก็ยังอยู่ร่วมกันได้โดยไม่กระทบกระทั่งกัน

หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : พระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. 2557



คนในโลกนี้มีหลากหลายความเชื่อ บางครั้งก็มีความเห็นไม่ลงรอยกัน
แต่..เหตุใดชาวพุทธแม้มีหลายนิกาย ก็ยังอยู่ร่วมกันได้โดยไม่กระทบกระทั่งกัน?



ศาสนิกต่างศาสนาท่านหนึ่งได้พบกับหลวงพ่อ ได้สนทนากัน เขาเอ่ยความในใจขึ้นมาว่าทุกคนในโลกต่างก็อยากเห็นชาวโลกเป็นสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่ในข้อปฏิบัติต่าง ๆ หรือวิธีตัดสินใจต่าง ๆ โดยรายละเอียดมักจะมีข้อขัดแย้งกันอยู่เป็นประจำ แม้แต่ในศาสนาเดียวกันก็ยังไม่วายมีข้อขัดแย้งกัน


  เขารู้อีกว่า ในพระพุทธศาสนาของเราก็มีหลายนิกายเหมือนกัน แต่ทว่าในพระพุทธศาสนาแม้มีหลายนิกายก็ไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ถึงกับยกพวกมาลุยกันหรืออะไรอย่างนั้น ตรงนี้เขาเห็นแล้วก็ชื่นชม แล้วก็เลยถามมา ซึ่งเป็นคำถามที่หลวงพ่อประทับใจว่าเขาเข้าใจถาม มีประโยชน์ แล้วคำตอบก็น่าจะได้รู้ทั่วกันทั้งชาวพุทธและชาวโลกเขาถามว่าชาวพุทธแม้ต่างนิกาย ทำไมจึงไม่มีการกระทบกระทั่งกัน เห็นมาร่วมกันทำบุญหลวงจีนก็นุ่งห่มแบบหลวงจีน หลวงเกาหลีคล้ายหลวงจีน แต่ก็มีส่วนที่แตกต่างอยู่บ้าง หลวงลามะจากทิเบตก็อีกอย่างหนึ่ง ในความแตกต่างอย่างนี้ มีวิธีที่จะทำความเข้าใจและก่อให้เกิดความสมัครสมานกันขึ้นมาได้อย่างไร ที่เขาถามอย่างนี้ก็เพื่อว่า เมื่อรู้แล้วจะได้ใช้หลักเดียวกันนี้ในกลุ่มศาสนาเดียวกันกับของเขา เพราะเขาก็ไม่อยากเห็นผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกันกับเขาขัดแย้งกัน แล้วก็อยากจะเห็นทั้งศาสนาที่เขานับถือกับศาสนาพุทธของเราอยู่ร่วมกันด้วยดี แต่จะมีวิธีจัดการอย่างไรในส่วนที่ไม่ตรงกัน
ซึ่งหลวงพ่อให้ข้อคิดกับเขาไปตั้งแต่เริ่มต้นว่า



     1. คนเหมือนกัน เกิดเป็นคนต่างก็มีคุณค่าคนเราไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหน เป็นชนชาติเผ่าพันธุ์อะไรก็ช่างเถิด เขาก็เป็นคน เราก็เป็นคน แล้วก็มีองค์ประกอบเหมือน ๆ กัน คือ

              • มีกายที่ประกอบด้วยเลือดด้วยเนื้อเหมือนกัน

            • มีใจใส ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าใจไม่ใส แล้วไม่ได้สร้างบุญมามากพอ ไม่ได้เกิดเป็นคนหรอก ในโลกนี้ถ้าเราเทียบกันระหว่างจำนวนมนุษย์กับสัตว์ทั้งหลาย เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนมนุษย์น้อยกว่าสัตว์ตั้งเยอะ อย่าว่าแต่เอามาเทียบกันทั้งโลกเลย เอาแค่เทียบที่บ้านตัวเอง จำนวนคนในบ้านต่อให้ครอบครัวใหญ่ก็มีไม่กี่สิบคน แต่เมื่อนับจำนวนสัตว์ในบ้านดู บางคนอาจจะบอกว่าที่บ้านไม่เลี้ยงสุนัข ไม่เลี้ยงแมว แล้วคุณเคยนับมดไหมว่าทั้งบ้านมีสักกี่ตัว จิ้งจกกี่ตัว ตุ๊กแกกี่ตัวยุงกี่ตัว แมลงต่างๆ กี่ตัว ถ้าอย่างนี้ก็จะเห็นได้ว่าระหว่างมนุษย์กับสัตว์เทียบสัดส่วนกันไม่ได้เลยไม่ว่าบ้านไหนสัตว์ก็มากกว่าคน ไม่ว่าในประเทศไหน ๆ สัตว์ก็ต้องมากกว่าคน หรือแม้กระทั่งในโลกทั้งโลกนี้ สัตว์ก็มีมากกว่ามนุษย์ชนิดเทียบกันไม่ได้เลยระหว่างมนุษย์กับสัตว์ เมื่อเกิดมาแล้วอย่างไหนจะสร้างคุณประโยชน์ให้กับตัวเอง สร้างคุณประโยชน์ให้กับโลกได้มากกว่ากัน ใครที่มีใจเป็นกลางก็ต้องมองเห็นว่า ถึงอย่างไรมนุษย์ก็สร้างคุณประโยชน์ให้กับตัวเอง ให้กับชาวโลก ให้กับโลกใบนี้ได้มากกว่าสัตว์เป็นแน่แท้ถามว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์กับการเกิดเป็นสัตว์ อย่างไหนจะโชคดีกว่ากัน? ถึงอย่างไรมนุษย์ก็โชคดีกว่าสัตว์อย่างแน่นอนการที่จะเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ ขึ้นอยู่กับอะไร? ในศาสนาอื่นเขาบอกว่า ศาสดาของเขาสอนว่าใครจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ใครจะเกิดมาเป็นสัตว์ ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของผู้สร้างโลกที่เขานับถือ

  ในพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ทั้งคนและสัตว์มีส่วนที่เหมือนกันคือล้วนรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน คนพูดภาษาสัตว์ไม่ได้ สัตว์ก็พูดภาษาคนไม่ได้ แต่ดูได้จากลักษณะท่าทางของเขาก็รู้ว่า รักสุขแล้วเกลียดทุกข์เหมือนกันในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาทรงเป็นผู้ค้นพบความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ในการค้นพบนั้น ทรงค้นพบจากการทำสมาธิ(Meditation) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงฝึกพระองค์อย่างนี้ ทรงทำสมาธิเพื่อทำให้ใจใส ๆ ส่วนระยะเวลาที่ฝึกก็ไม่ใช่แค่เป็นวัน ไม่ใช่แค่เป็นเดือน แต่ทรงฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องมานับภพนับชาติไม่ถ้วน แม้ในชาติสุดท้ายก็ทรงฝึกนานหลายปี

     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างโดยอาศัยการทำสมาธิให้ใจใส ๆ พอใสแล้วใจจะสว่าง สว่างแล้วก็จะเห็นความจริง พระพุทธองค์ทรงพบว่า คนทุกคนนั้น ถึงคราวละโลกไปก็ยังมีชีวิตหลังความตาย ไม่ได้ตายแล้วสูญ ถ้าตั้งใจทำความดี ความดีที่ทำไว้ก็จะส่งผลให้เปลี่ยนตัวเองจากคนไปเป็นเทวดา นางฟ้า ไปอยู่ในภพภูมิใหม่ที่เป็นสุข ที่เรียกว่า สวรรค์ คนที่ทำไม่ดี ตายแล้วก็ไม่สูญ แต่ว่าผลของความเลวจะส่งเขาไปอยู่ในภพภูมิที่เดือดร้อน ไปอยู่แล้วเป็นทุกข์ เรียกว่า นรก

บางคนถึงจะเป็นคนเลว แต่ก็ยังไม่เลวสุด ๆ ผลของความเลวส่งให้ไปเกิดแค่เป็นสัตว์เท่านั้นแทนที่จะไปถึงนรก ถ้าไม่เลวเกินไปจนกระทั่งไปเป็นสัตว์นรก ก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างที่พวกเราเห็น เช่น มด ปลวก เป็นต้น



     2. เกิดเป็นคนย่อมต้องการโอกาสกลับเนื้อกลับตัวพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบอีกว่า หลังจากที่รับโทษไปแล้ว พวกที่ไปตกนรกและรับโทษพอสมควรแล้ว ก็มีโอกาสกลับมาแก้ตัวอีก ในระหว่างที่เกิดเป็นสัตว์ ถ้าระมัดระวังตัวดี ไม่ใช่สัตว์เกเร ความไม่ดีก็ค่อย ๆ คลายตัวไป พวกนี้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นคนอีกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพบว่า คนสามารถไปเกิดเป็นสัตว์ และสัตว์ก็สามารถกลับมาเกิดเป็นคนได้ การเกิดเป็นคนทำให้มีโอกาสกลับมาแก้ตัวใหม่ ถ้ากลับเนื้อกลับตัวได้ ก็จะมีความสุขมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์อีก แต่การกลับเนื้อกลับตัวได้นั้น ไม่ใช่ว่าคนโน้นคนนี้ไปเสกให้แต่เขาต้องปรับปรุงตัวเอง


     การดำเนินชีวิตในวิถีชาวพุทธจึงมีคำว่า “ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว” ดังนั้นผลของกรรมดีก็คือ เวลาทำดีก็ต้องได้รางวัลกันบ้าง ส่วนผลของกรรมชั่วก็คือ เวลาทำชั่วก็ต้องลงโทษกันบ้าง แต่เมื่อพ้นโทษแล้วก็ให้โอกาสกลับตัวใหม่ เพราะทุกชีวิตในโลกนี้ต่างยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการรับผลการกระทำที่คน ๆ นั้นได้ทำไว้นั่นเอง


     3. ให้เวลาแต่ละคนแก้ไขตัวเองพระพุทธศาสนาสอนให้มุ่งมั่นทำความดีเรื่อยไป ส่วนที่เป็นความดีก็ทำไปมาก ๆ ส่วนที่ยังไม่ดีก็ปล่อยเวลาให้เขาได้มีเวลาแก้ไขตัวเอง เพราะคิดอย่างนี้ชาวพุทธแม้ต่างนิกายก็ไม่ทะเลาะกัน เพียงแต่ว่าความเชื่อยังไม่ตรงกัน ต่างคนก็ไปฝึกสมาธิให้ใจใส ๆ พอใจใสแล้ว เดี๋ยวก็เห็นความจริงตรงกัน


     4. ใจใส ๆ จากสมาธิทำให้เห็นความจริงตรงกันความที่คนในโลกนี้ต่างก็เป็นคนเหมือนกัน ทำให้แม้ต่างศาสนากันก็นั่งสมาธิด้วยกันได้ เมื่อนั่งสมาธิให้ใจใส ๆ แล้ว เดี๋ยวก็ต้องเห็นตรงกัน ธรรมชาติของใจที่สะอาดบริสุทธิ์จะปรับเข้าหากันได้เองโดยธรรมชาติ เหมือนน้ำบริสุทธิ์ที่ไม่ว่าจะอยู่บนยอดเขา บนท้องฟ้า ในแม่น้ำ เมื่อนำมารวมกันก็ย่อมมีความเข้ากันได้ สิ่งนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า แม้ต่างศาสนา เราก็เป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นเพื่อนนั่งสมาธิร่วมกันได้ ขอเพียงต่างคนต่างทำความดีให้มาก ๆ ส่วนข้อบกพร่องต่าง ๆ ปล่อยให้ต่างคนได้แก้ไขตัวเอง แล้วนั่งสมาธิกันไปทุกวัน พอนั่งสมาธิใจใสก็จะอยากปรับตัวปรับใจเข้าหากันเอง เห็นตรงกันเอง


ดังนั้น ถ้าอยากจะให้ชาวโลกอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่ขัดแย้งกัน ไม่เบียดเบียนกันก็ช่วยกันชวนชาวโลกทั้งหมดมาเป็นเพื่อนนั่งสมาธิกัน..

เหตุใดชาวพุทธแม้มีหลายนิกาย
ก็ยังอยู่ร่วมกันได้โดยไม่กระทบกระทั่งกัน


**************
คลิกชมภาพและอ่านต่อ....



Create Date : 18 กันยายน 2557
Last Update : 18 กันยายน 2557 9:31:12 น. 3 comments
Counter : 1569 Pageviews.

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Rinsa Yoyolive Travel Blog ดู Blog
lovereason Literature Blog ดู Blog
ALDI Food Blog ดู Blog
เตยจ๋า Topical Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: ขุนเพชรขุนราม วันที่: 19 กันยายน 2557 เวลา:17:43:21 น.  

 

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เตยจ๋า Dharma Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: pantawan วันที่: 20 กันยายน 2557 เวลา:0:05:08 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เตยจ๋า Dharma Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: Opey วันที่: 20 กันยายน 2557 เวลา:8:36:14 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.