:: จาก ผู้รู้วาระสุุดท้ายของชีวิต ::
: ส่วนหนึ่งจากคำบรรยายของ Dr. Richard Teo แพทย์ด้านความงามชื่อดังชาวสิงคโปร์ อายุ40 ปี ซึ่งพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอด ระยะสุดท้าย เขาได้มาเล่าประสบการณ์ชีวิต ให้ในชั้นเรียน ของนักศึกษาทันตแพทย์ในวันที่ 19 มกราคม 2012 และเขาเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ข้อคิดจากบทความนี้ จะเป็นบุญกุศลแก่เขา อย่างยิ่ง :
: สวัสดีครับทุกท่าน ผมอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตของผม ผมเป็นผลผลิตที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ตามที่สังคมต้องการ ผมถูกพร่ำสอนจากสื่อต่างๆ จากผู้คนรอบๆตัวว่า ความสุขเป็นเรื่องของความสำเร็จ และความสำเร็จที่ว่า ก็เป็นเรื่องของความร่ำรวย ด้วยแนวคิดนี้ ผมจึงต้องต่อสู้ แข่งขันอยู่เสมอ ตั้งแต่เป็นเด็ก
: ไม่เพียงแต่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด ผมต้องประสบความสำเร็จ ในทุกสนามแข่งขัน ในทุกกลุ่มที่สังกัด ต้องได้รับชัยชนะทุกๆ อย่าง
: จักษุวิทยา เป็นหนึ่งในสาขาที่แย่งกันเรียนมากที่สุด ดั้งนั้นผมจึงต้องเรียนจักษุวิทยาให้ได้ และผมก็ได้เรียน แถมยังได้ทุนงานวิจัย จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เพื่อพัฒนาเลเซอร์ สำหรับรักษาตาอีกด้วย
: แต่ความสำเร็จทางวิชาการพวกนี้ ไม่ได้นำความร่ำรวยมาให้ผมเลย ดังนั้นหลังจากหมดพันธะ กับทางมหาวิทยาลัยแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า การฝึกฝนทางจักษุวิทยา มันใช้เวลานานเกินไปแล้ว ผมน่าจะทำเงินได้มากโข ในภาคเอกชน.
: พวกคุณคงพอรู้ว่าเรื่องของเวชศาสตร์ความงาม ทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ พอกันทีกับงานในมหาวิทยาลัย ถึงเวลาต้องไปแล้ว ผมจึงลาออกจากการ train กลางคัน และหันเหไปตั้งคลินิกความงามของตัวเอง
: พวกคุณรู้มั้ย น่าขำที่ผู้คนไม่ได้มองหาฮีโร่จากแพทย์ทั่วไป (GP) หรือแพทย์ครอบครัว (family physician) พวกเขามองหาฮีโร่จากแพทย์ที่มีชื่อเสียง และร่ำรวย พวกเขาจะไม่มีความสุขกับการเสียเงิน 20 เหรียญ เพื่อพบแพทย์ทั่วไป แต่ไม่บ่นสักคำที่จะจ่ายเป็นหมื่นๆ ดอลล่าร์ สำหรับการดูดไขมัน หรือเสริมเต้านมหรืออะไร ดูเหมือนไม่มีสมองเอาเลยว่ามั้ยครับ แล้วพวกคุณจะเป็น GP ไปทำไมกัน เป็นแพทย์ความงามดีกว่า
: คุณเอ๋ย ธุรกิจมันดี ดีจริงๆ ผ่านไป 1 สัปดาห์ 3 สัปดาห์ 1 เดือน 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน คลินิกผมก็ล้น คนมารับบริการมากมาย ช่างเป็นธุรกิจที่มหัศจรรย์จริงๆ ผมต้องจ้างแพทย์เพิ่มถึง4คน ภายในปีแรก ผมทำเงินเป็นล้านๆ นั่นแค่ปีแรกนะ ผมเริ่มลุ่มหลง หมกมุ่นกับมัน ผมขยายธุรกิจไปที่อินโดนีเซีย เพื่อให้บริการกับผู้ร่ำรวยทั้งหลาย ชีวิตมันช่างสวยงามจริง ๆ
: ทีนี้ผมทำกับเงินที่หามาได้ มากมายก่ายกองนั่นยังไง? ผมซื้อรถหรูๆ ขับไปถึงมาเลเซียโน่น เพื่อไปแข่งรถในสนามแข่ง เงินยังเหลืออีกเยอะ ผมซื้อ Ferrari ครับ รุ่นเปิดประทุนได้ด้วย
: พอได้รถแล้วทำอะไรอีก? ถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านแล้ว ผมก็สร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ ผมอยู่ท่ามกลางสังคมของคนร่ำรวย และมีชื่อเสียง ร้านอาหารก็ต้องระดับ Michelin เท่านั้น
: ตอนนั้นผมถึงจุดที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแล้ว ผมคิดไปว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในการควบคุมของผม และผมถึงยอดเขาแล้ว
: แต่.ผมผิดถนัดครับ ปีที่แล้วเดือนมีนาคม ผมเริ่มรู้สึกเจ็บตรงกลางหลัง ตอนนั้นคิดไปว่าอาจจะออกกำลังกายมากเกินไป ผมจึงไปโรงพยาบาล ผมทำ MRI เพื่อดูว่าอาจจะมีหมอนรองกระดูกหลังเคลื่อนหรือเปล่า.
: เย็นวันนั้น เพื่อนผมโทรมาบอกว่า กระดูกสันหลังของนาย ดูเหมือนจะมีเนื้องอกอะไรบางอย่างนะ ผมตอบไปว่า ว่าไงนะ มันหมายความว่ายังไง? อันที่จริงผมรู้ความหมายดี แต่ไม่ยอมรับความจริง สุดท้ายก็สรุปว่าผมเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย มะเร็งลามไปสมอง ไปกระดูกสันหลัง ไปตับและต่อมหมวกไตเรียบร้อยแล้ว
: พวกคุณลองคิดดู ผมคิดว่าผมควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ ผมถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้ว แต่ฉับพลันผมก็สูญเสียมันไปในทันที ถึงแม้จะให้เคมีบำบัดอย่างเต็มที่ ผมก็จะอยู่ได้เต็มที่ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น เหมือนฟ้าถล่มดินทลายทับตัวผมมั้ยครับ
: ผมมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงเป็นเดือน ชีวิตผมหมดสิ้นแล้ว น่าขำที่ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมมี ความสำเร็จเอย ถ้วยรางวัลเอย รถหรูๆเอย คฤหาสน์เอย ทั้งหมดนั้นผมคิดไปว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่ในยามที่ผมตกอยู่ภาวะซึมเศร้า หดหู่ใจ สิ่งต่างๆ ที่ผมมี มันกลับไม่ทำให้ผมมีความสุขได้เลย ตลอด10 เดือนที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย
: สิ่งที่นำความสุขมาให้ผมในช่วง10 เดือนสุดท้าย กลับเป็นการได้พบปะกับผู้คน ได้พบกับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ ผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยผมอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ต่างหาก ที่นำความสุขมาให้ผม ไม่ใช่สมบัติที่ผมครอบครอง
: ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมจะขับรถหรูของผม ไปทำงาน ไปเยี่ยมบรรดาญาติของผม เพียงเพื่อจะอวดร่ำ อวดรวย ผมเองก็บันเทิงกับเรื่องแบบนี้เสียด้วย แต่มานึกแล้ว เพื่อนๆของผม ญาติๆ ของผม คงจะกระอักกระอ่วนใจและคงอยากจะให้ผม กลับไปเสียเร็วๆ มากกว่า เขาคงไม่คิดจะดีใจไปกับผม และคงอยากให้ผมไปให้พ้นๆ คงอยากให้ผมลองนั่งรถเมล์ดูมั่ง จริงๆ แล้ว สิ่งที่ผมทำลงไป ทำให้พวกเขาอิจฉาริษยาสิ่งที่ผมมี และบางทีก็คงนึกหมั่นไส้ผมอีกด้วย
: นั่นแหละที่เรียกว่า ตัวสร้างความอิจฉาริษยา ผมไปอวดร่ำอวดรวย เพียงเพื่อจะเติมเต็มอัตตา และความยะโสของตัวเอง มันไม่ได้นำความสุขมาให้ผู้อื่นเลย ผมคิดไปเองว่าพวกเขาจะมีความสุขไปกับผม
: ผมจะเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้ฟัง ตอนที่ผมมีอายุพอๆกับพวกคุณ ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีนิสัยแปลก เธอชื่อ Jennifer ตอนนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ เวลาผมเดินไปตามทางกับเธอ ถ้าเธอเห็นหอยทาก คลานอยู่ในทางคนเดิน เธอจะคอยหยิบพวกหอยทากนั่นไปวางในสนามหญ้า ให้พ้นจากทางเดิน ผมถามเธอว่า เธอทำอย่างนั้นทำไม ทำให้มือสกปรกเปล่าๆ มันก็แค่หอยทากตัวหนึ่ง ความจริงก็คือ เธอเข้าใจหอยทากได้ ความรู้สึกที่ว่า ถูกเหยียบบี้แบนจนตายนั้น เธอรับรู้ได้ แต่สำหรับผม มันก็แค่หอยทาก
: ที่ ที่สอนผมให้เป็นแพทย์ เขาสอนผมให้เป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจ ให้เป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น แต่ผมกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย. ตอนที่ผมเป็นแพทย์ประจำบ้าน ทำงานอยู่ในแผนกรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ทุกเมื่อเชื่อวัน วันแล้ววันเล่า ผมพบเจอกับความตาย ยามที่ผมมองคนไข้กำลังทุกข์ทรมาน ผมเห็นแค่ว่าพวกเขากำลังปวด และผมมีหน้าที่ให้ Morphine แก่พวกเขา เพียงเพื่อระงับอาการปวด ผมเห็นพวกเขากำลังดิ้นรนหายใจ จนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย นั่นเป็นเพียงภาระหน้าที่ ผมทำงาน ทำหน้าที่จนเสร็จ แต่ละวัน ผมแทบจะรอกลับบ้าน แทบไม่ไหว
: ความเจ็บปวดคืออะไรหรือครับ? เรามีศัพท์เทคนิคต่างๆ ในการนิยามในการวัดความปวด ความทุกข์ทรมานเหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่รู้ซึ้งจริงๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร จนกระทั่งผมกลายมาเป็นผู้ป่วยเสียเอง ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และถ้าคุณจะถามผมว่า ผมจะเปลี่ยนไปเป็นแพทย์อีกคน ที่แตกต่างไปจากนี้หรือเปล่า ถ้าผมกลับมีชีวิตอีกครั้ง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมจะเปลี่ยนไปแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าผู้ป่วยเหล่านั้น รู้สึกอย่างไร และบางทีเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งนี้ จากของจริง
: แม้ว่าพวกคุณจะเพิ่งเริ่มเรียนปีแรก และเข้าสู่เส้นทางของการ เป็นศัลยแพทย์ช่องปาก ผมอยากจะลองท้าทายคุณ 2 เรื่อง
:: ประการแรก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนในที่นี้ จะต้องเข้าไปสู่ธุรกิจ โรงพยาบาลเอกชน พวกคุณจะเริ่มสะสมความมั่งคั่ง รับประกันได้เลยครับ แค่ใส่ Implant สักอัน คุณก็ได้เงินเป็นพันๆ ดอลลาร์แล้ว ช่างน่ามหัศจรรย์ใช่มั้ยครับ จริงๆ แล้วไม่ผิดหรอกครับ ที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ผิดที่จะร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ผิดเลย ปัญหาประการเดียวก็คือ พวกเราส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมด้วย ไม่สามารถควบคุมจัดการมันได้
: ทำไมผมพูดอย่างนั้น ก็เพราะเมื่อผมเริ่มสะสมเงินทอง ยิ่งผมมีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากมีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งต้องการอะไรมาก เราก็ยิ่งหมกมุ่นอยู่กันมัน เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดสูงสุด เหมือนกับที่สังคมทำกับเรา เหมือนกับที่สังคมอยากให้เราเป็น เมื่อผมหมกมุ่นอยู่กับมันแล้ว อะไรอื่นก็ไม่มีความหมาย สำหรับผมอีกต่อไป คนไข้ที่เดินเข้ามาก็เพียงแค่ถังเงิน และผมก็จะรีดเงินออกจากคนไข้พวกนี้ จนถึงหยดสุดท้าย
: นานมากแล้วที่เราหลงคิดไปว่า เราจะต้องเป็นฝ่ายรับ สิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ไม่ว่าจะในวงการแพทย์ วงการทันตแพทย์ ผมบอกได้เลย ขณะนี้ในภาคเอกชน บางครั้ง เราถึงกับให้คำแนะนำกับผู้ป่วย เพื่อให้รับการรักษา หรือการผ่าตัดที่ไม่มีข้อบ่งชี้ มันเป็นพื้นที่สีเทา และแม้ว่าบางเรื่องมันจะไม่จำเป็นเลย เราก็ยังแนะนำคนไข้ให้ทำ และถึงตอนนี้ ผมก็รู้ว่าใครบ้างที่หวังดีกับผมอย่างแท้จริง และใครบ้างที่หลอกเอาเงินผมโดยการเสนอ ความหวัง ให้ผมอยู่ เราสูญเสียเข็มทิศทางจริยธรรม (moral compass) ไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางสายนี้ เพียงเพราะว่าเราต้องการ make money
: ที่แย่ไปกว่านั้น ผมบอกได้เลย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เราพูดให้ร้ายเพื่อนร่วมวิชาชีพของเรากันเอง เสมือนเป็นคู่แข่ง ในธุรกิจเดียวกัน ถ้าเราสามารถจะกดคนอื่นลง เพื่อให้เราได้ผลประโยชน์แล้วละก็ เราก็จะทำมันทันที นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ในวงการแพทย์ และทุกๆ วงการ สิ่งที่ผมจะเตือนคุณก็คือ อย่าทิ้งเข็มทิศทางจริยธรรมไปเป็นอันขาด ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาอย่างยากลำบาก และหวังว่าพวกคุณจะไม่เป็นเช่นนั้น
:: ประการที่สอง พวกเราหลายคนด้านชากับคนไข้ของเรา ในยามที่เรารักษาพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐ หรือเอกชน ถามว่าผมรู้ไหมว่า คนไข้แต่ละคนรู้สึกอย่างไร? ผมไม่รู้หรอก ความหวาดวิตกกังวลต่างๆ ที่พวกเขามี จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวผมเอง ตอนนี้ผมกำลังได้รับเคมีบำบัดรอบที่ 5 อยู่ ผมบอกได้เลยว่ามันเลวร้ายมาก เคมีบำบัดเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณ ไม่อยากจะประสบ เพราะมันช่างทุกข์ทรมาน ทุเรศทุรัง ผมกำลังจะบอกให้คุณไปหาคนไข้ คนถัดไปของคุณ มองเขาในฐานะมนุษย์ที่มีความเจ็บปวดและกำลังทุกข์ทรมาน อย่าได้คิดว่าคนยากจนเท่านั้นที่จะทุกข์ นั่นไม่จริงเลย คนยากคนจนทั้งหลายจริงๆ แล้ว เขาพอใจในสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ พวกคุณควรจะรู้ไว้ด้วยว่าพวกเขามีความสุข มากกว่าคุณและผมเสียอีก
: ผมอยากจะจบการบรรยายด้วย ประโยคนี้ มันมาจาก หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie
Everyone knows that they are going to die; every one of us knows that. The truth is, none of us believe it because if we did, we will do things differently.
: เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะตายอย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่า เราจะมีชีวิตอย่างไร ผมรู้ว่ามันออกจะเคร่งเครียดไปหน่อย แต่นั่นคือความจริงครับ นี่คือสิ่งที่ผมได้ประสบมา
: อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ช ีวิตอย่างไร อย่าให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมม าแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผม จมไปกับความคิดที่ว่าสิ่งเหล่าน ี้จะนำความสุขมาให้ ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่อ งนี้ และตัดสินใจเลือกว่า จะใช้ชีวิตของคุณเองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ คุณต้องตัดสินใจว่า คุณจะให้เฉพาะแต่ตัวคุณเอง หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้น ในชีวิตของผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย . https://www.youtube.com/watch?v=umLkfADe17sOranop เรียบเรียง 091212
Create Date : 11 ธันวาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 11 ธันวาคม 2555 18:46:27 น. |
Counter : 1015 Pageviews. |
|
|
|