ก็เอาวอเชอร์ไปยื่น ลงทะเบียน แจ้งชื่อที่จองไว้ เค้าก็เอาตั๋วมาให้ค่ะ ตั๋วนี้จะมีเลขที่นั่งของเราอยู่
และมีเลขเรือว่าเราอยู่เรือลำที่เท่าไหร่ เรือที่ใช้พาทัวร์นี้ ลักษณะเหมือน เรือด่วนพิเศษธงเหลือง ขนาดใหญ่สุด
ถ้าใครเคยขึ้นเรือ คงจะพอนึกออก ไกด์บอกว่าทุกทีจะออกวันละ 2 ลำ แต่วันนี้ เป็นวันหมดอายุวอเชอร์
เลยออกทั้งหมด 8 ลำ อ่ะโห แอบคิดในใจ วัดไม่แตกหรอเนี่ย ลำนึงผู้โดยสาร ราวๆ 200 คนได้ค่ะ
คนเยอะมากจริงๆ บางคนก็ปริ๊นมาผิด บางคนก็ไม่ได้โทรจอง บางคนก็มาสาย สรุปเลทมากกกกกก
เค้าไปพร้อมหน้ากันในโบสถ์แล้ว ก็เริ่มทำพิธีรับศีลกัน โดยใครจะทำบุญเท่าไหร่
ก็ให้เอารวมใส่พาน แล้วถวายวัด ทำบุญร่วมกัน พอถวายเสร็จ ไกด์ก็ถามว่า " นับไหม "
เสียงประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลยว่า " นับ " แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะอีก 1 ครืนใหญ่
สุดท้าย ยอดเงินทำบุญเลขที่ออก 2,529 บาท
กราบพระเสร็จเรียบร้อย ก็ออกไปชมพิพิธภัณฑ์บ้านไม้สักทองกันค่ะ
ซึ่งเป็นบ้านไม้สักทองทั้งหลังมี 2 ชั้น สวยมากๆ สีไม้เหลืองทองเลย
เดินดูรอบๆ มีให้ความรู้เกี่ยวกับวงปี ของต้นสักทอง ซึ่งเวลาเค้าอธิบายอะไรเข้าไม่ถึงเลย
เพราะมัวแต่ไปถ่ายรูปจุดอื่นๆ ก็เดินไปถ่ายรูปไปค่ะ ไม่ได้ตามไปฟังอะไรเลยคนเยอะ
อันนี้ วงปี ต้นสักทองค่ะ ต้องรอให้คนอื่นไปหมดก่อนถึงจะเห็น
ด้านล่างมีพระสยามเทวาธิราช เป็นเทวดาปกป้องประเทศของเราค่ะ
ก็ไปกราบไหว้ขอพรกัน แล้วก็เดินขึ้นไปชมข้างบน
บริเวณรอบๆ สามารถ เดินอ่านประวัติ และถ่ายรูปได้นะคะ เก้าอี้แบบนี้
ดูคลาสสิคมาก สามารถนั่งเล่นถ่ายรูปได้เช่นกันค่ะ
ขึ้นไปชั้น 2 ก็จะเจอห้องโถงใหญ่ 2 ห้อง ห้องด้านขวา ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา เพื่อให้ประชาชนได้สักการบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล
และมีหุ่นขี้ผึ้ง พระภิกษุ ที่คุ้นชื่อ และคุ้นหน้าตาอยู่หลายรูป
และอีกห้องนึงด้านซ้าย จัดแสดง เป็นหุ่นขี้ผึ้งของสมเด็จพระสังฆราช
เท่าองค์จริงทั้ง 18 พระองค์
มีองค์เทพ เภสัช (ขออภัยถ้าจำชื่อผิด) ไกด์แนะนำให้ไหว้
ขอพรให้หายเจ็บป่วย จากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ วารีบปรี่ไปไหว้ทันทีค่ะ
และก่อนกลับ ไปไหว้องค์เทพประจำวัดค่ะ องค์เทพเทวราชเนรมิต
ประกาศิตดลใจ ปกเกล้าคุ้มภัย อธิษฐานดั่งใจ สำเร็จสมปารถนา
วิธีการไหว้ก็คือ
1. ใช้ธนบัตร 2 ใบ ม้วนเป็นหลอดๆ ใส่ลงไปในมือของรูปปั้นองค์เทพฯ
2. เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชิ้วชี้ของ รูปปั้นองค์เทพฯ
3. ท่องคาถาบูชา (จะมี จนท. มายื่นให้ ตอนเราต่อแถว) แล้วอธิษฐานขอพร
4. เอาธนบัตรออกมา ใบนึงใส่ตู้บริจาค อีกใบ จนท. จะประทับตราหมึกให้
แล้วเก็บใบนี้เอาไว้เป็นขวัญถุงค่ะ
ออกมาก็ให้อาหารปลากัน กระป๋องละ 20 บาท เพลินๆ
แล้วก็ขึ้นเรือ เดินทางต่อไปยังวัดที่ 2
ลืมบอกไปว่า จะมีเจ้าหน้าที่เดินมาแจก ของว่าง ได้รับมาทั้งหมดเท่านี้ค่ะ
ซึ่ง ท้ายเรือ มีน้ำเปล่าแบบแก้วๆเล็กๆ เย็นเฉียบ ใส่ตูแช่น้ำแข็ง ให้หยิบฟรีได้ตลอดเวลา
น้ำแบบนี้นะคะ เย็นเจี๊ยบ หยิบได้ไม่อั้น
เรือพาเราลอดใต้สะพานพระราม 8 กลับมาแล้วเลี้ยวเข้าไปในคลองบางกอกน้อย
ระหว่างทาง ไกด์ได้บอกเล่าว่า อาคารบ้านเรือนต่างๆ คืออะไร ยังไง สอดแทรกเล็กๆน้อย
บางอย่างที่เห็นอยู่ทุกวัน ตอนนั่งเรือ ก็เพิ่งได้รู้ข้อมูลวันนี้นี่เอง
ก่อนจะถึงวัดที่ 2 เรือจอดให้เราแอบชม " เรือพระที่นั่ง " ที่จอดอยู่ในพิพิธภัณฑ์อยู่ไกลๆ
พร้อมเล่าให้ฟัง ว่าเรือแต่ละลำเรียกว่าอะไร นับเป็นความรู้เล็กๆน้อยๆ ที่เพลิดเพลินมาก
และก็มาถึงวัดที่ 2 ค่ะ วัดอมรินทรารามวรวิหาร หรือ วัดหลวงพ่อโบสถ์น้อย
เป็นวัดที่มีความเชื่อกันว่า ศักดิ์สิทธิ์มาก เขาเล่าว่า ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยโดนระเบิดลง
โดยเฉพาะตรง สถานีรถไฟริมคลองบางกอกน้อย ที่อยู่ใกล้วัดนี้ ซึ่งบริเวณโดยรอบเสียหายทั้งหมด
แต่วิหารหลวงพ่อโบสถ์น้อย ไม่เป็นอะไรเลย ผู้คนแถวนี้จึงนับถือกันมาก
เข้ามาเห็นก็ใช่เลย โบสถ์น้อยจริงๆค่ะ เล็กมากๆ ในโบสถ์นั่งไหว้พระแทบจะไม่ได้
ด้านนอกจะมีให้ทำบุญไหว้พระ ทำบุญโลงศพ สร้างหลังคา ว่ากันไป ก็ทำบุญกันแล้วแต่ศรัทธาค่ะ
ที่ทัวร์ให้เวลาค่อนข้างน้อย ราวๆ 30 นาทีก็ไปรวมตัวกัน ขึ้นเรือ มุ่งหน้าวัดที่ 3 ต่อไป
วัดที่ 3 คือ วัดระฆังโฆสิตารามฯ วัดนี้คนเยอะมากกกกกกกกก เพราะเป็นวัดที่ผู้คนนิยมมาทำบุญกันอยู่แล้ว
อีกทั้งเป็นวัดที่เป็น 1 ใน 3 วัด ที่เค้ามีขายตั๋วเรือให้ ชาวต่างชาติ และชาวไทยมาไหว้พระทำบุญกัน
ตรงท่าเรือมีของขายมากมาย ทั้งมีให้ปล่อยนกปล่อยปลา ให้อาหารปลา เลยทำให้มีนกเยอะมาก (มาแย่งอาหารปลา)
ในวัดค่อนข้างเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ไกด์บอกว่า ให้เวลา 30 นาที นัดเวลาให้มาพร้อมกันที่ท่าเรือ
แล้วเรือจะกลับมารับอีกครั้ง เพราะท่าเรือนี้ จอดรอรับไม่ได้ ขอให้ทุกคนตรงเวลา
เราก็เลยรีบเข้าไปกราบพระในโบสถ์
เซี่ยงเซียมซีเล็กน้อย เพราะเค้าว่าแม่น
แล้วก็รีบออกไปยืนรอที่ท่าเรือเลย กลัวตกเรือ
พอเรือมาก็ไปกันต่อที่วัดต่อไป ตอนนี้ เริ่มร้อนแดดออกจัดๆ และใกล้จะเที่ยงแล้วค่ะ
ไม่นานนักก็มาถึงวัดที่ 4 วัดอรุณราชวรารามฯ หรือ วัดแจ้ง
ซึ่งเป็นวัดที่วาอยากมามากๆ มานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสซักที ใฝ่ฝันว่า
จะขึ้นไปชมวิวบนยอดพระปรางค์ให้ได้ซักครั้ง
วัดนี้ ไกด์บอกว่า มีโบสถ์เล็กๆอยู่ข้างหน้า ประดิษฐานรูปปั้น พระเจ้าตากสินมหาราช
ใครที่เป็นปีชงปีนี้ ไกด์บอกว่า จะพาไปลอดใต้ที่นั่งของพระเจ้าตากฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล
ซึ่งอยู่ในโบสถ์นั่นเอง ซึ่งเค้าบอกว่าไกด์ลำอื่น อาจจะไม่รู้ตรงนี้ เดี๋ยวแอบส่องถ้าโบสถ์ว่าง ก็พุ่งตัวไปเลย
สรุปก็ลงจากเรือค่ะ แล้วเดินตามไกด์ไปทันที วิธีไหว้ในโบสถ์นี้ คือ
เข้าไปไหว้พระประธานด้านในก่อน
แล้วมาไหว้ พระเจ้าตากฯ แล้วก็ไปลอดใต้ที่นั่งค่ะ ใครปีชงแนะนำให้ลอด ใครไม่ชง อยากลอดก็ลอดเลย
โอกาสไม่มีง่ายๆ เลยลอดตามๆเค้าไปด้วยค่ะ ลำบากได้อีกกกกกกก แต่ก็รู้สึกดีนะ แปลกดี
ไกด์เล่าว่า องค์พระเจ้าตากองค์นี้ ที่เห็นถือดาบอยู่ เป้นดาบจริงของท่านเลย ได้ยินก็ขนลุก
มีการมาอัญเชิญขอพรกันมากมาย แต่ต้องมีการขออนุญาตก่อน
ไหว้เสร็จวารีบออกมาด้านนอก มุ่งตรงสู่พระปรางค์ค่ะ ไปถึงก็แบกกล้องขึ้นไปคนเดียวเลย
ทางขึ้นชันมากกกกกกก ลำบากสุดๆ แต่ก็ไม่ท้อค่ะ สะพายกล้องไปไว้ข้างหลังแล้ว ปีนๆขึ้นไป
บันไดขั้นต่อไป อยู่แทบจะชนหน้าเราเลย ขึ้นแล้วให้มองบนๆ ห้ามมองลงข้างล่าง เข่าจะอ่อน
มองลงไปที่บันได ที่เราปีนขึ้นมา น่าหวาดเสียวมากกกกกกกกกกก >[]<
พอขึ้นไปถึงก็ดีใจ วิวสวยมากกกกกกกกกก แอบมองไปที่เรือ ก็โอเค จอดอยู่ เดินวนรอบนึง
ถ่ายรูปรอบๆก่อน วิวดี อากาศดี ชอบจังเลย ที่เคยใฝ่ฝันว่าจะขึ้นมาก็เป็นจริงแล้ว
ข้างบนมีผืนผ้าพันรอบๆ และมีเขียนชื่อกันด้วยค่ะ แต่ไม่ได้ไปเขียนกับเค้า
อยู่ได้แปปเดียวก็ปีนลงค่ะ ทางลงชันมาก ต้องเกาะแล้วไต่ถอยหลัง ค่อยลงมา
เค้าบอกเวลามา 12.30 ประมาณนั้น ให้กลับไปที่เรือ
เราก็เดินมาเรื่อยๆ ประมาณ 12.25 ก็เดินชมนกชมไม้มาเรื่อยๆ พอใกล้จะถึงท่าเรือ
ก็เห็นเรือที่เรานั่ง ออกจากท่าไปต่อหน้าต่อตา ............
คะ คะ คือ อะไร เรือเรานี่ ไปไหนหว่า ... ?
เอ๊ะ ทำไมมีคนบนเรือเต็มเลย ยังไม่ถึงเวลานี่นา แล้วเค้าไปไหนอ่ะ หลบเรืออื่นรึเปล่า
ยืนมองอยู่ซักพัก เอ๊ะทำไมเรือไปไกลเลย ไม่กลับมาเลยล่ะ ....
แล้วเรือก็ลับตาไปค่ะ เพิ่งจะสำเนียกได้ว่า เอ่อ.....ข้าพเจ้า ตกเรืออออออออออออออ
งง เบลอ ยังไง ยังไง 4 วัดเอง ยังไม่ครบเลย ทำไงดี ร้อนนะเฟร้ย เหนื่อยนะเฟร้ย ทำไงดี
ตกใจ งง โมโห เรามาตามนัด ทำไมเรืออกไปก่อน ยังไง ไง ไง ไงงงง
หันไปหันมา เจออีก 2 คน ชะตาเดียวกัน ตกเรืออออ เค้าเป้นแฟนกัน มีเหวี่ยงๆกันเองเล็กน้อย
สรุป นึกได้ว่า ในกระเป๋า ปริ๊นใบวอเชอร์มาเกิน เลยเอาขึ้นมาดู มีเบอร์โทรพอดี วาเลยโทรเข้าบริษัท
เค้ารับสาย ก็บอกเค้าว่า ตกเรือค่ะ (-.-) เค้าก็ถามเลขเรือ ก็บอกไป ไกด์คงไปถึงพอดี จนท. ในโทรศัพท์
เลยหันไปพูดกับคนนั้น ได้ยินมาตามสายว่า " ทิ้งลูกค้าอีกแล้วนะพี่ 4 คน ที่วัดอรุณ "
เค้าบอกว่าตอนนี้ เป็นช่วงพักเที่ยงพอดีค่ะ เรือจอดให้ลงไปทานข้าว 1 ชม. เดี๋ยวยังไง
จะประสานให้ขึ้นเรือลำอื่นแทน เดี่ยวโทรกลับ
ทีนี้อีก 2 คนนั้นก็พยายาม ขึ้นเรือข้ามฝากแล้วกลับไปกันเอง แต่วาไม่รู้ทางไม่เคยมา
เลยนั่งรอโทรศัพท์ดีกว่า .. อุปสรรคมักจะมีมาทดสอบชีวิตเสมอ การทำบุญมันยากแบบนี้เองนะ
คนแถวๆนั้นเค้าบอกว่า เมื่อกี้เค้าตะโกนเรียกแล้ว เห็นไม่มีใครมาแล้ว เรือเลยออกไป
แต่เราก็นิ่งนอนใจไง มาตามเวลา แต่เป๊ะเกิน เลยแบบ คลาดกันแค่ไม่กี่วินาที
แอบนั่งคิดเล่นๆว่า เรือลำที่เรานั่งมา อินดี้จัด คือไปสวนทางคนอื่นหมด
สมมุติคนอื่นไปตามลำดับ 1 ถึง 10 เรือลำเราไป 10 ย้อนกลับมา 1 ถ้าช่วงบ่าย ต้องขึ้นลำอื่น
หมายถึงเรา ก็จะไปวัดซ้ำกับช่วงเช้าแน่นอน แง...
นึกได้ดังนั้นเลยคิดได้ว่า " กลับบ้านดีกว่า ง่วงมาก และร้อนมากกกกกกก "
ก็มองซ้าย ขวา หาทาง จะกลับบ้าน แต่ ทันใดนั้นเอง ดวงก็ยังพอมีอยู่บ้าง เค้าโทรกลับมา
บอกว่า จะใช้เรือลำเดิม ตีเรือเปล่ากลับมารับ อะโห ... ซึ้ง ซึ้งมากกกกก

สุดท้ายเค้าก็ตเรือเปล่า สุดเอกคลูซีฟ มารับเราไปส่งที่ท่าเรือมหาราช มีเวลาไปหาข้าวกิน 40 นาที
แล้วก็กลับมาที่นี่ ก็เลยบึ่งไปกินก๋วยเตี๋ยวแบบด่วนมาก แล้วกลับมานั่งรอที่ท่าเรือก่อนใครเลย
กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย แล้วเค้าจะด่าผู้ปกครองเอา (-.-)
แล้วก็ได้เวลาออกเดินทางต่อค่ะ วัดช่วงบ่ายจะไม่ค่อยมีอะไรมากนะ แบบไหว้พระ ขอพร กลับ
อาจจะเป็นเพราะ พลังหมด แดดร้อน ขี้เกียจ ก็แล้วแต่ความสามารถเฉพาะบุคคล
นาทีนั้น อิ่มปุ๊บ แดดแก่ๆ ง่วงได้อีก เพราะได้นอนไป 2 ชม. กว่าๆ แทบนอค
แต่ก็ต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้ค่ะ เรือดูหลวมๆ ลงไปอีกหลายที่นั่ง
มีแอบโดดกลับบ้านกันหลายคน
วัดที่ 5 ที่เราจะไป ไกด์บอกว่าไปเริ่มที่ไกลก่อนเลยแล้วกัน แล้วมาจบที่ท่ามหาราชพอดี
เราก็นั่งเรือเพลินๆไปหลายนาที แล้วก็ไปถึงค่ะ "วัดบุคคโล"
วัดนี้ไกด์พาเข้าไปตรง...เค้าเรียกอะไรไม่ทราบค่ะ ชั้นล่างของ ตึกสูงๆที่เราเห็นนั่นล่ะ
กุฏิพระหรือเปล่ามิอาจทราบได้ เข้าไป พระท่านก็กล่าวต้อนรับอย่างดี
แล้วก็เทศก์ให้ฟังนิดๆหน่อยๆ ก็ร่วมกันฟังพระสวด ทำบุญกัน
กราบพระแล้วก็กลับเลย ก็งงๆ ว่าทำไมไม่ไปโบสถ์หว่า สงสัยไม่มีอะไรมากมาย
แต่วาก็พยายามเดินหาโบสถ์ แล้วเข้าไปกราบพระประธานก่อน แล้วค่อยเดินกลับไปที่เรือ
ภาพฝาผนังสีสวย สดใสดีจัง
วัดที่ 6 วัดราชสิงขร เป็นวัดเล็กๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เราจะได้ยินชื่อบ่อยๆ
จากชื่อเรียก ท่านึงของเรือด่วนเจ้าพระยานั่นเอง (เรือธรรมดา จอดทุกป้าย จะไปหมดระยะที่ท่าเรือนี้)
เดินเข้าไปก็เงียบๆค่ะ เห็นเป็นโบสถ์เก่าๆ เข้าไปกราบพระประธานด้านใน
กราบบบบบ ... ดูเก่าแก่ ขลังๆ ดีนะคะ วัดนี้
วัดนี้ไม่มีอะไรมาก เลยได้แวะเข้าห้องน้ำ ซื้อขนมกันเล็กน้อย
และยืนฟังไกด์เล่า นู้นนี่ให้ฟัง ได้ความรู้มากทีเดียว
ตอนนี้วาสังเกตุเห็น คนที่ตกเรือพร้อมกับวา ที่วัดอรุณฯ ก็กลับมาอยู่ในทริปด้วยแล้ว
เลยถามว่ากลับมายังไง เค้าบอกว่า ขึ้นเรือข้ามฝากตรงวัด แล้วเดินไปท่าเรือมหาราช
แล้วก็มาเข้าทัวร์ต่อ เจ๋งเนอะ ตกเรือขนาดนั้น แล้วยังกลับมาต่อ
ผิดกับหลายๆคน หายไปซะดื้อๆ
วัดต่อมาเป็นวัดที่ 7 ค่ะ นั่นคือวัด วัดยานาวา เรามาถึงวัดนี้ประมาณ บ่าย 3 โมงเย็น
แอบผ่านเอเชียทีค มาด้วย แอบมองแล้วสวยดีไม่เคยไป โดยเค้าไปจอดเรือตรงท่าเรือสาทร
แล้วเดินทะลุเข้าไปข้างๆ ตรอก ค่ะ เพราะท่าเรือของวัด พัง เข้าไปจอดไม่ได้ เลยแอบเดินไกลนิดนึง
วัดนี้ไกด์บอกกับเราว่า คอยดูนะ วัดนี้เป็นวัดที่ ลูกทัวร์จะหายไปเยอะที่สุด เพราะใกล้รถไฟฟ้า
เข้าไปที่วัด ก็เห็นว่าโบสถ์ของวัดนี้ เก่ามากกกกกกกกกกกกกกกกกก
แถมสร้างหลังคา ครอบหลังคาโบสถ์เอาไว้อีกชั้นนึง ดูประหลาดมากมาย
ไกด์เล่าให้ฟังว่า โบสถ์ของวัดนี้ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เพราะเก่าแก่มาก
หลังคาโบสถ์เริ่มทรุดโทรม และเริ่มพังแล้ว ซึ่งการที่เป็นโบราณสถาน จะไม่สามารถซ่อมเองได้
ต้องแจ้งให้ทาง กรมศิลป์มาทำการ บูรณะซ่อมแซมให้ แต่ก็ไม่ซ่อมซักที
ทางวัดเลย ทำหลังคาครอบเอาไว้แบบนี้ซะเลย เพราะแตะต้อง บูรณะซ่อมแซมโบสถ์ไม่ได้
ประมาณประชดเล็กๆ ไม่ซ่อมเหรอ ทำเองเลย เราก็เลยได้เห็นโบสถ์มีหลังคา กันแบบนี้นั่นเองค่ะ
ด้านในบ่งบอกความเก่าแก่ ของสถานที่ได้เป็นอย่างดีค่ะ
ฝั่งตรงข้ามโบสถ์ จะมีเรือสำเภาพระเจดีย์ มีให้เดินขึ้นไปกราบพระด้านบน และ ชมวิวรอบๆได้ด้วยค่ะ
เห้นว่าสร้างเป็นเรือขึ้น แทนการสร้างพระสถูปเจดีย์ทั่วๆไป
กราบพระเสร็จ ก็เดินกลับไปที่เรือดีกว่าค่ะ
ไปรอเค้าดีกว่าให้เค้ารอ ที่สำคัญกลัวตกเรืออีก
และที่ไกด์บอกไว้ไม่มีผิดเลยค่ะ คนหายไปอีกเยอะเลย หนีกลับ BTS กันสะดวกสบายเลยล่ะ (^^")
จริงๆวาก็เริ่มไม่สู้แล้วนะ เพราะเหนื่อยมากจริงๆ หมดแรง แต่กว่าจะมีโอกาส ไหว้พระ 9 วัด
ดูเหมือนง่ายแต่ทำยากมาก ใกล้วันเกิดแล้ว ถือซะว่า อดทน ทำบุญไหว้พระ ทำบุญให้ตัวเองช่วงวันเกิดไปแล้วกัน
แต่จะว่าไปก็อีกแค่ 2 วัดเอง เลิกกลางครันตอนนี้ ไม่โอเค ยังไงก็ต้องไปให้ครบ
สร้างพลังให้ตัวเองแล้วก็ขึ้นเรือไปต่อกันที่วัดที่ 8 ค่ะ
วัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร วัดนี้จอดที่ท่าเรือแล้ว ต้องเดินต่อเข้าไปอีกนิดหน่อย
ไปถึงก็เจองานศพพอดีเลยค่ะ ก็เดินอ้อมๆ เมรุ มุ่งหน้าสู่โบสถ์ของวัดนี้
ไปถึงก็เห็นโบสถ์ค่อนข้างใหญ่ และดูเก่าแก่พอสมควร เข้าไปจุดธูปไหว้พระ ทำบุญ
แล้วก็ไปกราบพระด้านใน แล้วก็เดินออกมาด้านนอก
เห็นเค้าขายลอตเตอรี่กันเยอะมากๆ แน่นอนว่า ลูกทัวร์ในเรือก็ไปยืนมุงเลขเด็ดกันทั้งนั้น
เลขเด็ดที่ได้มาจากวัดที่ทำพิธีรับศีลวัดแรก ถึงกับเกลี้ยง หาซื้อไม่ได้เลย
และที่มีคนมุงเยอะๆ ก็เพราะ มีนกเอี้ยงตัวนึง มาเลือกเลขเด็ดอยู่เหมือนกันค่ะ
ขามุงเลย รุมกันใหญ่ มีคนซื้อเลข ที่น้องเอี้ยงเลือกให้ด้วยล่ะ
เหนื่อยเนอะ กินติมซักแท่งดีกว่า
ไม่นานนัก ก็กลับไปขึ้นเรือค่ะ แล้วก็มุ่งหน้าสู่วัดสุดท้าย วัดที่ 9
พอเรือจอดเทียบท่าน้ำปุ๊บ ก็นึกออกทันที ว่าวัดนี้เราเคยมากราบ ช่วงวันเกิดปีก่อน
พี่สาวพามา วัดกัลยาณมิตรฯ จำได้ว่า พระประธานของวัดนี้ องค์ใหญ่มากกกกก
คราวก่อนมากราบพระแล้วก็กลับ แต่คราวนี้ไกด์พาทำนู้นนี่มากมาย ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ
เข้าไปถึงก็จุดธูปแล้วเข้าไปกราบพระกันก่อน มีถวายสังฆทานกันเล็กน้อยด้วยค่ะ วัดสุดท้าย
วาก็แอบเสี่ยงเซียมซีเล็กน้อย ที่วัดนี้ พอดีนั่งใกล้ป้ายใบเซียมซี แหะๆ ...
แล้วก็ออกมาไหว้เทพเจ้าโชคลาภ เงินทองด้านนอก
ซึ่งไกด์มาบอกวิธีไหว้ที่ถูกต้องให้ เลยได้ต่อแถวกันใหญ่เลย
และก็ยังมีรอยพระพุทธบาท ให้เราเอาเหรียญไปตั้งให้ได้
เค้าให้ตั้ง ตรงพื้นที่เรียบๆนะคะ ถึงจะถือว่าตั้งได้ ถ้าไปลอคไว้ตามร่องตามสัน ไม่โอเคนะ
ยืนตั้งอยู่ตั้งนาน ฝึกสมาธิ ในที่สุดก็ทำได้ เพราะแอบโกง ใช้เหรียญห้าตั้ง เหรียญใหญ่ดี (^^)/
น้ำตาจะไหลด้วยความยินดี ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ ภารกิจล่องเรือไหว้พระ 9 วัดของเราสำเร็จไปได้ด้วยดี
ถึงจะมีอุปสรรคใหญ่หลวงมาก เพราะตกเรือ แต่ก็ยังกลับเข้ามาร่วมทริปต่อจนได้
วาเคยคิดว่าทริปนี้มันง่ายๆนะ แค่นั่งเรือแล้วไปไหว้พระ ง่ายกว่าขึ้นรถไปเองอีก
แต่พอมาจริงๆก็ต้องยอมรับเลยว่า ปัจจัยอื่นๆ มันทำให้เราเขว อยากล้มเลิกกลางครันอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะแดดร้อน และเหนื่อยอ่อนมากๆเพราะ นอนน้อย ทริปต่อเนื่อง คือถ้าไม่ใช่กลับจากทริป
แล้วมาเลย วาคงไม่งอแงอยากกลับบ้านตลอดเวลาขนาดนี้ 55555555

เค้ากลับมาส่งพวกเราที่ท่าเรือมหาราชค่ะ เราก็กลับบ้านกันอย่างอิ่มบุญแช่มชื่นเป็นที่สุด
รู้สึกดีที่ได้ทำอะไรดีๆมีสาระ ตลอด 1 วันแบบนี้ " ชนะอะไรไม่ภูมิใจ เท่าชนะใจเราเอง "
หลังจากไหว้พระไป สิ่งดีๆก็เข้ามาในชีวิตตลอดเวลาค่ะ ไม่เช่อย่าลบหลู่ ขอเรื่องงานไป งานก็มามากมาย
และที่กรี๊ดมากกับทริปนี้ก็คือ วาถูกเลขท้าย 29 เต็มๆ ค่ะ เชื่อว่าคนที่ไปทัวร์ด้วยกัน
ก็มีคนถูกกันถ้วนหน้าแน่นอน ไกด์เค้าย้ำนักหนา ว่า อย่าเล่นพนัน แต่ออกทุกงวด นะจ้ะ นะจ้ะ
ไกด์ก็คงเอาไปเมาท์ได้อีกทริปว่า ถูกอีกแล้วจ้า
--------------------------------------------------------------------------
จบไดอารี่หน้านี้เพียงเท่านี้ บ๊าย บาย ....ชุ๊บุ ชุ๊บุ (^_________________^)