Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
เที่ยวฮ่องกงตามไกด์บุ๊กญี่ปุ่น ตอน ระทึกใจในเสินเจิ้น (^。^;

เหอ เหอ เหอ เปิดหัวว่าเที่ยวฮ่องกงฯ แต่เริ่มเรื่องด้วยเสินเจิ้น ครุ ครุ

๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๑

ประดับวันสุดท้ายของทริปฮ่องกงครั้งแรกนี้ด้วยการข้ามไปประเทศจีน อุตส่าห์ลงทุนไปขอวีซ่าเสียทั้งเงินค่าขอวีซ่า เสียทั้งเวลาเดินทางไปถึงสถานทูตจีนในญี่ปุ่น แต่ก็เป็นโอกาสดีทำให้เห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของสถานทูตจีนกับสถานทูตไทยในญี่ปุ่นต่างกันอย่างสิ้นเชิง คงไม่ต้องสาธยายว่าของใครเข้มงวดกว่ากันหรอกนะ เพราะคงไม่มีใครประมาทเท่าพี่ไทยเราอีกแล้ว

เดินทางจากที่พัก BP International House สถานี Jordan ไปต่อรถไฟสายKCR (ซึ่งมีต้นสายอยู่ที่ East Tsim Sha Tsui) ที่สถานี Kowloon Tong ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๓๐ นาทีก็ถึงสถานี Lo Wu สถานีที่มีด่านตรวจคนเข้าเมืองจีนอยู่ คนเยอะมาก สังเกตุเห็นคนลากกระเป๋าเดินทางเปล่าๆ เยอะเลย ส่วนมากน่าจะเป็นคนฮ่องกงหรือคนจีนที่ทำงานอยู่ที่ฮ่องกงมาซื้อของกลับไปขายในฮ่องกง และบังเอิญมากที่เมื่อวานนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ วันนี้เลยเป็นวันหยุด คนก็เลยเดินทางข้ามมาเสินเจิ้นกันหนาตา คนต่างชาติอย่างเราต้องเข้าทางช่องสีเหลืองด้านซ้าย ที่ไม่มีคนเลยนั่นแหละ เพื่อไปรอตรวจคนออกจากเมืองฮ่องกง หลังจากนั้นค่อยไปยื่นเรื่องเข้าเสินเจิ้นอีกที

สามีชาวญี่ปุ่นของเราผ่านช่องตม.ไปได้อย่างรวดเร็ว ไปยืนแอ๊กท่ารอเราอยู่ฝั่งเมืองจีนแล้ว ส่วนของเรายังติดอยู่ที่โต๊ะตม.อยู่เลย ไม่รู้เพราะอะไรทำให้จนท.ถามเราว่า "คุณมีID Card ฮ่องกงหรือ" เราก็งง ตอบว่า "No" กว่าจะหลุดมาได้ใช้เวลาพอสมควรเหมือนกัน อันนี้ก็ระทึกใจแล้วล่ะ คาดว่าจนท.ตม.คงไม่เห็นตราประทับออกจากเมืองของฮ่องกงหรือไงนี่แหละถึงได้ถามแบบนั้น
เอ๊ะ นั่น ป้ายต้อนรับที่เราเห็นบริเวณด่านตม.เขียนชื่อเมืองนี้ว่า Luohu ไม่ใช่ Lo Wu อย่างที่เขียนไว้ในไกด์บุ๊กอ่ะ



คืนก่อนเดินทางมาเสินเจิ้นเนี่ย เรานอนแทบไม่ค่อยหลับเลย กังวลโน่นนี่ไปหมด คือ แบบว่าเราเป็นโรคขี้กังวลอ่ะ สามีเราเป็นคนญี่ปุ่นใช่ม้า แล้วมีข่าวอยู่บ่อยๆว่าเกาหลีเหนือชอบลักพาตัวคนญี่ปุ่น แล้วเราก็ไม่รู้มาก่อนว่าเสินเจิ้นเป็นเมืองยังไง ก็จินตนาการว่าคงเป็นเมืองเงียบๆ ผู้คนคงหน้าตาซึมเศร้า จะมีคนเยอะก็เฉพาะบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว นอกนั้นก็คงเป็นเหมือนชนบทไทย ชาวบ้านก็คงเชยๆ พวกเกาหลีเหนืออาจซุ่มลักพาตัวสามีเราไปพร้อมกับสาวไทยอย่างเราเป็นตัวแถม โอ๊ย...อิฉันกังวลมากค่ะ จิตไหมคะ อิอิ พอเล่าให้สามีฟัง ฮีบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ช่วยไม่ได้ ก็ต้องตามเขาไป เขาให้ทำอะไรก็ต้องทำไม่ขัดขืน และก็ปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีกับคิมจองอิลอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะได้รับสิทธิพิเศษอยู่ดีกินดี .... ฮ่าๆๆๆ เออ...ฟังแบบนี้แล้วเราก็ค่อยคลายความกังวลไปบ้าง

ที่ไหนได้ พอเข้าเมืองเสินเจิ้นจริงๆ ก็อลังการตื่นตาว่ามีรถไฟฟ้าใต้ดินด้วย หน้าตาก็ไม่ได้แปลกไปจากเมืองไทยเลย แต่ไม่เหมือนในญี่ปุ่นนะ แถมเด็กๆ ที่นี่ก็เล่นเกมส์นินเทนโดกันในรถไฟอย่างสนุกสนานไม่ได้ต่างบ้านเราเลย




ต้องขอโทษจริงๆ ที่เราไม่คิดว่าที่เสินเจิ้นจะมีรถไฟฟ้าใต้ดินเพราะก่อนไปเราก็หาข้อมูลตามบล็อก พันทิป ก็ไม่เห็นมีใครพูดถึงรถไฟฟ้าใต้ดินเลย เรามารู้ว่ามีก็เมื่อเข้าไปถามข้อมูลการท่องเที่ยวซึ่งอยู่ที่บริเวณด่านตม.นี่เอง จนท.คิดว่าเราเป็นคนญี่ปุ่นเพราะถือไกด์บุ๊กภาษาญี่ปุ่น ก็มาคนนิจิวะ ทักโน่นทายนี่กับเราใหญ่ แล้วก็พยายามคุยภาษาญี่ปุ่นกับเราด้วย น่ารักมีความตั้งใจมาก เราก็ถามทาง เวลาที่ใช้ในการเดินทาง ต่างๆ นานา จนท.อัธยาศรัยดีก็ให้ข้อมูลได้ดีทีเดียว สิ่งที่เรากังวลที่สุดคือรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่จะกลับไปฮ่องกงภายในวันนี้ เพราะเราเที่ยวแบบวันเดียวกลับ แล้วก็จะไปดูโชว์ที่เริ่มทุ่มครึ่งเวลาเลิกก็ไม่ได้เขียนบอกไว้ในไกด์บุ๊ก เลยกังวลกลัวว่าจะออกจากเสินเจิ้นไม่ทัน จนท.ก็ให้ข้อมูลว่า "อ๋อ ไปดูโชว์นั้นเสร็จแล้วคุณมีเวลาพอสมควรที่จะเดินทางกลับฮ่องกงค่ะ" ฟังอย่างนี้แล้วก็ค่อยเบาใจขึ้นหน่อย อ้อ สามารถรับแผนที่เส้นทางรถไฟได้ที่ Information ตรงทางออกด่านตม.นี้ได้เลยนะคะ

เอาล่ะ ทีนี้เราจะเริ่มต้นที่ไหนดี พลิกๆ ดูตำราที่พกไปด้วย เขาเขียนแนะนำเส้นทางดังนี้ Luo Fu Commercial City → Dong Men → Splenddid China → China Folk Culture Villages

เราก็เลือกไปDong Men ก่อนเลย เห็นเขียนว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งศูนย์รวมวัยรุ่น ในบล็อกต่างๆ ก็เขียนแนะนำว่าเป็นแหล่งขายของถูก เราก็ไปแบบตื่นๆ คนจีนรอบตัว ดู ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาษาจีนหรือเปล่าที่ทำให้เราได้ยินเหมือนเขาทะเลาะกันโช้งเช้งตลอดเวลา เราว่าเราก็ชินกับภาษาจีนมากๆ เลยนะ ด้วยตัวเองก็เป็นลูกจีนแต่พูดไม่ได้ แถมตอนเด็กๆ ไปเยาวราชบ่อยๆ ด้วย อืม..อาจเป็นเพราะห่างเหินมานานแล้วมั้ง...ดัดจริตไหมเนี่ย...

นั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Luohu ไปลงที่สถานี Laojie ห่างกันแค่สองสถานี พอออกจากสถานีคนก็ยังเยอะอยู่ดี ไม่รู้มาจากไหนกันมากมายขนาดนี้ ต้องค่อยๆ เดินตามๆ เขาออกไป ระหว่างทางก็มีของขายเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอิเล็กทรอนิก กระเป๋าแบรนด์เนมบ้างโนเนมบ้าง และอื่นๆ เราไปหยุดถามราคากระเป๋ากุชชี่ที่ร้านนึง จำราคาที่เขาบอกไม่ได้แล้วอ่ะนะ แต่จำได้ว่าพอเราทำท่าไม่ซื้อเขาก็มาย้ำแล้วย้ำอีกว่า "เนี่ย กุชชี่เลยนะ ราคาไม่แพง" อืม...แหม...มั่นใจมากเลยนะ คงนึกว่าฉันไม่รู้ว่ามันเป็นกุดจี่...เดินออกมาจากร้านแล้วยังมาตื้ออีกนะ "งั้นให้ราคาเท่าไรหล่ะ" โหย หน้าตาถมึงทึงน่ากลัวมาก กลัวๆๆๆ ใครที่ขายของที่มีคนต่างชาติมาซื้อก็ระวังหน่อยนะคะ คนต่างชาติหลายๆ คนคงเป็นแบบเราเหมือนกัน



หลุดออกมาจากสถานีได้ก็เห็นป้ายแม็คโดนัล
สาละมีดิฉันว่า "เฮ้ย มีแมคก็ไม่ต้องกลัวแล้ว ประเทศที่มีแมคเป็นประเทศที่ปลอดภัย"
เมียคิดในใจ "แกร เอาทฤษฎีนี้มาจากไหนยะ" แต่ได้ยินสาละมีพูดแบบนี้เราก็ใจชื้นขึ้น
ไม่อยากบอกเลยว่ารูปสุดท้ายเนี่ยถ่ายมุมเดียวกันไกด์บุ๊กที่เราถืออยู่เลย อิอิ ภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง แสดงว่าเราได้มาเหยียบที่เดียวกันคนทำหนังสือ คริ คริ อ้อ มีข้อสงสัยอย่างนึงว่าไอ้ร้านกังฟู(ภาพซ้าย) ขายไรเหรอ คู่แข่งแมคโดนัล? ส่วนรูปกลางเนี่ยอยากให้ดูว่าคนที่นี่เขากางร่มกันแดดกันเยอะมากพอๆ กับไทยเลย จะต่างกันก็ตรงที่ว่าเขาเดินกางกันไม่สนใจใครเลย เวลาเดินผ่านกลุ่มคนก็ไม่ยกร่วมขึ้นหลบคนสักนิด สาละมีเราเกือบโดนร่มทิ่มตาหลายครั้ง ส่วนราคาของที่ใครๆ ก็บอกว่าถูกอ่ะ ไม่รู้เราไปผิดที่หรือเปล่า ก็ไม่เห็นถูกมากมายตรงไหนเลยอ่ะ ยิ่งของที่ขายในอาคาร(คาดว่าเป็นห้าง) ยิ่งซื้อไม่ได้เลย ราคาไม่ต่างจากญี่ปุ่นเลยอ่ะ ซื้ออะไรไม่ลงสักอย่าง ก็มีบ้างที่ราคาถูกนะ แต่ก็ไม่ใช่ของแบบที่เราใช้ เปรียบเหมือนเราไปตลาดนัดอ่ะ ของราคาไม่แพงก็จริงแต่เป็นของที่เราอยากซื้อไม่กี่อย่าง อะไรประมาณนี้อ่ะ

เราหาอาหารกลางวันกินกันที่นี่ เป็นร้านอาหารจีนในห้างที่ดูหน้าตาโทรมๆ เห็นมีป้ายว่ามีติ๋มซำก็เลยขึ้นไป ที่จริงอยากลองกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางที่เด็กๆเขานั่งยองๆ กินกันอยู่อ่ะนะ แต่คนเยอะมากเหลือเกิน คาดว่าคงต่อสู้ช่วงชิงไม่ไหว

หลังจากเดินเซ็งเป็ดซื้ออะไรไม่ได้ ร้อนก็ร้อนกันอยู่สักพัก ก็ตัดสินใจว่าไปหมู่บ้านวัฒนธรรมกันเลยแล้วกัน ไปหาที่นั่งพักหาอะไรกินกันดีกว่า(ทั้งๆที่กินมื้อกลางวันกันอิ่มแล้ว) คิดได้ดังนั้นก็กลับไปขึ้นรถไฟใต้ดินมุ่งไปสถานี Huaqiancheng เออ แปลกดี สถานีนี้ไม่มีคนเลยอ่ะ เงียบเชียบเชียว ระทึกใจอีกแล้ว... เดินออกจากสถานีมาไม่นานนักก็เจอทางเข้า China Folk Culture Villages บริเวณนั้นมีตึกรามอาคารสูงใหญ่อยู่มากทีเดียว ผิดจากที่เราจินตนาการไว้ลิบลับเลย




อ้อ หลังจากซื้อตั๋ว เราก็ขอเอกสารภาษาอังกฤษเจ้าหน้าที่บอกว่าหมด แล้วก็มาอธิบายโน่นนี่เราเป็นการใหญ่ พอรู้ว่าเราจะมาดูโชว์ ดรากอนกับนกฟีนิกส์ตอนทุ่มครึ่ง จนท.ก็จะมายัดเยียดให้เราดูโชว์รอบก่อนหน้านั้น บอกว่าอันนี้แหละโชว์ดรากอนกับนกฟีนิกส์ที่เราอยากดู เราก็แปลกใจเพราะในไกด์บุ๊กบอกว่าเริ่มทุ่มครึ่ง เราก็นึกว่าเขาคงเปลี่ยนเวลา จนท.บอกดูใช่ไหม เดี๋ยวจะโทรไปบอกให้เพื่อนที่ขายตั๋วอยู่เอาตั๋วมาให้เลยที่นี่ เราก็เกือบโง่เชื่อแล้วล่ะ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้บอกไปว่า "ไม่เป็นไรเด๋วเดินไปซื้อเอง" เดชะบุญจริงๆ ที่ไม่เชื่ออีตานั่น เพราะโชว์ที่เราอยากดูก็ยังฉายเวลาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พอรู้แน่ชัดดังนี้แล้วก็เดินไปที่ขายตั๋ว ขอซื้อตั๋วโชว์ดรากอนฯ ๒ ใบ ยัยคนขายตั๋วยังทำท่าจะฉีกตั๋วโชว์ก่อนหน้านี้มาให้เราอีก เราต้องจิ้มๆ บอกว่าเราจะซื้ออันนี้ๆ ถึงจะฉีกตั๋วมาให้เรา แถมยังบ่นๆ อะไรอีกก็ไม่รู้ ใครที่จะไปเองก็ระวังไว้นะคะ อย่าหลงเชื่อใครเป็นดีที่สุด

หลังจากได้ตั๋วมาครอบครองสมใจนึกแล้ว เราก็เริ่มเดินสำรวจหาของกินเล่น ไม่พบอะไรน่ากิน เลยว่าจะไปชมรอบๆ ดู ในไกด์บุ๊กบอกว่ามีการจำลองสถานที่สำคัญของจีนมารวมไว้ จากข้อมูลที่เราค้นมาทางเน็ทแนะนำว่าให้นั่งรถบริการชมรอบๆ หากคิดว่าเดินไม่อึดพอ เราก็เลยเลือกนั่งรถชมรอบๆ รวมกันคนอื่น ที่นี่มีรถหลายแบบให้เลือกนั่ง จะนั่งแบบคนเดียว เฉพาะกลุ่มตัวเอง หรือนั่งรวมๆ ไปกับคนอื่น ราคาก็แตกต่างกันไป เราเลือกแบบนั่งรวมกับคนอื่นเพราะราคาถูกที่สุด ถ้าเป็นแบบอื่นต้องวางเงินประกันการยืมด้วย ค่าเช่าก็แพงค่าประกันก็แพง แล้วก็รับแต่เงินหยวนไม่รับเงินฮ่องกงอีกด้วย

รถคันที่เรานั่งคนขับขับได้เลว...เอ้ย เร็วมาก ขนาดไหนน่ะเหรอก็ขนาดที่ไม่สามารถถ่ายรูปอะไรมาได้เลย ไม่รู้ไปโกรธใครมา หรือจะไม่พอใจที่พวกเราดันมากัน ทำให้ต้องออกมาทำงาน? ขับแซงหน้าคันอื่นๆ ที่ออกก่อนหน้าพวกเรา เรียกว่าออกตัวทีหลังแต่ถึงก่อน... แถมถ้ามีใครเดินขวางอยู่ข้างหน้าแกบีบแตรพร้อมสบถคำด่า(คาดว่านะ เพราะฟังไม่ออก) เฮ่อ...เสียเงินนั่งรถธรรมดาดันได้รถด่วนซะนี่ ปกติคนอื่นคงใช้เวลาประมาณครึ่งชม. ละเลียดชมโน่น ถ่ายนี่ ไปตามระยะ แต่คันดิฉัน ๑๐ นาทีค่ะ จะได้แวะหยุดถ่ายรูปก็ต่อเมื่อเฮียคนขับแกแวะจุดขายของที่ระลึก ๒ จุด ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรให้เราซื้อได้เลย


รูปตึกนี่ก็พยายามกดชัตเตอร์ตอนรถด่วนวิ่งอยู่อ่ะนะ ถือเป็นโชคดีที่กล้องเราถ่ายภายเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างดี เหอๆๆๆ ก็อยากถ่ายให้เห็นกำแพงเมืองจีนกับตึกรามบ้านช่องของที่นี่ เคยได้ยินทีวีญี่ปุ่นบอกว่า จีนกับเกาหลีเหนือมักจะปลูกอาคารสวยๆ ไว้ในจุดที่มีคนต่างชาติเห็น เพื่อสร้างภาพว่าความเป็นอยู่ของประชาชนที่นี่ดีนะยะจะบอกให้... เพื่อนสามีเราก็บอกว่า ตึกที่เห็นสวยๆนี่ ข้างนอกสุกใสข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง รัฐบาลจีนบังคับปลูกอาคารแล้วให้ชาวบ้านเข้าไปอยู่ ข้างในตึกนั้นอาจไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลยก็ได้ อืม...อันนี้ก็ไม่ได้พิสูจน์อ่ะนะ ไม่ขอยืนยันข้อมูล โปรดใช้วิจารณญาณ เออ อย่างตึกที่เราเข้าไปกินข้าวตอนกลางวัน ก็เหมือนกับว่าข้างในยังสร้างไม่เสร็จ ยังมีอิฐ ดิน ทราย ที่ใช้ก่อสร้างกองอยู่เลย แถมห้องน้ำน้ำก็ไม่ไหล ข้าวเม่าลอยฟ่อง เหม็นอีกต่างหาก อ๊วก

ด้านล่างนี่เป็นการรวบรวมภาพบรรยากาศบริเวณด้านหน้าทางเข้า ซึ่งเป็นจุดที่เราใช้เวลาอยู่นานที่สุด เพราะไม่รู้จะเดินไปไหนแล้ว ของกินก็ไม่น่ากิน เลยนั่งเล่นรอเวลากันอยู่แถวๆ ต้นไม้นี่แหละ ประดับประดาได้สวยดี ยิ่งตกกลางคืนยิ่งสวย





ภายในหมู่บ้านวัฒนธรรมนี้ นอกจากจะเป็นเมืองจำลองแล้ว ยังมีการแสดงวิถีชีวิตของชนเผ่าต่างๆ ในประเทศจีน ให้ผู้เข้าชมได้เพลิดเพลิน ตอนที่เรานั่งรถด่วนอยู่นั้น ก็เห็นแวบๆ ว่ามีการเต้นรำของสาวๆ ใส่ชุดชาวเผ่าอยู่ไกลๆ อยากดูแต่ก็ไม่ได้ดู แง๊....ได้ดูแต่การแสดงศิลปะการต่อสู้กระบี่กระบองแค่นั้นเอง นอกจากนั้นก็มีการจำลองบ้านของคนจีน การสาธิตการละเล่นของคนจีน แต่ของพวกนี้เราคนไทยคงไม่ค่อยแปลกตาเท่าไรเพราะเห็นอยู่บ่อยๆ ในหนังจีน ภาพขวาสุดเนี่ย จนท.กำลังเล่นคล้ายๆ เตะตะกร้อกับคนที่มาเที่ยววันนั้น ไอ้ที่เขาใช้เตะเนี่ย หน้าตาเหมือนลูกแบดเลย แล้วก็มีการปั้นตุ๊กตาน้ำตาล

สังเกตุว่าจนท.ที่นี่พอจะได้ภาษาอังกฤษกันเกือบทุกคน ทางการจีนคงเลือกบุคคลากรที่พอรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้างมาประจำที่นี่ อย่างน้อยๆ ก็พูดตัวเลขเป็นภาษาอังกฤษได้





สุดท้าย ท้ายสุดของทริปนี้ เวลาโชว์ดรากอนกับฟีนิกส์ที่เรารอคอยก็มาถึง
แต่ก่อนหน้านั้นอ่ะนะ เรานั่งรอแล้วรออีก หิวก็หิว กว่าจะได้เวลาแสดง แถมเกือบอดดู ระทึกใจมาก... เพราะเราน่ะ เข้าใจผิดตอนดูแผนที่สถานที่แสดงก็คิดว่าแสดงที่ลานกลางแจ้ง ไอ้ตรงด้านหน้าลูกสีแดงๆ ที่มีโทรทัศน์จอยักษ์อยู่นั่นแหละ ก็เห็นคนมานั่งกันอยู่เยอะเชียวแถวอัฒจัณฑ์นั้นอ่ะ รออยู่จนเกือบจะทุ่มครึ่ง เฮ้ย ได้เวลาแสดงแล้วนะ รอแล้วรออีกก็เอ๊ะ...ทำไมยังไม่เห็นมีทีท่าว่าจะแสดงเลยอ่ะ เอ..หรือว่าจะเป็นเหมือนเมืองไทยมั้ง ไม่ค่อยตรงเวลา แต่ระหว่างที่นั่งรอเซ็งเป็ดอยู่นั้นอ่ะ ก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวหลายคนเดินเข้ามา แล้วก็เลยหาย เลยหายไปทางด้านซ้ายของเรา เราก็ไม่ได้เอะใจ นึกว่าเขาเพิ่งมาก็เลยเข้าไปดูเมืองจำลองกันมั้ง เราก็เดินไปดูป้ายแสดงเวลาแสดงอีกที โอ้ว ...แม่เจ้า ภาษาจีนล้วนๆ อ่านมะออกอ่ะ

ทีนี้ทุ่มครึ่งแล้วนะ เอาไงดี ลองถามคุณป้าที่กำลังกวาดขยะอยู่ดีกว่า
เรา "โชว์ตอนทุ่มครึ่งอ่ะ ยกเลิกเหรอ" (ภาษาอังกฤษแบบเป็นคำๆ กลัวป้าแกไม่รู้เรื่อง โชคดีที่เราเองก็ไม่ได้เก่งภาษาปะกิตมากเลยถนัดแบบเป็นคำๆ เอิ๊ก..)
ป้ายิ้มๆ "บลาๆๆ (ภาษาจีนล้วน)" แล้วก็ชี้ไปทางด้านซ้ายที่เราเห็นคนเดินไป

เท่านั้นแหละ เราและสาละมีรีบโกยไปตามทางที่ป้าแกชี้โดยทันที โชคดีที่ไปทันตอนเพิ่งเริ่มไปได้เล็กน้อย โอ้โห คนดูเพียบเลย กลุ่มคนที่เราเห็นเขาเดินหายๆ เนี่ย เดินมารวมกันที่นี่เอง แหม...ก็น่าจะบอกกันบ้าง...




ในไกด์บุ๊กบอกว่าเป็นการแสดงNight Festival ที่จีนทุ่มทุนสร้าง มีการปรับปรุงการแสดงในปีค.ศ.๒๐๐๓ โดยใช้เงินถึง ๒ พันล้านเยน การแสดงจัดภายในสเตเดี้ยมมีหลังคา ที่นั่งจำนวนมาก การแสดงก็อลังการสมราคา ใช้นักแสดงประมาณ ๕๐๐ ชีวิต บวกกับสัตว์อีกหลายชีวิตทั้งม้า หมา แพะ ฯลฯ แสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณีหลายอย่าง เช่น การแต่งงาน ปีใหม่ ฯลฯ การละเล่นของเด็ก และอื่นๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมาดูมีทั้งแสง สี เสียง น้ำ ไฟ ตระการตามากมาย การแสดงเริ่ม ๑๙.๓๐ น. ถึง ๒๐.๓๐ น.ของทุกวัน

พอการแสดงจบเราก็รีบโกย(ทั้งหิวๆ นี่แหละ) ออกจากเสินเจิ้น โดยนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับไปที่สถานี Luo Hu แหม แสนสะดวกรวดเร็ว ไปถึงสถานีเร็วกว่าที่คิด สาละมีก็ขอเดินหาของฝากแถวนั้นอีกแป๊บ แต่ก็ไม่ได้อะไร ก็อ่ะนะ จะซื้อชาบ้างของกินบ้างไปฝากคนญี่ปุ่นที่ตอนนี้กำลังผวาของกินจากเมืองจีนเนี่ยนะ อีเมียก็บ่นๆๆ จนสาละมีเซ็งเลิกซื้อ ยอมจำนนเดินไปมอบตัว..เอ้ย...รายงานตัวว่าจะออกจากประเทศจีนที่ตม.

โอ้ว..แม่เจ้า คนเยอะกว่าตอนมาอีก ด่านศุลกากรที่เขียนว่าให้สำแดงสินค้าที่ต้องเสียภาษีนี่ก็ไม่เห็นมีใครสนใจแสดงเลย (พอๆ กับเมืองไทย) เดินผ่านกันหน้าตาเฉยทั้งๆ ที่ลากของหนักๆ กันเต็มกระเป๋าเกือบทุกคน พอไปใกล้ๆ ชานชลาก็มีการจำกัดจำนวนคน เราก็ใช้เวลาที่รอประตูเปิดไปกับการแลกเงินหยวนคืนเป็นเงินดอลล่าห์ฮ๋องกง และก็เติมเงินในบัตร Octopus สักพักประตูก็เปิด คนก็กรูกันไปที่ชานชลา

เราก็เห็นท่าไม่ดี ท่าจะไม่ได้นั่ง จึงเดินไปที่ตู้ First Class แปะตั๋วกับเครื่องเพื่อแสดงว่าเราจ่ายเงินเพิ่มเพื่อนั่งชั้นนี้ ก็ไปยืนเข้าคิวเป็นคนแรกๆ สังเกตุเห็นว่าคนข้างหลังเราไม่ได้แปะตั๋วอ่ะ ยังเดินมาเข้าคิวกันหน้าตาเฉย จนท.ก็ไม่มาคุม เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีคนมาแซงคิวกันต่อหน้าต่อตา ป้าที่ยืนอยู่หน้าเราก็โล้งเล้งกับคนที่มาแซงอยู่พักนึงก็ไม่เห็นคนที่แซงจะกลับมายืนที่เดิม อิฉันก็เลยแสดงฤทธิ์บ้าง สปีกกับฮีและชีคู่นั้น ว่า "เอ๊ะ แถวไหนได้ขึ้นก่อนกันแน่ ฉันไม่แน่ใจอ่ะ ฉันควรจะยืนแถวไหนดี" "ฉันว่าฉันมาก่อนเธอนะ" ฮีและชีคู่นั้น "ทำท่าไม่สนใจแล้วบอกว่า "ยืนตรงไหนก็ได้" อืม..ไอ้บร้า...กรูรู้แล้วว่ายืนตรงไหนก็ได้แต่แกเห็นไหมว่าฉันมายืนก่อนแกร...บลาๆๆๆ สุดท้ายฮีและชีคู่นั้นก็ไม่ได้ละอายใจยังยืนอยู่ตรงนั้นต่อไป คนข้างหลังที่ทำท่าจะแซงขึ้นมาก็เลยถอยหลังกลับไปหลังจากเห็นฤทธิ์เดชต่างชาติคนนี้ อิอิ แต่ความจริงนะหลังจากโดนฮีและชีคู่นั้นแซงเราก็กางขาอันสั้นของเรากั้นไม่ให้ใครมาแซงได้อีก หึหึ ไม่รู้จักอิฉานซะแล้ว....

เราได้นั่งและเสียตังค์ค่ารถชั้น First Class โดยที่คนอื่นไม่ได้เสียค่าโง่แบบเราสักคน นั่งไปจนสุดสายที่ East Tsim Sha Tsui หลังจากนั้นก็ไปหลงทางเสียเวลา หลงติดยาเสียอนาคตหาทางกลับรร.อีกพักใหญ่ ด้วยความหิวโหย...สุดท้ายก็กลับไปกินของง่ายๆ ใน 7-11 แถวรร.


Create Date : 08 ตุลาคม 2551
Last Update : 20 ตุลาคม 2551 20:53:05 น. 4 comments
Counter : 943 Pageviews.

 
เฮ่อ เหนื่อยเลย...
กว่าจะลงรูปได้ แฮ่ก แฮ่ก


โดย: peeko วันที่: 8 ตุลาคม 2551 เวลา:14:37:31 น.  

 
อยากไปมั่งจังเลยค่ะ


โดย: smile family วันที่: 9 ตุลาคม 2551 เวลา:12:17:42 น.  

 
น่าไปจังเลย


โดย: nikkybow วันที่: 9 ตุลาคม 2551 เวลา:15:03:35 น.  

 
อ่านแล้วน่าไปจังเลยนะค่ะ


โดย: ยายกุ๊กไ่ก่ วันที่: 19 ตุลาคม 2551 เวลา:0:51:36 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

peeko
Location :
กรุงเทพ Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add peeko's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.