Dogtown เมืองท่าเล็ก ๆ ที่เป็นเมืองสกปรกในสายตาคนท้องถิ่น แต่กลับเป็นสวรรค์ของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะท่าเรือที่เต็มไปด้วยเสาโสโครกที่เรียงรายอยู่ริมหาด เป็นสถานที่ท้าทายทักษะการทรงตัวบนกระดานโต้คลื่น สกิ๊ฟ (ฮีท เล็ดเจอร์) พี่ใหญ่เจ้าของร้านขายเซิร์ฟหัวหมอที่หลอกเด็กวันรุ่นในเมืองมาเข้าร่วมทีมสเก็ต เด็ก ๆ ไปได้ไกลและโด่งดังเกินกว่าที่จะรั้งไว้อยู่ในเมืองเล็ก ๆ แบบนี้ ความสำเร็จเงินทองต่างถาโถมเข้ามาจนยากที่จะปฏิเสธ ถึงจุดแตกหัก ถึงจุดที่ทุกคนต้องแยกย้ายไปตามทางที่ใฝ่ฝัน หนังเป็นเรื่องในยุค 1975 แต่บรรยากาศหนังทำให้ดูเหมือนยุค 90 มากกก ยุคที่การเล่นสเก็ตบอร์ด กำลังได้รับความนิยมและตำนานนักสเก็ตก็เริ่มจางช่วงนี้ จุดประทับใจคือฉากซิ่งสเก็ตกัน ดูพริ้ว พรึด รู้สึกว่าตัวเราอยู่ตรงล้อเลยทีเดียว มีฉากเล่นสเก็ตอยู่ฉากหนึ่งประทับใจมาก อยากให้ลองไปดูกัน (ไม่รู้คิดเหมือนกันหรือเปล่า) ตัวละครที่โดดเด่น 3 คนแรกที่นึกถึงหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบเลยนะ คือ
เจ อดัมส์ (Emile Hirsh) เงินและชื่อเสียงคือสิ่งที่เขาไม่เลือก ถ้าสิ่งที่ต้องแลกคือความเป็นตัวเองหรือต้องไปเป็นหุ่นเชิดให้นายทุนใช้เป็นตัวกระตุ้นยอดขายสินค้า เขายอมเป็นคนที่เล่นสเก็ตธรรมดา ๆ สไลด์อย่างที่ใจอยาก และใช้ชีวิตแบบโกงโจรมาก (แต่บางทีในความเป็นตัวเองของเขาก็แฝงความเห็นแก่ตัวอยู่มากทีเดียว เอาความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้งมากกว่าความสุขสบายของแม่และแฟน ที่แอบไปฉกจากเพื่อนตอนที่เขาระหองระแหงกัน) เด็กดื้อด้านไม่ยอมก้มหัวให้ใคร มีเพียงคนเดียวที่เขายอมก้มหัวให้เพียงคนเดียวคือแม่ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกความรู้สึกตัวเอง แต่เขาก็พยายามหาเงินเลี้ยงครอบครัวตามวิธีที่เขาถนัด
สกิฟ (Heat Ledger) เจ้าของร้านสเก็ตที่เอาความฝันของเด็ก ๆ มาเป็นเครื่องมือหาเงินเข้ากระเป๋า เพราะจริง ๆ แล้วเขาอยากเป็นแบบเด็ก ๆ พวกนี้ ที่วัยหนุ่มเขาไม่มีโอกาสไปถึงมัน เจ และ สกิฟ มีความคล้ายกันคือความมุ่งมั่น รักในสิ่งที่ทำและวิถีทางที่ตัวเองเป็น หนำซ้ำไม่ยอมก้มหัวให้ใคร เพราะตอนที่ท่าเรือที่เป็นหวนระลึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ถูกไปไหม้ เจ ก็เจอกับสกิฟที่นี่อีกครั้ง ฉากนี้เพลง Old man ของ Neil Young ขึ้น ความรู้สึกเหมือนสกิฟได้คุยกับเจที่เป็นภาพเสมือนของตัวเองในอดีต คือสิ่งที่เจกำลังเป็นอยู่คือสกิฟใตอนนั้น และสุดท้ายสกิฟก็ตกต่ำจากที่เคยเป็น Boss ของทุกคนกลายเป็นลูกจ้างทำ surfboard ในร้านที่เขาเคยเป็นเจ้าของมาก่อน แต่ดูแล้วสกิฟยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้ เพราะการอยู่กับสิ่งที่เขารักและผูกพัน ยินดีที่ได้เป็นผู้สร้างอันออกมาให้เป็นรูปเป็นร่าง
สเตซี่ หนุ่มสเกตผมยาวที่มีตรรกะการใช้ชีวิตที่ดูสมดุลมากที่สุดในเรื่อง บุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบ (สัญลักษณ์ของความรับผิดชอบคือนาฬิกาที่สเตซี่ใส่ และเป็นสิ่งที่สกิฟเห็นและปฏิเสธเขาไม่ให้เข้าแก๊งในตอนแรก เพราะเขาเป็นพวกมีระเบียบไม่ใช่พวกฟรีแมนในแบบเดียวกัน) สิ่งที่ สเตซี่ เลือกและทำเขากลั่นกรองอยู่เสมอว่าเหมาะกับเขาหรือเปล่า เงินทองและชื่อเสียงเขาก็ไม่ปฏิเสธ เขาหายหน้าไปจากเพื่อนฝูง (จริงๆ แล้วเขาเป็นคนสันโดษชอบและความเป็นส่วนตัวมาก) ทุกคนคิดว่าเขาจะเหมือนกับ Anva ที่เห็นชื่อเสียงและเงินทองมากกว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อน แต่สุดท้ายแล้ว สเตซี่ก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญ
อันวา เป็นคนที่มีทักษะการเล่นโดดเด่นที่สุดในแก๊งและมักจะแข่งขันกับ สเตซี่ที่มีฝีมือสูสีกันอยู่เสมอ แต่อันวาก็ได้ที่หนึ่งและประสบความสำเร็จเป็นดาวเด่นในวงการสเก็ต ความอยากได้อยากมีและตัณหา ทำให้เขาทิ้งบางอย่างไว้เบื้องหลังและกระโจนเข้าหาชื่อเสียงอย่างเต็มตัว ยอมเป็นหุ่นเชิดให้กับนายทุนเพื่อให้เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์ อุปกรณ์ และชุดใส่สเก็ตประหลาด ๆ ดูเหมือนพวกเล่นสเก็ตในฟลอร์ดิสโก้สวยงาม มากกว่าจะลงแข่งขันเพื่อโชว์ลีลาและทักษะที่เยี่ยมยอด และสุดท้ายอันวาก็รู้ว่าเมื่อเขาหมดประโยชน์หมาที่ไหนก็ไม่เหลียวแล
เพลงในเรื่องที่ลงตัวกับบรรยากาศหนังเพลงที่ใส่นี่คงตั้งใจใส่เพื่อเล่าสถานการณ์นั้น ๆ ได้ลงตัวเป๊ะ อย่างเพลง wish you were here อันนี้เป็น version ของ Sparklehorse feat. Thom Yorke ตอนที่เจย์แข่งสเก็ตและเอารางวัลไปให้แม่ดู เพลงมันก็ขึ้นให้ เหมือนอยากบอกว่าอยากให้แม่มาอยู่ด้วยกันที่นี่จัง เพราะแม่เจ ต้องทำงานในโรงงานเล็ก ๆ เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว และตอบจบ เพลง 2oth century boy ของ T-rex เหมือนบอกว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว และริมท่าเรือที่ Old Man ของ Neil young ที่กำลังเล่าภาพในอดีตที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และ มองเห็นอนาคต ผ่านเรื่องราวซึ่งกันและกัน
ใครที่เคยดู into the wild อยากให้ดูเรื่องนี้ เพราะพระเอกคนเดียวกัน Emile Hirsh เรื่องนี้เล่นดีมาก ดูแล้วจะลืมความเท่ของชายหนุ่มผู้เดินทางออกค้นหาชีวิต มาดูชีวิตอีกแบบที่ติดล้อไปไหนก็ได้อย่างที่ใจอยาก