ทริปท่องเที่ยวเกาหลี ไฮ โซล [Hi Seoul : Day IV วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว]
"อัน-นยองอาเซโย" กับทุกๆ คนที่แวะมาชมภาพใน blog ด้วยนะ สำหรับวันนี้จะเป็นวันที่ 4 วันสุดท้ายแล้ว กับการท่องเที่ยวเกาหลี 4 วัน วันที่ 4 มีโปรแกรมไปพระราชวังเคียงบกกุง , Dong Hwa Duty Free , ตลาดเมียงดง , ศูนย์อัญมณีพลอยสีม่วงอเมทีส และก็เดินทางไปยังสนามบินอินชอล เพื่อเดินทางกลับสู่เชียงใหม่
มาเริ่มต้นทัวร์กันเลยดีกว่า ก่อนจะเดินทางเข้าสู่พระราชวังเคียงบกกง หรือ พระราชวังเคียงบ๊อก ไกด็ก็ให้ชมเส้นทางถนนสำคัญๆ ต่างๆ โดยรอบ ที่มีสถานที่สำคัญๆ ต่าง เช่น บลูเฮ้าส์ บ้านพักของประธานาธิบดี พระราชวังโบราณอื่นๆ เป็นต้น
ภาพนี้ถ่ายภาพจากบนรถ(พอดีไม่ใช่ตำแหน่งที่ห้ามถ่ายภาพ)
ตามถนนเส้นทางดังกล่าวนี้ จะมีตำรวจยืนประจำจุดเป็นระยะๆ ไกด์แจ้งว่าปกติไม่ให้ถ่ายภาพ (ตามถนนมีกล้องวงจรปิดติดอยู่เป็นระยะๆ เช่นกัน) จากนั้นไกด์ก็พาลงเดินไปยังอนุสาวรีย์รูปนกฟีนิกซ์ และชมทัศนียภาพอันสวยงามของภูเขารูปหัวมังกรที่อยู่ด้านหลังของอนุสาวรีย์นกฟีนิกซ์นี้
ที่นี่ก็ถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึกนิดหน่อย
ด้านหลังของลานอนุสาวรีย์นกฟีนิกซ์นี้ มีกลองโบราณใหญ่ ให้ชมกันด้วย
ขึ้นรถและวนรอบถนนเส้นทางนี้ไปอีกด้านหนึ่งก็ถึงพระราชวังเคียงบกกุงแล้ว พอลงรถ มองไปบนต้นไม้ เห็นนกอยู่ 1 ตัว เลยได้ภาพนกตัวนี้มา 1 ตัวด้วย (ดีใจจังเลยที่ถ่ายภาพนกได้)
พระราชวังเคียงบกกุง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1394 เป็นพระราชวังหลักของราชวงศ์โชชอน Joseon Dynasty (1392-1910) อันเป็นราชวงศ์ที่สถาปนาขึ้นโดยกษัตริย์แทโจ King Taejo ในจำนวนพระราชวังทั้ง 5 ที่สร้างขึ้นในราชวงศ์นี้ พระราชวังเคียงบกกุง ถือเป็นพระราชวังที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามสวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุด พื้นที่กว่า 410,100 ตารางเมตร หากเดินชมแบบเร็วๆ และถ่ายภาพกันนิดหน่อยก็ประมาณ 40 นาที-1 ชั่วโมง (แต่ถ้าเอาแบบจุใจคงต้องมากกว่านี้ล่ะนะ) ไปลองเดินชมโดยรอบกัน
จากจุดนี้ จะเดินเข้าตัวอาคารไปยังพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลีกันต่อ
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลีนี้ ได้จัดแสดงถึงวัฒนธรรม-ประวัติศาสตร์ รวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาหลีในอดีตให้ชมและศึกษากันเรื่องราวในอดีตต่างๆ กันแบบจุใจไปเลย
ช่วงทางเข้าก็มีเส้นทางให้เดินแยกชมหลายทาง โซนนี้น่าจะเป็นโซนรักษ์สิ่งแวดล้อมอะไรทำนองนี้ เห็นว่าดูแปลกตาดี เลยถ่ายภาพมาให้ชมกันด้วย
ครอบครัวชาวเกาหลีที่แต่งงานมีลูกชาย-ลูกสาว วัย 1 ขวบเต็มจะจัดพิธีฉลองให้กับลูกๆ ของตนเอง โดยให้สวมชุดพื้นเมือง ชุดฮันบก ให้กับลูกๆ ของตนเอง และก็มีการเสี่ยงทาย โดยวางเครื่องใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น กรรไกร พู่กัน หินลับมีด และอื่นๆ ไว้ให้ลูกๆ ของตนได้เสี่ยงทายหยิบขึ้นมา หากหยิบสิ่งของใดขึ้นมาก็จะทำนายทายทักกันไว้ว่าลูกของตนเองโตขึ้นมาจะเป็นอะไร ทำอาชีพอะไร การเฉลิมฉลองที่มีการสวมใส่ชุดพื้นเมืองเช่นนี้ ในแต่ละครอบครัวจะทำกัน 2 ครั้ง คือตอนอายุ 1 ขวบ กับอีกครั้งในช่วงอายุครบ 60 ปี ที่มักจะได้มีการสวมใส่ชุดฮันบกที่สวยงามแบบนี้ (แต่ในเทศกาลสำคัญอื่นๆ ก็มักจะมีการสวมใส่ชุดฮันบกนี้กันในแต่ละเทศกาลสำคัญๆ นั้นด้วย)
ภาพนี้เป็นเกี้ยวโบราณ
ชุดนี้เกี่ยวกับแพทย์ในสมัยก่อนของเกาหลี
การทำยาสมุนไพรโบราณ
การแสดงจุดต่างๆ ที่ใช้ในการฝังเข็ม
แม่หมอ ที่ทำนายทายทักเรื่องราวต่างๆ
หีบศพโบราณสำหรับกษัตริย์
ตัวอักษรโบราณของเกาหลี ที่เริ่มจาก 6 ตัวอักษร
ออกจากห้องพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลี ออกมาทางเดิม
และเดินไปยังอีกโซนหนึ่ง ส่วนนี้ต้องสียค่าบัตรผ่านเข้าชม หลังจากเดินผ่านประตุเข้ามาก็มาเจอต้นอะไรไม่รู้เหมือนกันออกลูกแดงๆ จัดการถ่ายภาพมาให้ชมกันด้วย
จุดสังเกตบนหลังคา ว่าหลังคาไหนเป็นมังกร ส่วนนั้นก็จะเป็นที่ประทับหรือตำหนักของฮ่องเต้
ภาพชุดนี้ก็เลยถ่ายภาพหลังคามาให้ชมกันหลายภาพหน่อย ดูแล้วมีสีสันสวยงามดีเหมือนกัน
ใต้หลังคาทุกๆ หลังคาต่างก็ใส่ตาข่ายป้องกันไม่ให้นกบินเข้ามาทำรังไว้ๆ ทุกๆ หลังคาเหมือนกัน (ถ้าไม่มีตาข่ายนี้ สงสัยฝูงนกคงบินมาจับจองทำรังกันเต็มไปหมดแน่ๆ)
จากตำแหน่งนี้เดินต่อไปก็จะไปพบศาลากลางน้ำ ศาลาเคียงฮวยรู (Gyeonghoeru) เป็นศาลากลางน้ำ ซึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำรูปดอกบัว
ศาลากลางน้ำเคียงฮวยรูนี้ ได้ชมภาพถ่ายสวยๆ ของที่นี่ ยิ่งเป็นภาพช่วงกลางคืนยิ่งสวยงามมากๆ แต่พอมาเยือนด้วยตัวเอง และในช่วงฤดูกาลหน้าหนาวแบบนี้ความสวยงามหายไปหมดเลย ทำให้อยากไปถ่ายภาพแก้มือ แบบว่าไปเองอีกสักครั้ง อยากมีเวลาถ่ายภาพเยอะๆ กว่านี้ เพราะครั้งนี้ถ่ายภาพไปก็ต้องวิ่งตามกลุ่มหน้าๆ ที่เค้าเดินนำหน้าทิ้งห่างไปเรื่อยๆ ทุกครั้งไป ไม่ค่อยได้พิถีพิถันถ่ายภาพ เดินเลือกหามุมสวยๆ เลย
และที่นี่ก็มีทหารที่สวมใส่ชุดทหารโบราณยืนเฝ้าประตู และมีการผลัดเปลี่ยนเวรยามกันด้วย ทำให้เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีคนมารอถ่ายภาพกับทหารที่สวมใส่ชุดทหารโบราณนี้กันอย่างมากมาย
ขอจบภาพในส่วนของการเที่ยวชมพระราชวังเคียงบกกุง หรือ พระราชวังเคียงบ๊อคไว้เพียงเท่านี้
จากพระราชวังเคียงบกกุง ได้ไปช้อปปิ้งต่อที่ Dong Hwa Duty Free ที่นี่สามารถเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมได้อีกมากมายหลากหลายสินค้า โดยเฉพาะยังมาตามเก็บเครื่องสำอางที่ยังขาดอยู่อีก 3-4 รายการ ทั้ง Etude และ Skin Food ก็มาหาเลือกซื้อที่นี่ได้จนครบทุกรายการ ที่ duty free นี้มี 2 เรื่องที่เล่าให้ฟังกันไว้เลยก็คือ ส่วนใหญ่ราคาที่นี่จะใช้ us dollar ถ้าเตรียมเงินเป็น dollar มาก็มาใช้ซื้อของที่นี่ได้เลย แต่เงินวอน ก็ยังสามารถใช้ได้เช่นกัน พนักงานจะบอกราคาให้ทั้งเงิน us และเงินวอน โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนวันต่อวันเลย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งสินค้าที่ซื้อจากที่นี่บางรายการเมื่อซื้อแล้ว ยังไม่สามารถรับสินค้าได้ทันที ต้องไปรอรับที่สนามบินอีกที ดังนั้นก็ควรสอบถามกันให้ดีว่าสินค้าไหนซื้อแล้วรับได้เลย ไม่เช่นนั้นหากเตรียมเวลาที่สนามบินไว้ไม่ดีพอ อาจจะไปรับสินค้าได้ไม่ทัน เพราะบางจุดที่สนามบินที่ไปรอรับของนั้นมีคิวรอรับสินค้ายาวเหยียดเหมือนกัน (และอย่าลืมติด passport ติดตัวไว้ เพราะต้องใช้ประกอบในการซื้อสินค้าที่ห้าง duty free นี้ด้วย)
จากนั้นไปทานข้าวมื้อเที่ยงและไปต่อที่ตลาดเมียงดง ที่ตลาดเมียงดงหากเปรียบเทียบก็น่าจะคล้ายๆ กับแหล่งช้อปปิ้งสยามเซ็นเตอร์ของกรุงเทพฯ มีร้านค้าเรียงรายตามถนนหนทางให้เลือกเดินซื้อสินค้าอย่างมากมายเช่น รวมถึงที่นี่ก็ยังมีร้านค้าเครื่องสำอาง Etude,Skin Food, The Face Shop ให้เดินเลือกซื้ออีกหลายๆ ร้านเลย บางร้านก็มีหลายสาขาอีกด้วย เดินไปทางไหนก็เจอกันอยู่เกือบทุกถนนทุกซอย
เล่าถึงการเลือกซื้อสินค้าเครื่องสำอางที่นี่สักนิด หากมาเลือกซื้อตาม order ที่สั่งกันมานั้น อย่าไปหวังพึ่งเช็คราคาจากใบเสร็จเข้าล่ะ เพราะราคาในใบเสร็จมีจริง แต่จะอ่านภาษาเกาหลีไม่ออกว่ารายการไหนเป็นรายการไหนบ้าง และถ้าไม่ผิดพลาดนะ เหมือนจะเกือบทุกที่ไม่ได้ติดราคาแสดงไว้อย่างบ้านเรา ต้องถามทีละรายการว่าชิ้นไหนราคาเท่าไร ตอนที่ซื้อมา แบบว่ารีบซื้อเพราะของฝากซื้อหลายชิ้น ก็พลาดแบบนี้เหมือนกัน แต่พอไหวตัวทัน รีบนำใบเสร็จไปให้ไกด์ชาวเกาหลีช่วยแปลช่วยอ่านแต่ละรายการให้ว่าอันไหนเป็นอันไหนราคาเท่าไร เรื่องราคาตามที่แจ้งไว้ใน blog ก่อนหน้านี้นั้น ราคาเครื่องสำอางของทั้ง 3 ยี่ห้อนี้ ราคาที่นี่น่าจะเป็นแค่ 1ใน3 ของราคาที่บ้านเราเลยล่ะ
ภาพถ่ายที่ตลาดเมียงดง เหมือนจะไม่ได้ถ่ายภาพมา มัวแต่ไปถ่ายภาพวิดีโอ ไว้ค่อยไปดูจากภาพวิดีโออีกทีก็แล้วกัน
จากตลาดเมียงดง ก็ไปต่อกันที่ศูนย์อัญมณีพลอยสีม่วงอเมทีส ที่นี่ก็มีพลอยสีม่วงสวยๆ ให้เลือกซื้อ ว่าจะไม่ซื้อ ไม่ซื้อ ก็หลวมตัวไป 1 รายการเหมือนกัน 55555
จบจากที่ศูนย์อัญมณีอเมทีส ไกด์ก็พาห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ในเส้นทางเดินทางกลับไปสนามบินอินชอล ที่นี่เป็นจุดสุดท้ายให้ใช้เงินวอนให้หมด(ถ้ามีเหลือ) และที่นี่ก็ยังรับเงินทุกประเภทอีกด้วย หากมีเงินไทยก็ยังพอซื้อของฝากจากที่นี่ได้อยู่ ที่ห้างสรรพสินค้านี้มีเรื่องดีในเรื่องหนึ่งคือ รับ pack ของฝากจากที่เราซื้อกันไปซื้อกันมาเป็นหลายๆ ถุง สามารถนำมารวมกัน pack ใส่กล่องของใครของมันได้อีกด้วย เรียกว่าทำให้สบายใจได้ว่าของจะไม่ปนกัน หรือกระเป๋าใส่ไม่พอ ของตัวเองก็ได้มาอีก 2 กล่องเหมือนกัน 5555
ช้อปปิ้งกันแบบเทกระเป๋า ไม่ต้องรอเหลือเงินวอนไปแลกที่เมืองไทย พอเสร็จแล้วก็เดินทางไปสนามบินอินชอล เพื่อเตรียมตัวกลับเมืองไทย(เชียงใหม่) ตามเวลาที่กำหนด
เรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ ค่าทัวร์ 34900 บาท (ลองเช็คทัวร์จากหลายๆ แห่งดู ราคาต่ำสุดที่เคยเห็นจัดทัวร์ของบริษัทอื่นๆ ราคาอยู่ที่ประมาณ 28,000 บาท) แลกเงินวอนจาก Super Rich แลกไป 1 ล้านวอน = 28,000 บาท ตรงนี้ต้องรอเช็ค rate ด้วย ตอนช่วงเตรียมตัวก่อนไปนั้นเคยลงมาต่ำกว่านี้ แต่พอไปที่สนามบินอินชอล rate แพงกว่าที่ Super Rich เยอะอยู่เหมือนกัน 1 ล้านวอน = 35,000 บาท จากกระทู้ห้องพันทิป บอกทางไปร้าน Super Rich
เรื่องอาหารการกิน (กินเล่นอร่อยๆ นอกเหนือโปรแกรมของทัวร์) เรื่องนี้เขียนไว้ให้อ่านกันเล่นๆ ไม่ได้ซื้ออาหารทานเล่นกันเองมากนัก แต่ที่ลองซื้อลองทานมาทุกอย่างก็อร่อยทุกอย่าง ขอเริ่มจาก สตรอเบ้อเร่อ : สตรอเบอรี่เกาหลีลูกใหญ่มากๆ น่าจะใกล้เคียงไข่ไก่เลย จึงเรียกกันติดปากกันเองว่าสตรอเบ้อเร่อ แล้วรสหวานๆ เกือบจะไม่มีรสเปรี้ยวเลย ไกด์บอกว่าปกติคนเกาหลีจะทานสตรอเบอรี่จิ้มกับน้ำตาลอีกที แต่ที่ลองชิมก็หวานดีอยู่แล้ว บางกรุ๊ปทัวร์มีโปรแกรมไปไร่สตรอเบอรี่ ก็คงได้ชิมจากที่ไร่เลย แต่หากไม่ได้ไปตามโปรแกรมนั้นๆ สามารถหาซื้อได้จากซุปเปอร์มาเก็ตทุกร้าน ราคาขายน่าจะขีดละประมาณ 3000 วอน ตอนแรกอ่านเป็นกล่องละ 3000 วอน หลงดีใจ เพราะถูกมากๆ ถ้าราคา 3000 วอน (90 บาท) แต่พอจ่ายเงินไป จากที่เตรียมเงินไว้ 3000 วอน ต้องจ่ายไป 10000 วอน เพราะกล่องนั้นน่าจะหนักประมาณ 3 ขีด ยังไงก็ตามหากได้ไปเกาหลีก็ไม่อยากให้พลาดชิมสตอรเบ้อเร่อ
ปลาหมึก : ปลาหมึกทุกอย่างที่เห็นวางขาย ทั้งปลาหมึกย่าง หนวดปลาหมึกยักษ์ผัดเกลือ-เนย หรือปลาหมึกสำเร็จรูปที่ขายเป็นถุงๆ ในซุปเปอร์มาเก็ต อยากให้ได้ลองชิมเหมือนกัน อร่อยทุกอย่างตามที่ว่ามาเลย หนวดปลาหมึกยักษ์ผัดเกลือ-เนย ที่ตลาดทงแดมุน ขายอยู่ข้างถนนลองเดินผ่านก็จะได้กลิ่นหอมยวนใจให้ลองชิมแล้วล่ะ ถ้าจำราคาไม่ผิดก็น่าจะแค่ 1000 วอน
ไอศกรีมโคน 1000 วอน : ที่ตลาดเมียงดง อันนี้ไอศกรีมโคนยาวมากๆ น่าจะได้สัก 1 ฟุตเลย ตอนที่เดินย่านตลาดทงแดมุนได้ยินเสียงร้องเชื้อเชิญของคนขายอยู่แล้ว มีหลายรสอยู่เหมือนกัน ถ้าได้เดินผ่านก็ทดลองชิมได้เลย ช่วงที่เดินซื้อของในตลาดเมียงดงอุณหภูมิต่ำติดลบเป็น -10 องศาอยู่แล้ว ไอศกรีมเกาะตัวแน่นแข็งออกมาแบบไม่เสียรูปทรงเลย รายการนี้ก็ไม่ควรพลาดชิมเช่นกัน
และก็ขอจบไว้แค่นี้ก่อนสำหรับทริปท่องเที่ยวเกาหลี Hi Seoul ไว้เพียงเท่านี้ และก็ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่แวะมาชมภาพถ่ายชุดนี้ไว้ด้วย และให้เข้ากับการมาท่องเที่ยวเกาหลี ขอขอบคุณเป็นภาษาเกาหลีไว้ด้วยนะ "คัมซาฮัมนิดา"
และก็ขอยืมคำในโฆษณามา ทุกความประทับได้บันทึกเก็บไว้เป็นภาพถ่าย ส่วนที่เหลือก็ขอเก็บไว้บันทึกไว้ในความทรงจำ
ส่วน Link ข้างล่างนี้ทำไว้เผื่อใครยังไม่ได้ไปชม 3 วันแรก
ท่่องเที่ยวเกาหลี ไฮโซล : Hi Seoul Day I
ท่่องเที่ยวเกาหลี ไฮโซล : Hi Seoul Day II
ท่่องเที่ยวเกาหลี ไฮโซล : Hi Seoul Day III
Create Date : 12 มกราคม 2552 |
|
20 comments |
Last Update : 13 มกราคม 2552 20:30:31 น. |
Counter : 6525 Pageviews. |
|
|
|