|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
TetralogyOfFallot (ตอนที่ 2)
สวัสดีครับ
ต้องขอโทษเพื่อนๆ ทุกคนด้วยที่ดอง Blog นี้เสียเป็นนาน โดยเฉพาะ คุณเพรางาย ที่อุตส่าห์ Add ผมเป็นเพื่อนไว้เป็นเบอร์แรกๆ แล้วผมก็ยังไม่ได้ตอบเลยครับ และคุณนภาพร ที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้หลายครั้งแล้วผมก็ยังไม่ได้เขียนต่อเสียที
มาวันนี้ ผมจะพยายามเขียนต่อให้ได้มากที่สุดครับ
ขอออกตัวก่อนนะครับว่าสิ่งที่ผมเขียน และจะเขียนต่อไปนี้เป็นประสพการณ์ด้านการเคยเป็นคนไข้ และสถานการณ์และความหนักเบาของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ผลของการรักษาแม้จะเป็นกรณีเดียวกันจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก และเวลาของผมได้ผ่านมา กว่า 40 ปีแล้ว ดังนั้นการตัดสินใจใดๆ ขอให้ปรึกษาแพทย์เป็นสำคัญครับ ผมจะ Share จากมุมมองของการเป็นโรคนี้เอง และจากมุมมองของพ่อแม่พี่น้อง ซึ่งผมได้รับการบอกเล่าและประสบด้วยตัวเองมาครับ แต่ขอให้คิดอยู่อย่างหนึ่งว่า ณ เวลานี้วิวัฒนาการทางการแพทย์ในการรักษาก็คงพัฒนาขึ้นมากแล้ว ซึ่งก็คงจะทำให้การตรวจวินิจฉัยและการรักษาแม่นยำมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และความเสี่ยงน้อยลงมากครับ
เอาล่ะครับ ผมจะเล่าแต่ละประเด็นเลยนะครับ
ก่อนอื่นผมเอารูปที่พ่อผมถ่ายใว้ และแม่เขียนบันทึกหลังรูป ตอนอายุประมาณ 2 ขวบมาให้ดูครับ ท่านั่งยองๆ อย่างในภาพเป็นท่านั่งประจำของเด็กเป็น TOF ครับ เป็นกลไกป้องกันตัวเองของร่างกายเวลาเหนื่อยครับ เห็นภาพแล้วหวังว่า อย่างน้อยคุณนภาพรก็จะได้คลายกังวลลงบ้างว่ามีกรณีตัวอย่างที่หลังจากรักษาแล้วตอนนี้ผมอายุ 41 เศษ แล้วยังมาเขียนเรื่องให้อ่านได้ แล้วเทียบกับรูปประจำ Blog นะครับ ผมอยู่รอดมาได้จนมีงานการทำ ได้แต่งงาน ได้ถ่ายรูปตอนไป Honneymoon มาแปะไว้มุม Blog ครับ แล้วขอเป็นกำลังใจให้ดูแลลูกจนผ่านช่วงยากลำบากที่สุดไปได้นะครับ
ก่อนจะไปเรื่องเกี่ยวกับคนไข้นะครับ ต้องบอกเรื่องที่พ่อแม่ต้องเตรียมตัวก่อนนะครับ เพราะคนไข้ร้อยละร้อยเป็นเด็กครับ และการสื่อสารจากตัวคนไข้จะไม่มี คือเขายังบอกเราไม่ได้ครับ ดังนั้นจึงต้องอาศัยการสังเกตและเรียนรู้ภาษากายจากคนเป็นพ่อแม่ครับ
สิ่งที่พ่อแม่ต้องเตรียม 1. กำลังกาย เพราะต้องดูแลลูกที่เป็นเด็กอ่อนซึ่งไม่แข็งแรง และไม่สบายง่าย เหนื่อยง่าย ผมจำได้ว่าบางทีพ่อแม่ผมไม่ได้นอนเพราะต้องคอยเช็ดตัวให้เวลาเป็นไข้ และเวลาพาไปไหนๆ เวลาเราเหนื่อยพ่อแม่ก็ต้องอุ้ม หรือไม่ก็ขี่คอพ่อไป ที่สำตัญก็คือเราตัวหนักขึ้นทุกวันๆ ถึงแม้จะโตช้าก็เถอะ พ่อแม่ต้องรักษาสุขภาพให้ดีครับ อย่าให้เป็นหวัดง่าย เพราะลูกจะติดง่ายมาก แบ่งเวลากันดูลูกแบ่งเวลาพักผ่อน ถ้ามีญาติช่วยดูแลด้วยก็ยิ่งดีครับ
2. กำลังใจ ผมได้ยินคำบอกเล่าจากญาติๆ ว่าแรกๆ ตอนรู้ว่าผมเป็น TOF แม่ก็ร้องไห้ทุกวัน แต่คนเป็นพ่อแม่ต้องเข้มแข็งครับ เพราะถ้าคุณกลัว หรือว่ากังวล จนร้องไห้ทุกวันล่ะก็ แน่นอนว่าคุณต้องปวดหัว ตาบวม นอนไม่พอแน่ๆ แล้วมันจะบั่นทอนกำลังกายนะครับ เพราะฉะนั้นทำจิตใจให้เป็นปกตินะครับ หาความสุขให้ตัวเองและผ่อนคลายด้วยบ้างนะครับ เพราะภารกิจที่คุณจะต้องดูแลลูกไปจนกว่าจะได้ผ่าตัดรักษา จะไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่เป็นปี ถึงหลายปีครับ จึงจำเป็นต้องทำสภาพจิตใจให้ปกติ เข้มแข็งและเบิกบานที่สุดให้ได้ ผมจำได้ว่ามีหลายครั้งที่พ่อกับแม่ ให้ผมเข้านอนแล้วให้แม่ไหมคนเลี้ยงผมดูแลแทน แล้วทั้งคู่ก็หนีไปดูหนังรอบดึก ผมตื่นมากลางดึกก็ร้องไห้ใหญ่เลย สุดท้ายก็เหนื่อยแฮกๆ เหมือนกัน ก็เล่นไม่พาเราไปด้วยนิ่
3. กำลังทรัพย์ อันนี้ก็สำคัญครับ การรักษาสมัยนี้ก็แพงเอาเรื่องอยู่ครับ ใครที่ได้สวัสดิการของที่ทำงานเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลของบุตรจะช่วยได้มากครับ การรักษาในโรงพยาบาลรัฐบาลที่เป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ก็จะถูกสตังค์หน่อย แต่ก็อาจจะคิวยาว ค่าใช้จ่ายที่จะมากก็ตรงการฉีดสีเพื่อวินิจฉัยโดยละเอียด การ X-Ray Computer ซึ่งก็ต้องใช้ในหลักหมื่นครับ การรักษาครั้งใหญ่ก็คงจะต้องเป็นการผ่าตัด ซึ่งจะต้องนอนโรงพยาบาลนานพอควรครับ ก็ต้องใช้หลักแสนครับ
4. ความรักความเข้าใจ สิ่งนี้สำคัญมากครับ เพราะเด็กเป็น TOF ช่วงที่เป็นทารกก็จะไม่สบายบ่อย โยเย กินน้อยเพราะเหนื่อยง่าย กินแล้วก็อ้วกหมด แต่เราก็ต้องพยายามให้กิน แต่ก็กินครั้งละมากๆ ไม่ได้ เพราะจะจุกและเหนื่อย มันเป็นเรื่องที่ดูขัดกันวนไปเวียนมาตลอดเวลาครับ พอโตหน่อยถึงวัยที่จะเดินได้ วิ่งได้ เด็ก TOF จะทำได้น้อยมาก เช่น ขึ้นบันไดบ้านไปชั้นบนซึ่งมีขั้นบันไดประมาณ 12 ขั้น เราขึ้นไปได้ 2 ขั้นเราจะเหนื่อยแล้ว แล้วต้องนั่งท่าประจำตัวพักเหนื่อยไป 2-3 นาที หรือบางทีเดินไปซัก 10 เมตร 20 เมตร ซึ่งเราคนปกติจะยังไม่ทันรู้สึกอะไรเลย เด็ก TOF ก็จะเหนื่อยและต้องพักแล้วครับ พ่อแม่ต้องเข้าใจเลยนะครับว่าต้องพักจริงๆ ฝืนไม่ได้เลย สิ่งที่พ่อแม่ต้องเตรียมใจให้ได้คือ การเปรียบเทียบกับเด็กอื่น ตราบใดที่ยังไม่ได้ผ่าตัดรักษา ลูกเราก็จะยังไม่สามารถวิ่งเล่นเป็นลิงเป็นค่างเหมือนลูกคนอื่น และคำถามของผู้คนรอบข้างเกี่ยวกับลูกเรา ทำไมเขาปากเขียว เล็บเขียวล่ะ ทำไมเขาไม่วิ่งเล่นล่ะ ทำไม่ต้องพัก ทำไปต้องให้อุ้มเดินไปไหนๆ ล่ะ เหล่านี้อาจทำให้เราท้อ รำคาญ หรือหดหู่ แต่ก็ไม่ต้องไปเก็บมันมาคิดครับ สิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสให้เราได้ใกล้ชิดลูก ได้แสดงให้เขาเห็นว่าเราดูแลเขาดีขนาดไหน ผมยืนยันได้ครับว่าผมรู้สึกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถึงแม้ว่ายังเด็กมากตอนนั้นก็ตาม
อย่างที่กล่าวไว้ใน Blog ที่แล้วครับ ว่าอาการสำคัญของเด็กเป็น TOF ก็คือ
1.) อาการโดยตรงของ TOF เหนื่อยง่าย และเหนื่อยมาก ปากเขียว เล็บเขียว 2.) อาการโดยอ้อม ก็คือ ป่วยง่าย ติดเชื้อง่าย
เด็ก TOF จะต้องผ่านอาการหลักๆ 2 อย่าง ข้างต้นหลายครั้งมากในชีวิตจนกว่าจะผ่าตัดแก้ไข สำหรับผม ได้ผ่าตัดตอนประมาณ 6 ขวบครับ ซึ่งได้ยินว่าก็ค่อนข้างช้าเนื่องจากทำน้ำหนักไม่ได้ซักทีครับ คราวหน้า (ซึ่งจะพยายามให้เร็วที่สุดครับ) จะมาเล่าให้ฟังครับว่า ผมผ่านประสพการณ์ช่วงชีวิต 6 ปีแรกมาอย่างไร
วันนี้ขอลาไปนอนก่อนครับ และขอเป็นกำลังใจให้เด็ก TOF และพ่อแม่ทุกคนครับ
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2550 |
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2550 0:52:49 น. |
|
5 comments
|
Counter : 1135 Pageviews. |
|
|
|
โดย: SevenDaffodils IP: 69.140.210.74 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:12:43 น. |
|
|
|
โดย: นภาพร IP: 125.26.33.36 วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:16:34:21 น. |
|
|
|
โดย: Mini Fang IP: 222.123.28.161 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:34:24 น. |
|
|
|
โดย: PaoTMTF วันที่: 8 ธันวาคม 2553 เวลา:14:43:59 น. |
|
|
|
โดย: อ้อ IP: 49.230.211.135 วันที่: 20 มิถุนายน 2558 เวลา:21:09:27 น. |
|
|
|
|
|
|
คุณนภาพรคะ ขอแถมว่านอกจากคุณลาภเธอจะรอดมาจนแต่งงานแต่งการ ทำนาทำสวนเป็นงานอดิเรกจนถึงทุกวันนี้ ตอนสมัยเรียนด้วยกัน เธอเรียนได้ดีด้วยนะคะ อย่าได้ถามถึงเรื่องเกรดพวกเรากันเลย เอาเป็นว่าเรื่อง creative คุณลาภเธอไม่เป็นรองใคร ยังจำรายงานฉบับสุดท้ายวิชาวิเคราะห์สถิติที่คุณลาภทำไว้ได้ดี ... ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ขอเอาใจช่วย สู้สู้นะคะ
ตอนรู้จักกันไม่บอกไม่รู้หรอกค่ะว่าเป็น TOF เนี่ย แต่พอท่านสหายเล่าให้เพื่อนๆฟังพร้อมกับโชว์แผลเป็นแล้วก็รู้สึกให้สยองเหมือนกัน...
ส่วนตอนนี้ คุณเพื่อนเรานี่เขียนหนังสือเก่งไม่แพ้รายงานนะท่านนะ...