|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
"อุดมการณ์เป็นสิ่งสมมติ แต่ชีวิตมนุษย์เป็นของจริง"
...
ท่านอานันทไมตรี พระมหาเถระผู้เป็นนักปราชญ์ของศรีลังการูปหนึ่ง ได้เขียนนิทาน "พุทธปรัชญา" เอาไว้ในชื่อว่า "หากพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาในวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น" สาระสำคัญมีอยู่ว่า
ณ ประเทศศรีลังกา วันหนึ่งมีสมณะรูปหนึ่งเดินไปตามท้องถนน ด้วยบุคลิกภาพแสนธรรมดา ไม่มีท่วงทีกิริยาใดน่าสนใจเป็นพิเศษ เมื่อท่านเดินทางไปถึงวัดแห่งหนึ่ง ทายกทายิกาและพระภิกษุในวัดนั้นกำลังตั้งวงถกกันด้วยเรื่องการเมือง ทันทีที่พวกเขาเห็นสมณะรูปนั้นก็ถามกันอื้ออึงขึ้นมาว่า
"ท่านสังกัดพรรคการเมืองใด" พระพุทธองค์ตรัสว่า "เรามิได้สังกัดพรรคการเมือง"
ทายกทายิกาและพระภิกษุกลุ่มนั้นมองดูพระองค์จากหัวจรดเท้าด้วยสายตาปนสังเวช ที่สมณะรูปนั้น "ช่างเป็นคนไม่มีสังกัด" เอาเสียเลย แล้วพวกเขาก็เอ่ยขึ้นมา "ถ้าเช่นนั้นก็เชิญไปพักที่วัดอื่นก็แล้วกัน ที่วัดนี้ไม่ต้อนรับคนที่ไม่มีสังกัดดอก"
พระพุทธองค์ทรงพระดำเนินต่อไปและต้องพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อมาพระพุทธองค์ทรงพบกับ อุบาสกชาวบ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นพระบุคลิกภาพอันสงบงามของพระองค์แล้วเกิดศรัทธา จึงเข้าไปชวนพูดคุย เมื่อทราบว่าพระพุทธองค์ไม่ได้รับการต้อนรับจากใครเลย เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ผมสงสัยจังเลยว่า พระอย่างพระคุณท่านไม่น่าจะเป็นพระของยุคนี้ (ซึ่งต้องมีสังกัดและมีพรรคการเมืองที่ชมชอบ) ถ้าเช่นนั้นท่านคงจะเป็นพระในแบบโบราณ เอ่อ -- ขอโทษนะครับ ท่านอายุเท่าไหร่ครับ"
พระพุทธองค์ทรงตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า "หากนับจากวันเกิดจนมาถึงวันนี้ เราก็คงมีอายประมาณ 2,500 ปีเศษแล้วละ"
พลันที่ได้ยินคำตอบ อุบาสกคนนั้นรู้ขึ้นมาทันทีว่า พระองค์ต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน เขาเอ่ยขึ้นว่า "โอ้ - - ดูเอาเถิด แม้พระองค์จะทรงเป็นถึงพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาจริง ๆ แล้ว กลับไม่มีใครสนใจพระองค์เลย..."
นิทานพุทธปรัชญาของท่านอานันทไมตรีจบลงเพียงแค่นี้ พร้อมกับที่ท่านสรุปว่า "นี่คือสภาพการณ์ของพระพุทธศาสนาศรีลังกาในปัจจุบัน"
ในทัศนะของผู้เขียน สภาพการณ์ของพระพุทธศาสนาศรีลังกาในยุคนั้น ซึ่งทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์หมกหมุ่นเรื่องการเมืองกันมาก (จนทำให้พระสงฆ์ศรีลังกาลงเล่นการเมืองได้ เป็น ส.ส.ในสภาได้ และเคยพกอาวุธไปยิงนักการเมืองเสียชีวิตมาแล้ว) ทัศนคติเช่นนี้ ทำให้ประชาชนหลงลืมแก่นแท้แห่ง "ความเป็นมนุษย์" ไป อย่างสิ้นเชิง พวกเขาลืมสัจธรรมพื้นฐานไปว่า
"แท้จริงแล้ว เราทุกคนล้วนเป็นมนุษยชาติ เราคือคนชาติเดียวกันทั้งหมด ที่ต่างรักตัวกลัวตายเสียดายชีวิต เช่นเดียวกันทุกรูปทุกนาม แต่เพื่อ "พรรค" และ "นักการเมือง" ที่พวกเขาเพิ่งสร้างขึ้นมา ทำให้พวกเขาหลงลืมสัจธรรมพื้นฐานที่ว่า "อุดมการณ์เป็นสิ่งสมมติ แต่ชีวิตมนุษย์เป็นของจริง" กันไปเสียหมด และด้วยความยึดติดถือมั่นในอุดมการณ์ ซึ่งเป็นเพียงอุปาทานหมู่ จึงทำให้พวกเขาประเมินคุณค่าของมนุษย์จากสิ่งที่เราแต่ละคน "สังกัด" มากกว่าจะประเมินจากความเป็นมนุษย์จริง ๆ ด้วยการหลงเทิดทูนในสิ่งสมมติเช่นนี้เอง ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในศรีลังกาอย่างยืดเยื้อยาวนาน คนในชาติเดียวกัน (ทมิฬและสิงหล) ต้องลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันเองไม่จบสิ้น ทั้ง ๆ ที่พวกเขาได้ผ่านยุคสงครามล่าอาณานิคมอันเจ็บปวดมาแล้ว แต่ทุกวันนี้ พวกเขากลับสร้างสงครามระหว่างคนศรีลังกาด้วยกันเองขึ้นมาใหม่ แล้วด้วยสงครามที่ต้องการ "ปกป้อง" อุดมการณ์ของแต่ละคนนั่นเอง ประชาชนผู้บริสุทธิ์ชาวศรีลังกาจึงต้องมาสังเวยชีวิตด้วยระเบิด,ลูกปืน แทบทุกวัน"
จากศรีลังกาย้อนกลับมามองสังคมไทย ทำให้ได้บทสรุปว่ามีสภาพไม่แตกต่างกันเลย คนไทยในเวลานี้ทั้งพระและทั้งโยมกำลังพากันเทิดทูนสิ่งสมมติ ซึ่งเพิ่งสร้าง กันขึ้นมาไม่กี่ปีอย่าง "พรรค" และ "นักการเมือง" รวมทั้งสีเสื้อทั้งสี "แดง" และสี "เหลือง" ซึ่งเพิ่งอุปโลกน์กันขึ้นมาเมื่อวานนี้ด้วยซ้ำ
ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนไทยด้วยกันมาหลายร้อยปี เรามีความเป็นพี่น้องกันมาอย่างเหนียวแน่น เราเคยได้ชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม เพราะมองไปทางไหนเราคนไทยต่างก็รู้สึกว่าเป็นญาติกันทั้งสิ้น ยิ่งในหลวงของเรานั้น เรายิ่งรักเทิดทูนพระองค์ท่าน เราเคารพรักพระองค์ดังหนึ่งพระองค์ท่านทรงเป็น "พ่อหลวง" ของคนทั้งแผ่นดิน เมื่อวันที่พ่อป่วย คนทั้งแผ่นดินดูเหมือนจะป่วยไปกับท่านเหมือนกันทั้งหมด แต่บัดนี้...เราคนไทยจำนวนมากกว่าครึ่งค่อนประเทศดูเหมือนว่า กำลังหลงลืมสัจธรรมพื้นฐานเหล่านี้เสียหมดแล้ว เราหลงลืมไปแล้วว่า
เราเป็นมนุษยชาติก่อนเป็นคนไทย
เราเป็นคนไทยก่อนเป็นคนที่สังกัดพรรคและนักการเมือง
เราสวมเสื้อได้สารพัดสี ก่อนที่เราจะจำกัดตัวเองลงมาอย่างคับแคบเหลือเพียงสีแดงกับสีเหลือง
เราเคยเป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกันทั้งประเทศ เพราะเรามีพ่อหลวงคนเดียวกัน
แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่บัดนี้สัจธรรมพื้นฐานเหล่านี้กำลังถูกหลงลืม ถูกมองข้าม ความเป็นคนไทยธรรมดา ๆ กำลังกลายเป็นเรื่องไม่มีความหมาย เราต่างเป็นคนไทยที่มี "สังกัด" กันทั้งสิ้น เมื่อลืมสัจธรรมพื้นฐานอันทำให้เราเคยอยู่ร่วมกันมาอย่างสันติสุข เรากลับมายกย่อง "สิ่งสมมติ" ที่เพิ่งสร้างใหม่เมื่อไม่นานอย่าง "พรรค" และ "นักการเมือง" รวมทั้ง "เสื้อเหลืองเสื้อแดง" ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ถึงขนาดที่ต้องปกป้องกันด้วย "เลือดเนื้อและชีวิต"
ไม่น่าเชื่อว่า อุดมการณ์ซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมติ จะมีค่ายิ่งกว่าชีวิตมนุษย์ซึ่งเป็นของจริง อุดมการณ์นั้นจับต้องไม่ได้ เป็นเพียงสภาพนามธรรมในจิตใจ แต่คนเป็น ๆ ที่ต้องมาตายเพื่อสังเวยอุดมการณ์นั้น เป็นคนจริง ๆ มีพ่อแม่พี่น้องจริง ๆ มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณจริง ๆ
"ในเวลานี้ ในเมืองไทยของเราเคยมีใครตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตคนจริง ๆ ซึ่งถูกระเบิดตายเป็นรายวันเพื่อสังเวยสิ่งสมมติที่ชื่ออุดมการณ์กันบ้าง"
จากคอลัมน์ : Answer Key หนังสือ Secret
Create Date : 03 สิงหาคม 2554 |
Last Update : 3 สิงหาคม 2554 13:48:41 น. |
|
0 comments
|
Counter : 963 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|