ซ่อนนาม - ซ่อนตนแต่ไม่ซ่อนความคิด
|
|
เรียนจบปริญญาตรีมา กลับไม่รู้สึกเลยว่าตนเองฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม เริ่มมาตั้งแต่เด็กก็เรียนมาในโรงเรียนเอกชนชื่อดังในกรุงเทพ แต่กลับไม่คิดเลยว่าตรงเองฉลาดเด่นกว่าคนอื่นตรงไหน อาจจะเพราะแม้ได้เรียนในโรงเรียนชื่อดังนั้น แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นในนั้นก็เรียกได้ว่าคะแนนอยู่ในระดับกลาง ๆ ซ้ำยังอยู่ในระดับต่ำ ความขยันหมั่นเพียรก็ไม่มี ชีวิตก็เรื่อย ๆ ง่าย ๆ สบาย ๆ เวลาสอบเอนท์ก็ไม่ได้แคร์อะไรมาก เรียนติวก็โดนตลอด สอบเห็นคะแนนมาครั้งแรกก็พอใจเสียแล้ว เพราะแม้ไม่สูงมาก แต่ก็พอติดคณะที่ต้องการ พอจะสอบรอบสองก็เลยไม่ตั้งใจมาก เรื่อย ๆ เหมือนเดิม ซึ่งในที่สุดก็ตามหวัง ติดตามคณะที่ต้องการ ยังมหาวิทยาลัยที่คาดไว้แล้วพอดี มหาวิทยาลัยนั้นแม้คณะนั้นจะไม่สูงมาก แต่บอกได้เลยว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ คณะที่ติดก็ดูเหมือนเท่เหมือนเด่นในสายตาคนอื่น ส่วนคะแนนต่ำสุดก็สูงเป็นที่สี่ของประเทศสำหรับคณะนั้น ตอนแรกที่เลือก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะเลือกคณะนี้ แค่คิดว่ามันน่าจะช่วยส่งเสริมกับกิจการของครอบครัวได้ก็เท่านั้น ซึ่งมันก็ถูก แต่พอเข้าไปแล้วถึงรู้ว่ามันถูกไม่หมด ! เวลาเรียนก็เรียนไปเรื่อย ๆ ไม่ยากไม่เย็นอะไร แค่ไม่เคยติดเอฟ หรือดรอปในวิชาไหนก็พอ และด้วยอาจจะเป็นคณะที่พึ่งเปิดใหม่ไฟแรงสูง วิชาที่เอามาเรียนก็ล้วนแต่เป็นวิชาที่ทันสมัยทั้งนั้น วิชาของคณะนี้ไม่ใช่แค่ทันสมัยอย่างเดียว แถมยังครอบจักรวาลอีก เรียนหมดทั้งวิทย์ ทั้งศิลป์ ด้วยอาจจะเรียนอย่างครอบจักรวาล จึงทำให้เหมือนไม่เจาะลึกเรียนเน้นมากในแต่ละศาสตร์ พอจบตรีมา ก็เลยรู้สึกงง ๆ ว่าตนเองรู้มากกว่าก่อนเข้าปีหนึ่งตรงไหน ? จะให้ทำงานในสายงานที่จบมาก็ทำได้ แต่ไม่คิดว่าจะรู้ดี หรือรู้จริงกว่าคนอื่นเขา ยังไงก็คงต้องทำงานจริงก่อน แล้วเรียนรู้จากที่ทำงานจริงอีกที ถึงจะทำได้ ซึ่งสรุปก็คือ ที่เรียนไปจนจบปริญญาตรีนี้ ไม่รู้สึกว่าตนเองมีความรู้เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ ทว่า สิ่งที่รู้สึกได้ว่ามีเพิ่มขึ้นกว่าเดิม คือวิสัยทัศน์ และ ทัศนคติที่มีต่อโลกนี้เปลี่ยนไปจากเดิม ตอนนี้สายตาที่มอง ไม่ใช่สายตาที่มองผ่านตัวเองเท่านั้น แต่เป็นสายตาที่มองผ่านมุมมองและความคิดอื่น ๆ สายตาที่มองได้ลึกจนถึงเจตจำนงค์ของการกระทำได้มากขึ้น สายตาที่มองได้กว้างจนเห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงต่อกัน แม้ไม่ได้รู้สึกว่าฉลาดขึ้น แต่สายตาที่มองได้ลึกและได้กว้างกว่าเดิมนี้ คิดว่ามันมีความสำคัญกว่าความรู้ความสามารถที่จะได้มาเสียอีก เพราะความรู้ความสามารถมันเพิ่มพูนกันได้ แต่ทัศนคติที่มองโลกนี้ไปในทางที่ดี และมองโลกนี้ให้เห็นถึงแก่น ให้เห็นถึงปัญหา มันยากนักที่จะเรียนจะสอนด้วยวิธีธรรมดา แนวคิด ทัศนคติ และวิสัยทัศน์จะเป็นตัวกำหนดความรู้และความสามารถให้ใช้ได้อย่างที่ถูกที่ควร และเหมาะสมกับปัญหา หากไม่มีมีความรู้ความสามารถแค่ไหนมันก็เปล่าประโยชน์ มีวิธีทำ แต่ใช้แก้ผิดปัญหา ปัญหาคงแก้ได้หรอกนะ ! แม้จะไม่รู้สึกฉลาดขึ้น...แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสเรียนจบตั้งป. ตรี พี่จบโท มหา'ลัยชั้นนำด้วย แต่ไม่ได้ใช้ความรู้เลย...แรกๆ ก็เสีย self ตอนนี้เรียนรู้นอกตำราใหม่หมดเลย...นอกรั้วยังมีอะไรอีกเยอะ....
โดย: pinezt IP: 203.144.180.65 วันที่: 29 เมษายน 2552 เวลา:17:42:36 น.
อ่านแล้วได้อะไรเยอะเลย ชอบ :)
แล้วจบคณะอะไรค่ะ ขอถามหน่อยได้ไหม แต่ถ้าไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรค่ะ โดย: faillefaille วันที่: 29 เมษายน 2552 เวลา:18:03:32 น.
จบปริญญาตรี
สำหรับผมก็เหมือนว่าไม่ค่อยได้อ่ะไรเหมือนกันนะ แต่พอมานั่งนึกดีๆ ก็มีประสบการณ์หลายๆ อย่าง ซึ่งอาจจะไม่เกิดขึ้นถ้าเราไม่ได้ไปเรียน โดย: badinblood วันที่: 29 เมษายน 2552 เวลา:23:03:01 น.
อยากจะบอกว่า ในไทยนั้น มหาลัย ไม่ได้สอนอะไรมาก ให้คนนั้นพร้อมสำหรับการออกมาเผชิญกับชีวิตการทำงานจริงๆ ขระที่ในญี่ปุ่นนนั้น มหาลัย ไม่ต่างอะไรกับศูนยืฝึกอาชีพที่สามารถสร้างให้คนพร้อมที่จะเป้นผู้ใหญ่ และเข้าสู่สังคมครับ
โดย: Yupin วันที่: 30 เมษายน 2552 เวลา:9:00:02 น.
จากประสปการณ์ตัวเองน่ะค่ะ...ไม่ชอบอ่านหนังสือ
และคิดว่าโตขึ้นไม่อยากให้ใครมาสั่ง เพราะตัวเองก็ไม่ชอบอยู่ในกฏในกรอบ...เลยเรียนไม่จบป.ตรีทั้ง ๆที่อีกสองเดือนก็จบแล้ว แต่ไม่เคยเสียใจค่ะ เพราะคิดว่าเลือกทางเดินของตัวเองถูกต้องแล้ว.... ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการที่ จ.ภูเก็ต ส่วนคุณสามีเป็นอาจารย์ประจำ ร.ร.แห่งหนึ่ง เพราะเค้ามีการศึกษา แต่เราทำงานเดือนเดียวเท่ากับเค้าทำงาน 5 เดือนเลยค่ะ.... แค่อยากจะบอกว่าการใช้ชีวิตจริงกับในตำรา แตกต่างกันจนบางครั้งก็เก็บมาใช้ไม่ได้เลยค่ะ ตอนนี้น้องสาวก็จบป.โทมาแต่มาเปิดร้านอาหารซะงั้น เอางัยดีล่ะชีวิต.... โดย: เขาพิงกัน วันที่: 15 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:36:49 น.
อ่านที่คุนเขียน แล้วสะท้อนชีวิตตัวเองจิงๆ ความรู้สึกคล้ายๆกันเลย
โดย: น้องเข้ IP: 58.8.59.48 วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:45:16 น.
จบอนุปริญญาปฐมวัยอยากเรียนให้จบตรีมากๆต้องเสียสละส่งลูกเพราะเป็นครูอนุบาลเงินเดือนแค่5600บาทผู้รู้แนะนำที่เรียนปฐมวัย2ปีหลังที่ถูกๆบอกบ้างซิอยากทราบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
โดย: รุสนา IP: 124.120.240.95 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:15:32:15 น.
ผมจบ ป.ตรี มา5เดือนไม่รู้จะใช้วุฒิไปสมัคงานอะไรไปทำงานโรงงานก้อเป็นได้แค่พนักงานเงินเดือน8-9พันผมเลยมาค้าขาย ผักตามตลาดนัดได้กำไรวันละ1000กว่าบาท1เดือนก็30000กว่าบาทแต่ลำบากหน่อยแต่ก็เป็นอาชิพของตัวเองไม่ต้องมีไครมาด่าว่าเราสบายใจดี
โดย: ช้างๆๆ IP: 49.48.227.59 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2554 เวลา:21:37:41 น.
เรียน 2 ปี หลัง อ่ะเขายกเลิกไปแล้วนะของ ราชภัฏ อ่ะ
ต้องเรียน 4 ปี เต็ม ค่ะ แต่เราโชคดี ที่เราเรียนรุ่นสุดท้ายที่ได้เรียน 2 ปีหลังอนุ เราจบวันที่ 3 ตุลาคม 2554 เริ่มเรียน วันที่ 6 มิ.ย.2551 ของเราอ่ะเรียนที่ศูนย์ เรียนเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียว เรียนเป็นรายวิชาไป เราเรียนของ ราชภัฏธนบุรี ที่โรงเรียนวิบูลย์เปิดเป็นศูนย์ให้เราไปอาศัยพื้นที่เรียน แต่ตอนนี้ถ้าจะเรียนต้องไปสมัครที่สถาบันต้องไปเรียนที่สถาบัน สมัครเรียนวันอาทิตย์วันเดียวก็ได้ เสาร์-อาทิตย์ ก็ได้ แต่สมัยตอนเราเรียนอ่ะสบายหน่อยเรียนเป็นวิชาไปวิชา1เรียน6อาทิตย์อาทิตย์แรกเรียนอาทิตย์ที่3สอบกลางภาคอาทิตย์ที่6สอบไฟล์ เรียนสอบจบเป็นวิชาๆไป ดีด้วยไปต้องอ่านหลายวิชาเพื่อมาสอบ เราจ่ายค่าเทอมตอนนั้นเข้าไปครั้งแรก6,800.- บาท บางเทอมก็8,000.- 5,300,5,700 แล้วแต่ ตารางเรียนของแต่ละเทอมว่ามีกี่วิชาค่ะ อีกอย่างมันไม่ปะปนกับการทำงานคือเราทำงาน จันทร์-ศุกร์ หยุดเสาร์-อาทิตย์ ลูกเราก็หยุดเสาร์-อาทิตย์ ตอนที่เราเรียนครั้งแรกเราได้ค่าจ้างเป็นรายวันวันละ220.-บาท วันทำการของ ราชการก็จะมี 21วัน22วัน23วัน20วัน เอา220ไปคูณได้เท่าไหร่เอง และต้องส่งลูกด้วยนะตอนนั้นลูกเล็กต้องอยู่เนอเชอรี่ ต้องให้เนอเชอรี่เดือนละเกือบ4,000.-บาท แฟนก็ได้แควันละ215อ่ะแต่ดีนะที่เราได้งานทำใหม่ตอนปี52กุมภาพันธ์หักประกันแล้วก็ได้7790พอมาปี54เดือน ส.ค.54ก็ได้เพิ่มหักแล้วก็ได้8512เราก็ถยอยจ่ายเงินคืนที่เรากู้มาจ่ายค่าเทอมปัจจุบันนี้เหลื่ออีก4,000เราจ่ายเดือนละ2,000.-ม.ค.ก.พ.นี้ก็หมดแล้วค่ะ โดย: ต้นหอม IP: 61.19.238.141 วันที่: 30 ธันวาคม 2554 เวลา:15:45:22 น.
พอดีหลงเข้ามาผ่านพันธ์ทิพย์อ่ะนะ
แต่เท่าที่สังเกตจะมีบางคนน่ะครับที่เกิดมาเพื่อเรียนๆเพื่อเอาชนะคนอื่นให้ได้ประมาณนั้น แสดงว่าท่านไม่ได้เกิดมาเพื่อเรียนแข่งกับคนอื่นเท่าไหร่สินะครับ แต่ก็เห็นเรียนอันดีๆมาตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุผลของมันเสมอ เรื่องเรียนผมก็ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์อะไรเท่าไหร่แต่ว่าได้ประโยชน์มากก็ตรงศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองนี่แหละ นี่ก็เพิ่งจบมาเมื่อต้นปี รวมทั้งเรื่องการเข้าสังคมจากสถานศึกษาและเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่ในตำราก็ได้จากที่ๆเรียนนี่แหละั(ส่วนประโยชน์จากการเรียนได้นิดหน่อย) โดย: ปิศาจ IP: 192.168.1.102, 58.11.120.4 วันที่: 8 กรกฎาคม 2555 เวลา:21:56:39 น.
ในมุมของดิฉันคิดว่า คนเรามักมีแง่คิดเกี่ยวกับการศึกษาจากสถาบันว่าเป็นแหล่งของความรู้ทางวิชาการเป็นหลัก
แต่ความเป็นจริงแล้ว สิ่งสำคัญจากการมีโอกาสได้รับการศึกษาจากสถาบันนั้น เป็นพัฒนาการ"ในอีกบทบาท"หนึ่งของมนุษย์ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาไม่มีข้อจำกัดว่าสถานที่ไหน สิ่งใดจะต้องผู้เป็นผู้มอบให้กับเรา แม้เราจะไม่ได้เข้าเรียนที่มหาลัยและคณะที่เราคาดหวัง แต่ตัวตนของเราสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองให้เป็นไปตามที่ตั้งใจเอาไว้ได้เสมอ ดังนั้น ทุกสิ่งที่คุณได้รับมา ย่อมเกิดจากการเข้าและถอดรหัสรหัสเรียนรู้สิ่งต่างๆจากตัวคุณเอง มิใช่สถาบันหรือหลักสูตรใดๆ สุดท้ายแล้ว เมื่อจบจากสถาบันนั้นๆมา คุณก็เริ่มเข้าสู่การพัฒนาตนเองขั้นต่อไป"กับบทบาทใหม่อีกครั้ง"และในอีกช่วงชีวิตหนึ่งของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตบนโลก จนกว่าจะต้องจบชีวิตไป ตามของธรรมชาติทุกสิ่งบนโลก... วิชาการ บางครั้งเป็นเพียงอุปกรณ์/เครื่องมือในระหว่างการดำรงชีวิต แต่มิใช่การดำรงชีวิตอย่างแท้จริง เห็นด้วยทุกประการค่ะ^^ โดย: นักจิต IP: 115.67.2.183 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:15:37:06 น.
|
All Blog Link |
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
.....แต่ ไม่แน่ใจว่าจะ เป็นคนที่ดีขึ้นหรือปล่าว