eNJoy yOU LiKe aND EnjOY yOuR lIFe
Group Blog
 
All blogs
 
มหานครลอนดอนและปารีสกับสนามบินที่ถูกปิดตอนจอบอจบ

<
center>ต่อจากเรื่องรถไฟต่อก็เดินทางแค่สามชั่วโมงเท่านั้นเอง นั่งทนให้หูอื้อนิดหน่อยเพราะคุณพี่ยูโรสตาร์เค้าวิ่งเร็วมากมาย ลอดอุโมงค์ดำน้ำทะเลกันเลยทีเดียว ไปถึงกรุงปารีสก็เวลาสามทุ่มกว่าๆพอดีหลับผล็อยกันไปทั้งสองสามีภรรยา ตื่นมาก็พบเจอกับความหนาวเย็นกว่าที่ลอนดอนเสียอีก คุณญาติที่น่ารักก็มารับพอดี น่ารักจริงชะเง้อคอรอคอยกันเลย คุณญาติของเรามีเชื้อสายลาวค่ะแต่ย้ายมาอยู่กรุงปารีสกันตั้งแต่หลายสิบปีมาแล้วก็กลายเป็นชาวปารีสไปโดยปริยาย พอพบเจอกันคุณพี่หมี หรือคุณพี่รัศมี ก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่ พี่หมีมาพร้อมสามีคือพี่ดี้และลูกสาวคนรองชื่อ Melanie มาถึงก็ดึกดื่นค่อนคืนแต่คุณพี่ก็ยังไม่วายพาเราไปชมหอไอเฟลในมุมสูง สัมผัสลมหนาวเย็นแบบเต็มๆ ก่อนที่จะไปขึ้นกันจริงๆจังๆวันต่อไป




รุ่งเช้าวันอาทิตย์พี่หมีบอกปารีสจะเงียบเหงาเพราะร้านรวงส่วนใหญ่จะปิดแถมอากาศยังหนาวเย็น แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะสู้ตายอยู่แล้วอุตส่าห์หอบหิ้วกันมาไกลถึงดินแดนที่ใฝ่ฝันก็ต้องสู้ตายกันล่ะค่ะ ที่แรกที่ไปก็ตะลุยเข้าสู่เมืองปารีส ไปชมสถานที่เต้นระบำอันเลื่องชื่อ Moulin Rouge ไปชมกันแต่ภายนอกนะคะ เพราะราคาบัตรเช้าชมแพงเหลือหลาย เค้าเอาภาพบรรยากาศด้านในมาให้ชมให้น้ำลายหกเล่น ก็ไฮโซโก้หรูกันทีเดียวค่ะ เพราะแต่ละโต๊ะเค้าจะจัดวางอาหารและเครื่องดื่มแบบชาวผู้ดีฝรั่งเศสกันเลยทีเดียว เข้าไปชมร้านของที่ระลึก Moulin Rouge ก็ออกแบบกันเก๋ไก๋สวยงามไม่มีทางให้เสียชื่อชาวฝรั่งเศสเจ้าแห่งแฟชั่นเด็ดขาด




จากนั้นก็ปีนป่ายขึ้น hill ไปเยี่ยมชมดินแดนแห่งศิลปิน ยุค Impresssionist บ้านเกิดของเหล่าศิลปินเลื่องชื่อก็คือพี่ Van Goh ที่มีภาพเขียนที่ใครๆก็ต้องรู้จัก ใช่แล้วจ้า Montmarte นั่นเอง เนื่องจากดินแดนชาวศิลปินเค้าอยู่บนเนินเขาขนาดย่อมๆกว่าจะขึ้นไปถึงก็เล่นเอาเหนื่อยหอบทีเดียว ขึ้นไปก็จะเจอโบสถ์ใหญ่ยักษ์ที่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลาง เข้าไปชมโบสถ์สงบจิตสบใจ เดินลัดเลาะมาทางด้านหลังก็จะเจอแหล่งขายของร้านรวงต่างๆ ฝนก็ตกพรำๆแต่เราก็สู้ตายถ่ายภาพกันไม่หยุดหย่อน จากนั้นเราก็ต้องอำลาดินแดนแห่งศิลปินไปแวะที่อื่นกันต่อ





เมื่อวานเราได้ชมหอไอเฟลในระยะไกล วันนี้ก็เลยต้องขอมาในระยะประชิดกันเสียหน่อย พี่ดี้ผู้น่ารักก็ขับรถส่งชาวคณะไปขึ้นหอไอเฟล สนราคาก็คนละเจ็ดยูโรขึ้นไปชั้นสอง หลังจากต่อคิวอันไม่ยาวเท่าไหร่นัก(นี่พี่หมีบอกว่าไม่ยาวเท่าหน้าร้อน แต่พวกเราก็ยืนรอกันอยู่ไม่ได้เร็วเท่าไหร่นัก) ก็ขึ้นลิฟท์ไปชื่นชมด้านบนของพระเอกแห่งปารีสกัน สังเกตุดูก็ให้ได้ทึ่งในความช่างคิดของคนที่นี่เค้าเอาเหล็กแท้จริงหลายต่อหลายๆอันมาประกอบเป็นโครงสร้าง รู้สึกให้ได้อารมณ์ยุคอุตสาหกรรมเฟื่องฟูกันจริงๆ หลังจากที่ชาวปารีสล้วนด่าทอสถาปัตยกรรมนี้ ก็กลับพบว่าภายหลังคุณพี่หอไอเฟลเข้าทำเงินให้ปารีสได้มากมายจริงๆ ขนาดหนาวจนขนหัวลุกแล้วลุกอีกก็ยังมีคนแบบเราที่ฝ่าความหนาวมาชื่นชมพระเอกของเราเยอะแยะทีเดียว ขึ้นไปถึงชั้นสองก็ลงมาชื่นชมวิวปารีสยามค่ำคืน ก็สวยงามโรแมนติกไปอีกแบบ แสงไฟวาววับตามสถานที่ต่าง รอบแม่น้ำ Cite สวยงามน่าทึ่งทีเดียว เดินวนกันไปจนรอบพี่พระเอก ถ่ายทั้งรูปทั้งวีดิโอจนมือแข็งไปหมด ก็เห็นทีต้องอำลาพระเอกแห่งปารีสไปเสียที ช่วงพวกเราลงมากำลังจะเดินขึ้นรถอยู่ดีๆพ่อพระเอกเค้าก็เต้นระบำไฟให้ดูซะงั้น พี่ดี้บอกว่าทุกหนึ่งชมเค้าจะเปิดไฟระยับให้ tourist ตื่นเต้นตกใจกันทีนึง แล้วในแต่ละปีสีของไฟที่เปิดก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ปีนั้นๆ ปีที่เราไปก็เป็นสีฟ้าค่ะ









ขับรถวนเวียนเราก็ไปเจอ Arc de triump บริเวณโดยรอบประดับตกแต่งไฟสวยงามทีเดียว เนื่องจากช่วงนี้ใกล้จะคริสต์มาสบ้านเค้าน่ะนะ ซึ่งพี่หมีเค้าจะเรียกว่างานบุญฝรั่ง ก็ลงจากรถไปชื่นชมงานแฟร์ของชาวปารีส สองข้างทางเค้าก็มีชาวยุโรปจาหลายๆประทศเปิด booth นำของมาขายกัน ส่วนมากจะเป็นของกินของใช้เสื้อกันหนาว ระหว่างทางเราก็ได้ชื่นชมการตกแต่งประดับไฟของเค้า สวยงามดีจริง เราไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีกระแส Global warming เค้าประดับกันเยอะกว่านี้รึเปล่าแต่ตอนนี้นี่เราก็ว่าอลังการงานฝรั่งเศสกันแล้วนะเนี่ย เรียกได้ว่ามีการคิดจัดวางตำแหน่งไฟกันมาอย่างดี และในแต่ละจุดก็ไม่มีหวงไฟ ประโคมกันเค้าไปจนนึกว่าสถานที่นั้นๆสร้างมาจากหลอดไฟ เดินไปเดินมาก็พบว่ากว่าจะเข้าไปถึงประตูชัยก็ยาวนานเหลือกินก็เลยแวะซื้ออะไรอุ่นๆกินเสียหน่อย คุณพี่หมีก็นำเสนอ ไวน์ร้อน กับช็อคโกแลตร้อน แหมมันเริ่ดจริงๆค่ะ ได้มาก็ซดกินเลยไม่ต้องเป่ากันหรอกค่ะเพราะมันหนาวๆกันซะขนาดนั้น ไวน์ร้อนนี่ก็ช่วยให้อบอุ่นขึ้นได้เยอะ แต่ถ้ากลับบ้านมาก็ไม่แน่ใจว่าเอาไวน์ต้มแล้วรสชาติจะเหมือนกันไหม เอาเป็นว่าอย่าเลยค่ะ เดินชื่นชมร้านรวงไปมาจนถึงประตูชัยก็ต้องขออำลาสถานที่แห่งนี้ไปก่อน พี่หมีบอกวันนี้จะทำจุ่มผักให้กินแก้หนาว แหมการมาพักกับญาติมันก็ดีอย่างนี้นี่เอง ประหยัดและได้กินอะไรร้อนๆอร่อยๆท่ามกลางลมหนาวที่พัดกรูเกรียว หากทำเซอร์เป็น Backpacker มาเองก็คงเหนื่อยกว่านี้แน่นอน ขอบคุณหลายๆเด้อค่ะ คืนนั้นก็กินกันอิ่มเพียบแปล้และพี่ดี้สามีสุดรักของพี่หมีก็เสริฟไวน์คุณสามีเราให้กวนอูลงจนผล็อยหลับกันไปเลยทีเดียว




รุ่งเช้าเป็นวันที่สองธันวาคมเป็นวันเกิดของเจ้าตัวใหญ่ซึ่งไม่ได้ตัวใหญ่หรอกนะ เพราะพี่หมีเค้ามีลูกชายเล็กๆสองหน่อ หน่อเล็กคือเจ้าตีตี้ มาจาก เต้าตัว tweety ลูกไก่เหลืองๆจอมป่วนซึ่งใบหน้าหลานคนนี้ก็น่ารักน่าหยิกเหมือนtweety จริงๆนั่นแหละ เจ้าคนโตรองสุดท้องก็ชื่อ เอริค เอริคฉายแววหล่อแต่เด็ก เป็นเด็กน้อยหน้าตาคมเข้มทีเดียว วันนี้จึงไม่ได้ไปไหนนัก พี่หมีจะทำอาหารฝรั่งเศสให้กิน ก็เลยพาเรากะสามีไปแวะตลาดแขกขาวแถวบ้าน ก็มีสิ่งของขายพอประมาณ เนื่องด้วยอากาศอันหนาวเหน็บจึงไม่ค่อยมีคนเดินมากนัก แต่วันนี้เป็วันมีแดด ก็เลยได้ภาพท้องฟ้าสีฟ้าให้หายขุ่นมัวกันบ้าง ชื่นชมตลาดชาวฝรั่งเศสเสร็จก็กลับมาโซ้ยบะหมี่ร้อนๆที่บ้านถึงแม้ว่าจะเป็นวันแดดออก แต่ก็ไม่ช่วยให้ความหนาวลดน้อยลงเลย นี่ละน๊า คนของเค้าจึงมาแสวงหาอากาศร้อนบ้านเรา ซึ่งเราก็สุดแสนจะเบื่อหน่ายกับอากาศอันอบอ้าวบ้านเราเหลือเกินตั้งแต่มาอยู่ที่นี่รู้สึกจะอวบอัดขึ้นนีสนึงนะ เพราะตอนทำงานที่ลอนดอนก็กินครบสามมื้อ ซึ่งอยู่บ้านเรากินแค่สองมื้อ แต่มานี่นี่ฟาดไปสามมื้อ บางทีแถมมื้อดึก ยิ่งพอมาอยู่บ้าญาติ พี่เค้าเลี้ยงเราดีมากๆ เรียกว่ามีอะไรส่งให้กินตลอด สมาชิกบ้านนี้จึงมีแต่ตุ้ยๆ(ภาษาลาวแปลว่าอ้วน) พี่หมีว่าอย่างนั้นเราไม่ได้ว่านะ





จากนั้นก็ไป shopping IKEA ตื่นตาตื่นใจอยากได้หลายสิ่งอันมากมายแต่ว่าเรากะสามีกลัวแบกกันไม่ไหว เพราะแค่อุปกรณ์กล้องก็เยอะเป็นพะเรอเกวียน เลยตัดใจซื้อแต่สิ่งเล็กๆ แต่สิ่งเล็กๆที่ว่าก็เกือบยัดกระเป๋าไม่ลงเลยไม่ได้ของฝากใครเท่าไหร่ จากนั้นก็ไปกั๊กฟู ??? ตอนแรกที่เค้าบอกอย่างนั้นก็งง มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแถบไหนในปารีสกันหนอ จริงก็คือ คาร์ฟูร์ บ้านเราน่ะเองค่ะ พี่เอาก็สำเนียงฝรั่งเศสซะคุณน้องงงไปเลย คาร์ฟูร์ที่นี่ก็เหมือนบ้านเราแหละจ้า แหมก็บริษักแม่เค้าอยู่ที่นี่นี่เนอะ หากแต่สินค้าก็เป็น style ฝรั่งเศส ชีสต่างๆเยอะแยะ พวกเบเกอรี่เค้าแต่ละชิ้นก็ใหญ่ยิ่งอลังการกว่าบ้านเราสามเท่า ทั้งขนาดและจำนวน คนที่มีครอบครัวใหญ่ๆอย่างพี่หมีจึงโปรดปรานนัก ที่นี่เค้านิยมจ่ายด้วยบัตรเครดิต เพราะจะมีสิทธิพิเศษประมาณว่าคุณยิ่งช็อปเยอะก็จะมีเงินคืน 30% 40% ว่าไป แล้วแต่ promotion ของสินค้านั้นๆ เรียกว่ายิ่งช็อปยิ่งมีเงินคืนว่างั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นเงินหรอกค่ะ ก็เอาไว้สะสมในการซื้อของครั้งต่อไป แต่สาขาคาร์ฟูร์ที่นี่เค้าไม่เห็นจะเยอะเหมือนบ้านเราเลยนะ มีอยู่ไม่กี่แห่ง แต่มาเปิดบ้านเราแหม หลากหลายสาขาจริงๆ เข้าถึงประชาชนประหนึ่ง สส. ช่วงหาเสียงว่างั้น
จากนั้นก็กลับมาประกอบอาหารเตรียมปาร์ตี้วันเกิดเจ้าตัวโต ก็มีหลากหลายอย่างทีเดียว พี่หมีเราทำกับข้าวต้อนรับอย่างอลังการมากมาย ไม่เกินสามสิบนาทีอาหารต่างๆก็พร้องเสริฟ การมีลูกเยอะๆมันก็ดีอย่างนี้นี่เอง แต่ก็ต้องอบรมเค้าให้ช่วยงานบ้านได้นะคะ อาหารก็มีเนื้อย่างสเต็ก เราก็ไม่ได้กินหรอกคะไม่กินเนื้อจ๊ะ ส่วนแฟนเรามาไกลบ้านไกลเมืองก็ขอแอบกินเนื้อนิสนึงตามประสาคนชอบกินเนื้อ แต่โดนเมียบังคับห้ามกิน(ที่เมืองไทย) จากนั้นบรรดาชีสมากมายก็มาให้ลองกินกับไวน์ ก็อร่อยแบบฝรั่งเศสน่ะนะคะ แตยังไงก็สู้ส้มตำปูปลาร้าบ้านเราไม่ได้ อิ่มหนำกันแล้วก็สลบไสลกันไป หะแรกว่าจะไปดูไฟกันต่อก็คงไม่ไปแล้วล่ะค่ะไวน์กับอาหารออกฤทธิ์เร็วเหลือเกิน เดี๋ยวพรุ่งนี้ว่ากันแล้วกันนะคะ




วันนี้พี่ดี้แสนใจดียอมลางานขับรถพาเราไปพระราชวังแวร์ซายน์ ท่ามกลางอากาศหนาวและฝนที่พรั่งพรูเช่นเคย แต่เราก็สู้ตายค่ะ อยากจะไปชมความงดงามและโศกนาฏกรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่และพระนางมาเรียอังตัวเนตต์ผู้เลอโฉมเต็มทีแล้ว ห่างจากเมืองปารีสไม่เกินชั่วโมงก็มาถึงแล้วค่ะพระราชวังแวร์ซายน์ใหญ่โตสวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ เสียค่าเข้าคนละสิบสามยูโรตกประมาณห้าร้อยกว่าๆ จากนั้นก็ไปรับหูฟังเป็นเครื่องเสียงพกพาเล็กๆฟังการบรรยายประกอบการชมพระราชวังมีทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศสให้เราเลือกฟังกันประหนึ่งว่าให้เราได้รับรู้ถึงบรรยากาศ และเหตุการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในพระราชวังแต่ละจุดค่ะ โดยรวมก็สวยงามตื่นตาตื่นใจสมกับเป็นความยิ่งใหญ่ของเมืองที่มีอาณานิคมมากมายอย่างพี่ฝรั่งเศสเค้าล่ะค่ะ ก็พอจะนึกออกนะคะว่าทำไมตอนนั้นชาวปาริเซียงเค้าถึงโกรธนักโกรธหนากับพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่และพระนางผู้เลอโฉม ถึงกับต้องใช้กิโยตินมาบั่นคอ ก็เล่นนำเงินภาษีมาโหมสร้างอะไรที่อลังการปานนั้น ห้องหับกว่าร้อยห้อง แล้วแต่ละห้องเนี่ยก็ขนาดพอๆกับทาวน์เฮาส์บ้านเราสองสามหลังรวมกัน ยังไม่นับรวมพื้นที่สวนรอบนอกที่ใหญ่โตสุดลูกหูลูกตา ภาพเขียนนับพันๆภาพ แล้วแต่ภาพก็ประมาณฝาบ้านเราน่ะค่ะ มีพิพิธภัณฑ์ลูฟร์สาขาสองที่พระราชวังแห่งนี้ก็ว่าได้ อึ้งและทึ่งกับความอลังการแล้วกต้องโบกมืออำลาพระราชวังจากนั้นเราก็ไปเดินเอาท์เลตต์ของเค้า และไปแวะวอลท์ดิสนีย์ จากนั้นก็ย้อนกลับเข้าปารีสวนรถเล่นดูไฟประดับประดามีในช่วงใกล้วันคริสมาส ก็งดงามสมกับเป็นประเทศผู้เจริญจริงๆแหละค่ะ





วันรุ่งขึ้นก็ถึงกำหนดกลับบ้านแล้วล่ะค่ะ จากเหตุการณ์ปิดสนามบินก็แอบลุ้นเล็กๆในใจตลอดว่าจะได้กลับวันนี้ไหมหนอ แต่คุณลูกค้ายืนยันแอนด์คอนเฟิร์มว่าชัวร์ฟันธง เราก็วางใจไม่เช็คในเน็ตและไม่ได้โทรกลับไปเช็ค เอเยนต์เลยค่ะ โอเคเก็บข้าวของ แพ็คกิ้งทุกสิ่งประดามีนั่งรถไฟยูโสตาร์ อำลาพี่หมีและครอบครัวผู้น่ารักทุกคน ระหว่างนั่งรถไฟก็ชื่นชมกับวิวทิวทัศน์สองข้างทาง แหมมันงดงามดีเหมือนกันนะคะ การนั่งรถไฟระหว่างยุโรปก็ดีอย่างนี้นี่เอง ตื่นตาตื่นใจกับวิวแล้ว ก็มาสู่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษแล้วค่ะ ไปแวะเอาของที่ร้านลูกค้า แต่ขอโทษไม่มีใครมาส่งที่แอร์พอร์ตค่ะ ไม่เป็นไรนั่งแท็กซี่ไป Heathrow Airport เองก็ได้ พอไปถึง โอ้แม่เจ้าผีหลอกที่เคาน์เตอร์ EVA ค่ะ ไม่เห็นมีใครหน้าไหนโผล่มาเลยเจ้าค่ะ ไปเจอหมวยหน้าตาบ้านๆนั่งอยู่ เค้าบอกไฟลท์แคนเซิลค่ะ เราก็โวยวายๆโทรหาลูกค้า(จอมแสบ) พี่คะเค้าบอก cancle ค่ะ ลูกค้ากรอกเสียงมาตามสายว่า บอกเค้าสิว่า cancle ได้ไงเค้าเช็คข่าวว่าสุวรรณภูมิเปิดแล้ว เจ๊อีวาบอกว่า partial opening ค่ะ เราก็บอกลูกค้ากลับไป ลูกค้าก็บอกเราว่าบอกเค้าไปสิว่าเอเยนต์เค้ายืนยันมาอย่างนี้ เราก็บอกเค้าไป เจ๊อีว่าบอกกลับมาว่าอีว่าแจ้งเอเยนต์ไปแล้วแต่เอเยนต์ไม่บอกคุณเอง ลูกค้าก็กรอกสายกลับมาให้เราพูด กลับไปกลับมาประมาณนี้สิบเที่ยว ระเบิดค่ะ ระเบิดแล้ว ไม่ไหวแล้วยื่นโทรศัพท์ให้สามีบอกว่าถ้าเธอไม่คุยชั้นจะด่าลูกค้าเดี๋ยวนี้ มันเดือดค่ะ มือสั่น พยายามข่มใจไม่ให้โกรธที่ลูกค้าเลินเล่อแล้วยังไม่ยอมรับ โกรธคนที่ร้านอาหารและพี่เทอรี่ที่ไม่มาส่งเรา โกรธจนตั่วสั่น น้ำตาไหลไม่รู้ตัว คิดไปสารพัดถ้ากลับงานแต่งน้องไม่ทันจะทำยังไง ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เสร็จ โกรธแล้วโกรธเล่า เท่านั้นยังไม่พอนะคะ ไม่มีใครคิดจะมาช่วยเหลือเจือจานว่าเราสองคนจะพักยังไง ลูกค้าก็บอกให้นั่งรถแท็กซี่มาหาเค้าอยู่นอกเมืองลอนดอนไปกลับก็ร้อยยี่สิบปอนด์ เราไปถามเคาน์เตอร์โรงแรมแบบฉุกเฉินแบบใกล้สนามบินก็คืนละร้อยสี่สิบปอนด์ เราก็นอนนี่แล้วกันถ้าให้เราไปเจอลูกค้าอีกตอนนี้อาจมีการฉะกันได้ จากนั้นตั้งสติได้ก็นึกได้ว่าสามีมีเบอร์นักข่าวที่นี่ที่เค้าเป็นพื่อนกับพี่สาว ก็เลยจัดการโทรหา ปรากฏว่าเค้าน่ารักมากบอกว่าพรุ่งนี้ให้มาหาเค้าได้เลย ในขณะเดียวกันคุณลูกค้าก็คงรู้สึกผิดให้เชพที่ร้านอาหารโทรมาว่าให้ไปพักกับเค้าเราก็ถามเค้าอยู่ที่ไหนพูดไปพูดมาปรากฎว่าเพื่อนพี่สาวอยู่ใกล้กว่าและไม่ต้องรีบไปเพราะเค้าอยู่บ้านตลอด ส่วนพี่เชฟบอกต้องไปถึงเค้าก่อนเที่ยงเราก็บ๊ายบายค่ะ แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่ยังจะให้รีบไปอีก




ในความโชคร้ายมันก็มีความโชคดีอยู่บ้างค่ะ จากการติดต่อกลับไปเมืองไทยทางนั้นก็บอกว่าไฟลท์เลื่อนเป็นวันที่หก ก็ได้กลับมางานแต่งน้องสาวแบบหวุดหวิด ก็ยังดีค่ะ ย่านที่เพื่อนพี่สาวพักอยู่ก็เป็นย่านที่ดี อยู่แถบ Pudney น่ะค่ะ บ้านก็น่ารักดีแต่อาจจะรกไปหน่อยเพราะอยู่กันแบบผู้ชายๆ อยู่ต่ออีกสองวันที่ลอนดอนก็ได้เที่ยวต่ออีกนิดนึง เราก็เลยได้ไป Camden Town ต้นกำเนิดแนว PUNK และ Nothing HILL ต้นกำเนิดหนังรักอย่าง Nothing Hill ที่น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เพลิดเพลินไปกับบ้านเรือนน่ารักๆ และร้านขายผลไม้ขายอาหาร บรรยากาศวันหยุดชาวลอนดอน ฟ้าฝนก็เป็นใจอากาศดีฟ้าใสเชียว เรายังนึกอยู่ว่าถ้าเทวดาแกล้งให้ฝนตกอีกคงเป็นทริปที่แย่สุดๆ ต้นร้ายปลายดีก็ไม่เลวเกินไปหรอกนะคะ ทริปนี้ และที่สำคัญสามีเรายังได้กลับไปซื้อของฝากเพิ่มที่ร้าน Lilly White ก็พวกเสื้อบอลประดามี ใครมีทีมรักทีมชอบก็ซื้อได้ในสนนราคาไม่แพงนักและเป็นของลิขสิทธิ์ค่ะ ก็จบทริปลงอย่างสวยงามได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยประการฉะนี้ค่า











Create Date : 29 ธันวาคม 2551
Last Update : 29 ธันวาคม 2551 21:57:42 น. 2 comments
Counter : 414 Pageviews.

 


โดย: ความเจ็บปวด วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:3:45:31 น.  

 
ตามมาชมภาพสวย ๆ ค่ะ


โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:14:33:59 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

peace street
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




EnJOY YoU LiKe eNJoy YOur LIfe
Friends' blogs
[Add peace street's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.