People Don't Change!
 
 

2009 Spain (1) Barcelona

ทริปนี้ไปมาเมื่อปลายเดือนมิถุนายน หลังจากไปทะเลาะกับยางรถยนต์ที่ฝรั่งเศสมาแล้ว เราสองคนก็จองตั๋วราคาประหยัดจาก EasyJet ไปเที่ยว Barcelona กันครับ ครั้งนี้ไม่ต้องขับรถ เพราะไปเที่ยวเมือง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลกับเรื่องยางรถยนต์กัน ^-^

ทริปนี้คนเยอะมาก ๆ เสมือนว่าเสปนเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสำหรับคนอังกฤษจริง ๆ เพราะว่าแดดแรงมาก ๆ (คนอังกฤษโหยหาแดดกันสุด ๆ)



เห็นวิวจากบนเครื่องบินแล้วอยากลงไปเที่ยวเร็ว ๆ จัง...







ลงเครื่องเสร็จเราสองคนก็หาวิธีแปลก ๆ เข้าเมืองอีกจนได้ รถไฟก็มีไม่ใช้... รถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวก็มีไม่ใช้... ได้บรรยากาศต้องนี่เลยครับ รถเมล์...



ช้าไปหน่อยไม่เป็นไร ราคาถูกดีเหมาะสำหรับคนมีสตางค์ (แต่งก) แบบเรา ดูคนท้องถิ่นขึ้นลงก็สนุกสนานดี นั่งชมเมืองไปเรื่อย ๆ วิวข้างทางก็คงเหมือนนั่งรถบัสของนักท่องเที่ยวนั่นแหละ เพียงแต่มันหยุดบ่อยกว่าเท่านั้นเอง





นั่งเพลิน ๆ แป๊ปเดียวก็ถึง Espanya กันแล้วครับ ฟ้าใสจริง ๆ วันนี้





ถ่ายรูปกันซักพัก ก็ลงไปขึ้นรถไฟใต้ดินไปเก็บของกันที่โรงแรมครับ ทริปนี้ไปพักที่โรงแรม Melia ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวไปหน่อย แต่สภาพห้องกับคุณภาพอาหารเช้าถือว่าใช้ได้เลยครับ ราคายิ่งโอเคเลย เพราะว่าจองล่วงหน้ากันนานพอสมควร





ล้างหน้าล้างตา แล้วก็ไปนั่งรถไฟใต้ดิน ไปถ่ายรูป Blue Tram กันครับ รถไฟใต้ตินที่นี่ค่อนข้างสะอาดสะอ้านทีเดียวครับ



Blue Tram จะจอดที่ปลายถนน Avinguda del Tibidabo ครับ



จำไม่ได้ว่าค่าขึ้นคนละเท่าไรครับ เราสองคนใช้วิธีออกกำลังกาย เดินไปเรื่อย ๆ ครับ ไม่เหนื่อยเท่าไร เกาะราง Blue Tram ไปเรือย ๆ ก็จะถึง Tibidabo Funicular เองแหละครับ







เราสองคนเดินเรื่อย ๆ ครับ คิดว่ายังไงก็คงไม่ได้ขึ้นไปที่ Tibidabo อยู่แล้ว กว่าจะไปถึงเมืองก็เกือบเย็นแล้ว อาศัยว่าเป็นหน้าร้อน ฟ้าเลยมืดช้าหน่อย ไว้ครั้งหน้าแล้วกันเน้อ



บ้านเมืองที่สร้างลดหลั่นตามเขานี่มันก็สวยดีเหมือนกัน



ถึงจะขึ้นไปข้างบนเนินเขาก็ตาม แต่หามุมถ่ายรูปสวย ๆ ลงมาเมืองข้างล่างยากมากครับ แต่ก็นะ วิวก็ไม่ได้สวยซักเท่าไร



เดินกลับมาถึงจุดจอด Blue Tram เพิ่งเห็นว่าตึกข้าง ๆ ที่จอด Blue Tram นี่ก็สวยเหมือนกันแฮะ



ขากลับผ่านสถานี Espanya ก็เลยขึ้นไปถ่ายรูปยามเย็นกันครับ



วันนั้นเหนื่อยมาก ๆ เราสองคนก็เลยตัดสินใจกลับไปนอนที่โรงแรมกันดีกว่า เพราะว่าพรุ่งนี้เราจะออกนอกเมืองไปเที่ยวกันที่ Montserrat กัน ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังครับ สมใจคุณภรรยาอย่างยิ่ง เพราะว่าเริ่มจะเบื่อเที่ยวเมืองกันแล้ว อยากได้อะไรที่เป็นธรรมชาติบ้าง




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2552   
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 20:24:37 น.   
Counter : 1216 Pageviews.  


2009 France (Normandie, Etretat, Rouen, Paris)

เช้าวันต่อมาก็เช็คเอ้าท์ เตรียมเดินทางเข้าปารีสกันครับ ผ่านแม่พระก็สวดขอให้เราสองคนเดินทางโดยสวัสดิภาพกันซักหน่อย รู้สึกทริปนี้จะหนักหนาเกินไปแล้ว



จุดหมายแรกของเราสองคนวันนี้คือ Omaha Beach ครับ จะไปดูร่องรอยความรุนแรงของสงครามที่ยังเหลืออยู่กันซักหน่อย ระหว่างทางก็ร่มรื่นครับ แต่ต้องขับระมัดระวังหน่อยนะครับ เพราะคุณตำรวจมีตลอดทาง ค่าปรับโหดเอาเรื่อง แถมปรับตรงที่จับเลยด้วยครับ เพราะฉะนั้นรักษากฎจราจรดี ๆ นะครับ





ไม่นานเราก็มาถึงแล้วครับ Omaha Beach



ไม่แปลกใจเลยครับ ว่าทำไมการสูญเสียของทหารอเมริกันบนหาดนี้ถึงมากขนาดเกือบร้อยเปอร์เซนต์ของทหารชุดแรก หาดกว้างมาก แถมมีภูเขากั้นหน้าหาด ชัยภูมิของทหารเยอรมันดีกว่าเห็น ๆ RIP สำหรับทหารกล้าทุกคนครับ



แค่เห็นป้อมปืนแล้วก็ได้แต่คิดว่าทหารสมัยก่อนช่างกล้าหาญกันจริง ๆ รู้อยู่แล้วว่าต้องเสี่ยง แต่ก็ยังวิ่งเข้าหาป้อมปืนพวกนี้อย่างไม่กลัวสูญเสีย



แถมยังมีสิ่งกีดขวางอีกเยอะแยะ นับไม่ถ้วน แต่ก็ยังทำหน้าที่กันอย่างสุดความสามารถอย่างไม่กลัวตาย



เวลาผ่านไป ความสงบสุขก็กลับมา ก็ได้แค่ขอให้โลกสงบสุขอย่างนี้ตลอดไป อนุสาวรีย์ต่าง ๆ ก็คงต้องมีไว้เตือนคนรุ่นหลังว่าสงครามไม่ได้มีประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น





ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น เราได้พบเห็นคุณลุงคุณปู่หลาย ๆ คนกลับมาที่สถานที่แห่งนี้ บางท่านก็คงเป็นลูกหลานของผู้กล้าที่สูญเสียชีวิต ณ ที่นี้ เห็นแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจครับว่า คนเราจะทะเลาะแล้วก่อสงครามกันทำไม (คิด ๆ แล้วไม่อยากจะด่าคนสองสามคนที่อยากจะยึดปราสาทเก่า ๆ พัง ๆ บนเขากันไปทำไม ทำลายให้หมดก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก)

สุดท้ายเราก็ต้องลาจาก Normandy เพื่อไปเยี่ยมพี่ช้างกันที่ Etretat กันครับ อยากให้ฟ้าสวย ๆ แบบนี้ตลอดทริปจัง



ว่าแล้วก็หันหัวรถไปยัง Etretat กันทันที ถนนช่วงนี้จ่ายเงินค่าผ่านทางกันเมามันส์มาก เรียกว่าจ่ายแล้วจ่ายอีก จนแทบอ่อนใจ เรียกว่าเห็นถนนสวย ๆ หรือสะพานสวย ๆ ข้างหน้าก็เตรียมจ่ายตังค์ได้เลยครับ แน่นอนป้าย péage ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เสียเงินแน่ ๆ





จริง ๆ แล้วไม่อยากใช้ motorway เท่าไรครับ แต่เพราะต้องทำเวลาเลยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ น้อง Satnav เขาก็ยังทำงานได้ไม่ผิดพลาด บางช่วงที่เราไม่อยากใช้ motorway เราก็ set ให้หลีกเลี่ยงได้ เขาก็จะพาเราไปยังถนนแบบนี้ครับ ซึ่งน่าขับกว่าเยอะ แต่ก็ไม่อาจทำเวลาได้กับถนนแบบนี้นะครับ เขาจะจำกัดความเร็วที่สามสิบถึงห้าสิบตลอดทาง



ขับมาไม่นานก็มาถึง Etretat แล้วครับ พี่ช้างอยู่ไหนน้อ.... รูปนี้พี่เขายังซ่อนตัวอยู่



ต้องเดินเข้าไปใกล้ ๆ ครับ พี่เขาถึงจะแสดงตัวออกมา



ใครจะเดินขึ้นไปบนหลังพี่เขาก็ได้นะครับ มีทางเดินขึ้นไปด้วย ขอรูปพี่เขาอีกรูปเถอะ



อีกด้านนึงของหาด ก็เหมือนเป็นลูกช้างนะครับ (อันนี้แล้วแต่จินตนาการ) โบสถ์ข้างบนก็เดินขึ้นไปได้ครับ วิวสวยเหมือนกัน



หาดที่นี่เป็นหินครับ ว่าแล้วก็เรียงหินเล่นซักหน่อย เผื่อจะได้กลับมาอีก



ที่นี่ค่าจอดรถแพงใช้ได้ครับ ก็คำนวนเวลาเดินเล่นดี ๆ นะครับ อย่าให้เกินเวลาไม่งั้นอาจจะมีปัญหาหนักได้ หลังจากเดินเล่นซักพักก็มุ่งหน้ากันไป Rouen ครับ ผ่านสถานที่นี้ซึ่งไม่รู้เข้าทางไหน แต่ว่าสวยมากครับ



สะพานสวย ๆ แบบนี้ ฟ้าใสแบบนี้ค่อยคุ้มกับค่าผ่านทางหน่อย



หิวก็แวะกินข้าวตามปั้มน้ำมันได้ครับ แต่ขอแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าทาน เพราะแพงพอสมควร (แถมไม่ค่อยอร่อยอีกด้วยอ่ะ..)









หลังจากกินข้าวแป๊ปเดียวก็มาถึงเมือง Rouen กันแล้วครับ ขับในเมืองนี่น้อง Satnav ทำงานลำบากเหมือนกันครับ เพราะตึกสูง ๆ เยอะ บังคลื่นนำทางเหมือนกันในบางที ที่นี่มีชื่อเสียงทางด้าน half timber building ครับ









เดิน ๆ อยู่ก็ระวังรถไฟหน่อยนะครับ.. แล่นมาบ่อยเชียว



ตึกนี้จำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไรครับ แต่ว่าทนมาก ๆ รูปนี้ไกล ๆ สังเกตเห็นอะไรบ้างมั้ยครับ



ดูใกล้ ๆ ครับ น่าจะเป็นรอยกระสุนปืนตามฝาผนังเยอะมาก ๆ



ไม่ว่าที่ไหนในโลกนี้ก็มีกราฟิตี้ แต่พ่นให้สวยงามแบบนี้ไปเลยก็ดีครับ



สุดท้ายที่เมืองนี้เราจะไปเยี่ยมชม Notredame Cathedral กันครับ



ข้างในดูอลังการครับ สมกับเป็นโบสถ์หลักของเมือง



ชอบที่นั่งและที่คุกเข่าที่นี่จังครับ เป็นชุดสานดูเก่าแก่ดี



บันไดที่เป็นที่ชื่นชมของฝรั่งครับ ทุกคนต้องมาหยุดถ่ายรูปนี้กันทุกคนเลย



โบสถ์นี้มีศพของกษัตริย์อังกฤษองค์หนึ่งด้วยครับ "Richard Lion's Heart"



บรรยากาศรอบ ๆ โบสถ์ครับ







สุดท้ายก็สวดภาวนากันก่อนออกจากโบสถ์เพื่อมุ่งหน้าสู่ปารีสกันครับ



ระหว่างทางเดินไปที่จอดรถครับ เจอตึกนี้สวยแปลกตาครับ บ้านเราไม่มีแบบนี้บ้างเนอะครับ



ตึกนี้เป็นที่ทำการของรัฐบาลครับ ถ้าจำไม่ผิดรู้สักจะเกี่ยวกับกระทรวงการคลังนี่แหละครับ "Palaris de Justice"



จากลา Rouen กันด้วยภาพมิตรภาพแบบนี้ครับ



จากนั้นเราก็มุ่งหน้าเข้าสู่ Paris กันครับ



เย็นวันนั้นรถติดมาก ๆ ในเขตเมืองปารีส เป็นการทดสอบน้อง Satnav ไปในตัวว่าจะพาเราไปยังถึง Montparnasse ได้หรือเปล่า ผลปรากฎว่าไว้ใจได้จริง ๆ ครับ เติมน้ำมันก่อนถึงตึกเล็กน้อย จอดรถแล้วก็มานั่งหา office europcar อีก ไม่ง่ายเลยครับ สรุปสงสัยคงต้องเรียนภาษาฝรั่งเศสซะแล้ว

วันนั้นกว่าจะถึงโรงแรมก็เกือบทุ่มเหมือนเคย วันนี้โรงแรมใช้ได้ครับ ถึงแม้ว่าจะไกลจากโซนนักท่องเที่ยวไปหน่อย



ตื่นเช้าอีกวันเพิ่งมารู้ว่าเห็นคุณปู่ไอเฟลจากห้องเหมือนกันแฮะ



เช้านั้นว่าจะเดินไปกินข้าวเช้าแถวสวน Luxembourg กันครับ ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ครับ





Smart Cars



ระหว่างทางก็เจอตลาดสด





มะเขือเทศน่ากินมาก ๆ เป็นดาวกระจายเลย



สีสรรผลไม้น่ากินมาก ๆ



มาถึงสวน Luxembourg แล้วครับ เช้านี้ไม่มีนักท่องเทียวเลย มีแต่น้อง ๆ อนุบาลเดินแถวมาเล่นกิจกรรมกันเยอะแยะเลย (ไม่กล้าถ่ายรูป กลัวติดคุก)



โชว์ตัวอาหารเช้าคนยากครับ ขนมปังจากร้าน Paul



กินอิ่มก็เดินรอบ ๆ สวนครับ แปลกใจว่าทำไมใบไม้เปลี่ยนสีได้ในเดือนพฤษภาคม นั่งพินิจกันตั้งนาน.. สรุปก็ไม่รู้อยู่ดี



มีสนามเทนนิสด้วย แต่ผมอยากเห็นสนามดินจัง ตอนนั้นไปก็ใกล้ French Open แล้วด้วย นั่งดูน้อง ๆ เขาตีเทนนิสซักพักละครับ ย่อยอาหารไปเรื่อย...



มาดูรอบ ๆ สวนนี้กันบ้างครับ









จากนั้นเราก็ตั้งใจเดินกันไปที่ Pantheon กันครับ เดินผ่านตึกนี้สีสวยดี



ตึกนี้ก็แปลกดีครับ รู้สึกจะเป็นออฟฟิสการท่องเที่ยวของอียิปต์มั้งครับ



เดิน ๆ ไป Pantheon วันนี้แปลกครับ เจอเหมือนหมอ พยาบาลอื้อเลย.. มีอะไรกันมั้ยเนี่ย



โอว.. ท่าทางจะประท้วงละมั้งเนี่ย



มากันตรึมเลยวันนี้ ไม่รู้ประท้วงอะไรกัน ฟังไม่เข้าใจ แต่แปลกดีครับเห็นชุดกาวน์สีสรรสวยดี



เยี่ยมชมกันพัก ก็ออกเดินต่อไปที่ Saint-Germain-des-Pres ครับ ก่อนไปก็ขอแวะชม Saint-Etienne du Mont ก่อน เพราะอยู่หลัง Pantheon นั่นเองแหละครับ



กว่าจะเดินถึง Saint-Germain-des-Pres ก็เริ่มขาลากแล้วครับ แต่ในที่สุดก็ถึงจนได้



โบสถ์นี้สวยครับ ไม่เสียค่าเข้าชม มีโอกาสอย่าลืมแวะนะครับ









ชมโบสถ์เสร็จก็กลับไป CDG airport แล้วละครับ วิ่งลง Metro แทบตาย ทะเลาะกับเจ้าหน้าที่เช็คอินว่าทำไมไม่มีวีซ่าไอร์แลนด์ (เพราะไปลง Belfast) กว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าใจว่ามันอยู่ในอังกฤษ ไม่ใช่ไอร์แลนด์ก็เสียเวลาพอสมควร รีบเข้าไปที่ gate ก็เจอว่าคุณพี่ airlingus สายอีกแล้วครับท่าน คราวนี้ delay เกือบชั่วโมงกว่า ๆ สรุปทริปนี้มันอารายกันน้อ...

ระหว่างรอเครื่องกลับบ้าน ก็เจอเครื่องบินคุ้นตา... รอผมด้วย ผมอยากกลับบ้าน.. (ดูดี ๆ จะเห็นว่ามียุงตัวนึงเกาะที่กระจกครับ คุณภรรยาบอกว่ายุงอะไรตัวเท่าเครื่องบิน)



ทริปนี้ก็จบลงอย่างทุลักทุเลครับ แต่ก็ยังถือว่าสนุกอยู่นะครับ ไว้จะมาอัปเดตทริปนั่งเครื่องบินไปกินข้าวที่ลอนดอน (ไฮโซมาก ๆ )กับไปเที่ยวที่ Barcelona ให้ชมนะครับ




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 6 กรกฎาคม 2552 13:41:10 น.   
Counter : 1008 Pageviews.  


2009 France (Saint Malo, Fougeres )

ปีนี้ก็ได้ฤกษ์ไปเที่ยวฝรั่งเศสอีกแล้วครับ เนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่สามารถให้ทำวีซ่าทางจดหมายได้ (แล้วก็ของ่ายที่สุดแล้วด้วย) ซึ่งก็เลยกลายเป็นไฟลท์บังคับที่ต้องมาเยี่ยมเยือนประเทศนี้อีกครั้งนึง หลังจากที่เจ้าหน้าที่ผู้น่ารักได้ให้เชงเก้นวีซ่าระยะเวลาหนึ่งปีมาครอบครอง

ไฟลท์นี้บินไปเที่ยวตอนเดือนพฤษภาคมครับ โดยสายการบิน airlingus ตั้งต้นทริปก็ส่อแววว่าทริปนี้ท่าจะไม่ราบรื่นซะแล้ว (แล้วก็ไม่ราบรื่นจริง ๆ ด้วย) airlingus พี่แก delay ไปทั้งหมดเกือบสี่สิบนาทีกว่าจะขึ้นได้ หลังจากกัปตันซิ่งผ่านเมฆมาได้ซักพัก เราก็จะเห็นวิวคุ้นตา (นี่เรากลับมาลงที่อังกฤษ หรือไอร์แลนด์หรือเปล่าเนี่ย มันเขียวปนเหลืองเหมือน ๆ กันเลย) รูปนี้เกือบจะลงที่ CDG airport แล้วครับ



หลังจากผ่านเจ้าหน้าที่ Immigration ที่ทักเราด้วยภาษาไทยดังฟังชัดว่า"สวัสดีครับ" (แสดงว่าคนไทยมาเที่ยวไม่น้อย... รวยกันจริง ๆ เน้อ) เราก็ไปรับรถกันครับ ผลก็คือ รถออโตฯที่จองไว้ไม่มี อารายกันฟะ เจ้าหน้าที่ก็พยายามยัดเยียดให้เราเอารถเกียร์ธรรมดา มีหรือเราสองคนจะเอา เพราะว่าจ่ายแพงว่าเพื่อรถออโตฯแล้วนะ รออีกเกือบชั่วโมงก็ได้คันนี้มา... จ่ายน้อยกว่า แต่ได้รถที่ดีกว่า ใครจะปฎิเสธได้ลง..



ได้รถแล้วก็ขับวนในที่จอดรถซักรอบสองรอบ (เกิดมาไม่เคยขับรถเบนซ์นี่ แถมพวงมาลัยซ้ายอีก) พอชินกับรถ เราก็ตั้งน้อง satnav ที่หอบหิ้วกันมาจาก belfast เพื่อมุ่งสู่เมืองเล็ก ๆ ในเขต Normandy ที่ชื่อ Fougeres กัน

ตอนไปก็ใช้ motorway เป็นหลักครับ เพราะว่าอยากทำเวลา กว่าจะได้รถก็เกือบสามโมงเย็นเข้าไปแล้ว แถมตอนไปยังเจอวันหยุดยาวของคนฝรั่งเศสอีก รถเยอะเหมือนกัน รถ classic เต็มถนนเลย ของชอบของเราจริง ๆ



ขับตามกฎอย่างเคร่งครัดครับ จำกัดความเร็วที่ 130 ตลอดทางก็จะมีที่แวะให้เติมน้ำมัน ซื้อของกิน หลากหลายครับ เราสองคนเห็น Carrefour ก็รีบแวะทันที เห็นหลายคนบอกว่าเติมน้ำมันกับ supermarket จะถูกกว่าเติมกับผู้ผลิตน้ำมัน ซึ่งก็จริง แต่ไม่มากเท่าไร


พอหมดจาก motorway ตาขวาก็กระตุกเป็นระยะ เหมือนจะ confirm ว่าต้องมีอะไรอีกแน่ ๆ วันนี้ แล้วก็เป็นจริงตามคาด พอออกจาก motorway ก็จะเป็นถนนเล็ก ๆ ผ่านตามหมู่บ้าน ความเร็วที่ใช้ก็ไม่มากเพราะต้องระวัง แต่แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ เพราะว่ารถฝั่งตรงข้ามหักหลบอะไรซักอย่าง แล้วเบนเข้ามาหาเส้นทางเรา ซึ่งก็ต้องหักหลบ ทำให้ยางไปชนเข้ากับมุมฟุตบาทอย่างจัง ผลก็คือ... ยางแตกครับทั่น



กว่าจะเปลี่ยนยางที่มีสภาพเหมือนยางรถมอเตอร์ไซด์เสร็จ ก็เรียกเหงื่อพอสมควร พอดีมีก๊วนชาวบ้านที่กำลังจะไปเลี้ยงสละโสดมาช่วยขันน๊อตล้อให้ กลิ่นละมุดเนี่ยหึ่งเชียว คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังมีน้ำใจมาช่วย แต่เด็ดสุดก็คงเป็นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวที่แต่งตัวเป็น บาทหลวงกับซิสเตอร์ เนี่ยแหละ ดูแล้วก็ขำดี (ทั้ง ๆ ทียังไม่หายตกใจเท่าไร) กว่าจะถึงโรงแรมก็สองทุ่มกว่า ๆ เข้าไปแล้วครับ โรงแรมก็สภาพค่อนข้างดี ไม่เล็กเหมือนโรงแรมในปารีส



แน่นอนพักโรงแรมไหน ต้องมีแมสค๊อตให้คุณภรรยาได้ออกกำลังกาย โรงแรมนี้มีน้องบุนจิ บ๊อกเซอร์เพศหญิงที่ตัวใหญ่กว่าคุณภรรยาเสียอีก



พักผ่อนกันหนึ่งคืน เราก็ตกลงใจกันว่าคงต้องเปลี่ยนยาง หรือไม่ก็เปลี่ยนรถ เพราะว่าด้วยยางสำรองอันนี้คงเที่ยวทำเวลาไม่ได้ เพราะให้วิ่งได้แค่แปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แถมคงไม่สนุก เพราะรถมันจะขึ้นเตือนตลอดเวลา ต้องคอยระวัง

เช้าต่อมาเราก็เลยตกลงใจว่าจะไปหาที่เปลี่ยนยาง หรือเปลี่ยนรถกันก่อนที่เมือง Saint Malo เพราะว่าวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งแน่นอนว่าคนยุโรปไม่ทำงานกันวันอาทิตย์ซักเท่าไร ยกเว้นเมืองใหญ่ ๆ ว่าแล้วก็ขับรถออกจากโรงแรมแต่เช้ามุ่งหน้าสู่ Saint Malo

ว่าแล้วก็ถ่ายมุมบังคับของ Fougeres กันซักหน่อย



ไหน ๆ เราก็จะมุ่งหน้าสู่ Saint Malo กันแล้ว ก็เลยเบนหัวรถนิดหน่อย ไปเยี่ยมชม Le Mont-Saint-Michel กันซักนิด ถึงจะไม่มีเวลาเข้าชมก็ถามเหอะ ระหว่างทางก็สัมผัสกับธรรมชาติบ้านนอกของฝรั่งเศสครับ น้องวัวตัวนี้หายใจทีไอน้ำเป็นทาง คุณภรรยาบอกว่าเหมือนควันจากเครื่องทำความร้อนที่บ้านเลย



สวนแอปเปิ้ลข้างทางครับ



ขับไม่นานก็ถึง Le Mont-Saint-Michel แล้วครับ นี่ขนาดแปดโมงครึ่งนะครับ รถและคนเยอะมาก ๆ สรุปคนที่จะมาเยี่ยมชมควรจะมาถึงตั้งแต่เช้านะครับ หรือว่ามาพักแถวนี้เลยก็ได้ เพราะว่าคนจะเยอะมาก ๆ ยิ่งสายคนยิ่งเยอะ รถยิ่งติด (ผ่านมาตอนบ่ายอีกที รถติดยาวไปถึง motorway เลย) ข้อควรระวังอีกอย่างคือลานจอดรถใกล้ ๆ Le Mont-Saint-Michel เนี่ยอาจจะน้ำท่วมได้ตามน้ำขึ้นน้ำลง เพราะฉะนั้นดูเวลาน้ำขึ้นน้ำลงด้วยก็ดีนะครับ ไม่งั้นรถท่านอาจจะลอยน้ำไปได้ ให้ดีก็จอดรถบนฝั่งแล้วเดินเข้าไป ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเกินสองกิโลเมตร แต่ฝรั่งเขาก็ทำกัน



เนื่องด้วยความผิดพลาดของข้าพเจ้าที่ทำยางแตก เลยไม่มีเวลาเข้าไปเยี่ยมชม ก็เลยจำใจจาก Le Mont-Saint-Michel ด้วยภาพไกล ๆ อย่างนี้แหละครับ หวังว่าครั้งหน้าอาจจะได้กลับมาเข้าเยี่ยมชมข้างใน



แล้วเราก็มุ่งกันไป Saint Malo กันครับ ผ่าน windmill อันนี้ระหว่างทางด้วย



ขับรถไปสัญญาณก็ขึ้นเตือนเรื่อย ๆ พร้อมกับตาขวายังกระตุกเป็นระยะ ๆ (มันจะอะไรกันฟระทริปนี้) ขับมาอีกชั่วโมงก็ถึง Saint Malo แล้วครับ ขับหาที่เปลี่ยนยางอีกเกือบชั่วโมง (โดยหาจาก Satnav) ซึ่งก็แน่นอนไม่มีร้านใด ๆ เปิดครับ

เที่ยงแล้วด้วย..หิว..เบื่อ..และโกรธตัวเองว่าทำไมขับรถไม่ระวัง ว่าแล้วไปพักหาที่กินข้าวก่อนดีกว่า มุ่งหน้าไปหาที่จอดแล้วไปเดินเล่นก่อนดีกว่า จอดรถเสร็จก็มุ่งหาร้านกินข้าวกันเลยครับ กลิ่น crepe มันช่างยั่วยวนยิ่งนัก



ว่าแล้วก็เดินเข้าไปหา crepe กินกันดีกว่าครับ ตอนนั้นรสชาติไหนก็อร่อยหมดแหละครับ





กินอิ่มก็เดินย่อยอาหารรอบเมืองกันซักพักครับ







แนะนำให้ขึ้นไปเดินบนกำแพงนะครับ ออกกำลังกายดี













เกาะที่เห็นลิบ ๆ นี่เดินข้ามไปได้นะครับ แต่ต้องดูน้ำขึ้นน้ำลงด้วย อย่าทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องทำงานหนักเกินไปนะครับ เห็นว่าวัน ๆ นี่เจ้าหน้าที่ทำงานกันหลายรอบเลยครับ



คุณภรรยานี่เห็นสัตว์อะไรไม่ได้จริง ๆ เลยครับ เห็นนกนางนวลก็เลี้ยงด้วยขนมกรอบ ๆ อีกจนได้ คราวนี้เลยมากันเต็มเลย





มีหาดให้เล่นน้ำด้วยนะครับ แต่เห็นมีแต่น้องหมาสองสามตัวเท่านั้นที่วิ่งขึ้นวิ่งลงกันอย่างสนุกสนาน เจ้าของก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะเรียกเท่าไรก็ไม่ฟัง



หมดเวลาพักผ่อนแล้วละครับ ต้องลาจาก Saint Malo เพื่อไปจัดการเรื่องรถต่อเสียที



สุดท้ายวันนั้นเราก็ได้รถคันใหม่สมใจครับ เป็น VW Polo เกียร์ธรรมดา แต่ก็ต้องขับรถไปไกลถึงเมือง Rennes เพราะว่าที่เมืองนี้มีทั้งสนามบิน และสถานีรถไฟที่เปิดวันอาทิตย์ และก็มีบริษัทรถเช่า Europcar เปิดให้บริการในเมืองนี้ด้วย

แต่กว่าจะได้เปลี่ยนรถก็เสียเวลาอีกเกือบชั่วโมงเพราะไปรอเจ้าหน้าที่ผิดที่ เราคิดว่าที่สนามบินน่าจะมีคนพูดภาษาอังกฤษได้ แต่สรุปว่าแทบไม่มีใครยอมพูดภาษาอังกฤษกับเราเลย ประชาสัมพันธ์ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (แทบไม่น่าเชื่อ) สุดท้ายมาได้เจ้าหน้าที่ผู้ชายอีกคนที่คอยดูแลที่จอดรถ มาจัดการโทรศัพท์กับ Europcar ในเมืองว่า ถ้าจะเปลี่ยนรถต้องไปที่สถานีรถไฟเท่านั้น สองคนก็รีบขับรถไปเปลี่ยนทันที ตอนนี้รถอะไรก็เอาแล้ว แมนน่วลหรือออโตฯ ข้าพเจ้าเอาหมด แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะเปลี่ยนได้ (ทริปนี้นี่สุด ๆ จริงครับ ปัญหาเยอะมาก จนเที่ยวแทบไม่สนุกเลย)

หลังจากได้รถก็ขับรถกลับโรงแรมครับ เหนื่อยกว่าใช้ออโตฯ แต่ก็ขับทำเวลาได้ แถมประหยัดน้ำมันกว่าด้วยแฮะ... กว่าจะถึงโรงแรม คุณพระจันทร์ก็ออกมาทำหน้าที่แล้ว



เมืองแทบร้าง เพราะเป็นวันอาทิตย์ เราสองคนจอดรถแล้วก็ออกมาเดินเล่นกันครับ เพราะเมือง Fougeres ไม่ได้ใหญ่โตเลย



เห็นของน่าสนใจก็เข้าไปดูไม่ได้ เพราะว่ามันปิด แต่ของน่ารัก ๆ เยอะมาก ๆ



เข้าหน้าร้อนแล้วดอกไม้ก็สีสรรสดใสดีจริง ๆ







ว่าแล้วก็เดินชมรอบ ๆ เมืองกันครับ แน่นอนเย็นอย่างนี้ปราสาทก็ปิดแล้วด้วย เลยได้แต่เดินรอบ ๆ เท่านั้นเองครับ

















ระหว่างเดินเที่ยวก็จะได้ยินเสียงน้ำดังมาก ๆ เพราะเขามีทำนบน้ำหลาย ๆ รอบ ๆ ปราสาทครับ







เดินกันจนเหนื่อยเลยครับ มืดแล้วด้วย แต่เมืองเล็ก ๆ ก็ดูสงบดี ถ้าได้เดินตอนกลางวันก็คงจะดีกว่านี้ อาจจะดูมีชีวิตชีวากว่านี้ครับ



คืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายที่จะนอนที่โรงแรมนี้แล้ว ก็รีบเดินกลับโรงแรมไปหาน้องบุนจิให้คุณภรรยาออกกำลังกายเล็กน้อยก่อนนอนครับ



วันต่อไปก็จะมุ่งหน้าเข้าสู่ปารีสแล้วครับ แต่เส้นทางก็คงอ้อมเล็กน้อย เพื่อไปเยี่ยมชมพี่ช้างกันเล็กน้อย... แล้วจะมาต่อวันหน้าครับ




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 5 กรกฎาคม 2552 18:31:09 น.   
Counter : 1606 Pageviews.  


**ITALY** [ Vatican ]

ตื่นเช้าวันสุดท้าย ฟ้าสดใสครับ (หลังจากฝนตกตอนกลางคืนซะดังสนั่น...)



ห้องทานอาหารเช้าครับ ระดับนี้แล้วฝาผนังไม่ใช้ wallpaper นะครับ วาดเอาเลย...



เช้านี้ต้องไปขึ้นตั๋วรถบัสก่อนครับ เนื่องจาก Ryanair ใช้สนามบินที่ไม่ใช่สนามบินหลัก เลยต้องนั่งรถบัสของ Terravision ไป ที่ออกตั๋วก็ใน Roma Termini นั่นแหละครับ เลยได้แวะเยี่ยมเป็นครั้งสุดท้าย (first class ไม่มีอีกแล้ว... ต่อไปนี้ eco ตลอด )



วันนี้เรามีแพลนไปวาติกันอย่างเดียวครับ แล้วบ่ายๆก็ต้องนั่งเครื่องกลับอังกฤษครับ เวลาไม่น่าจะพอเก็บรายละเอียดทั้งหมด แต่ก็เอานะครับมีเวลาเท่านี้ เอาไว้รอบหน้าแล้วกันเน้อ... ระหว่างทางก็เยี่ยมชมเมืองโรม่าไปเรื่อย ๆ ครับ



San Carlo Quatro Fontane ครับ จริง ๆ เขามีรูปสลักสี่ด้านของสี่แยกนี้เลยนะครับ แต่ถ่ายมาแค่ด้านเดียวครับ (memory ในกล้องเหลือน้อยเข้าไปทุกที....)



ที่ไหนซักที่แหละครับ เห็นคุณพี่เขาทำหน้าเครียดแบกเสากันดูแปลกตาดี



Fontana del Tritone ครับ



Trinita dei Monti หรือ Spanish Steps ครับ มุมนี้จากทางข้างบนครับ (เลือกมาทางนี้เพราะไม่อยากเดินขึ้นบันได )



ส่วนรูปนี้ถ่ายจากทางด้านล่างครับ จะเห็นได้ว่าซ่อมอีกแล้วครับทั่น



น้องปลา (หรือเรือ???) หน้า Spanish Steps ครับ



อนุสาวรีย์แม่พระมารีย์แถว ๆ Spanish Steps ครับ



เดินต่อไปเรื่อย ๆ ครับ จุดหมายคือจะไปเดินริมแม่น้ำ Fiume Tevere กันครับ เดินแวะไปดู Mausoleo Augusto ซึ่งก็ปิดซ่อมตามเคยครับ



ร้านค้านี้ท่าทางจะอยู่มานานมาก ๆ สังเกตเสาสิครับ โรมันแท้เลยนะ



ว่าแล้วก็เดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อย ๆ ครับ เจอโบสถ์นี้สวยดี แต่ก็ไม่ได้ข้ามไปดู



เรือนำเที่ยวครับ แต่ผมว่าน้ำมันลงต่ำซะขนาดน้าน จะไม่เห็นอะไรเลยน่ะสิครับ สรุป...ไม่น่าจะคุ้มครับ



มองลอดต้นไม้ดู Palazzo Giustizia



เห็น Basilica S.Pietro ลิบ ๆ แล้วครับ ใกล้จะถึง vatican แล้วเรา



ไม่รู้เป็นไง ชอบตึกสีแบบนี้จังเลยครับ



ร้อน ๆ แบบนี้ต้องซื้อน้ำจากร้านแบบนี้ครับ ซื้อจากตู้กด หรือบางร้านค้าไม่เย็นเลย แต่ร้านแบบนี้เย็นจนเป็นน้ำแข็งเลย แต่ก็แลกมากับราคาที่แพงกว่าร้านปกตินะครับ



Ponte Sant' Angelo กับ Castel Sant' Angelo ครับ



รูปปั้นบน Ponte Sant' Angelo ครับ (แทบทุกรูปจะมีนกเกาะหมดเลยครับ..)



เหมือนแสงสว่างนำเรามาที่นี่เลย



บริเวณก่อนทางเข้าครับ



ก่อนทางเข้าก็จะมีรถ Sight Seeing จอดอยู่หลายเจ้าเลยครับ ถ้าใครไม่ชอบเดินชมเมืองแบบเราสองคน ก็แนะนำนะครับ น่าจะสะดวกสบายดี



มาถึงแล้วครับ คนเยอะพอตัว..



ว่าแล้วก็ไปเข้าแถวเข้าชมอาสนวิหารกันทันทีครับ



ไปถึงตอนเกือบสิบโมง แถวยาวแต่ใช้เวลาไม่มากเลยครับ ผ่านเครื่องตรวจอาวุธก่อน แล้วก็จะเจอด่านตรวจการแต่งกายอีกรอบนึง ระหว่างยืนก็ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ครับ



เข้าแถวไม่เกินครึ่งชั่วโมง เราก็มาเจอคุณพี่ Swiss Guard กันแล้วละครับ ชุดพี่เขาสีสรรเจ็บจริง ๆ



เราลงไปเยี่ยมหลุมศพของโป๊ปองค์ก่อนกันเป็นอย่างแรกเลยครับ ตอนลงไปไม่เห็นว่าเขาห้ามถ่ายรูป หลังจากกดไปสองรูปข้างล่างแล้วก็หยุดเลยครับเพราะเห็นป้ายห้าม หลุมศพของโป๊ปองค์ก่อนเรียบง่ายเสียจนไม่น่าเชื่อครับ คงเป็นดังความประสงค์ของท่านครับ แล้วก็จะเป็นหลุมศพเดียวที่มีคนเฝ้า แล้วก็ไม่ให้หยุดนานเกินความจำเป็น ส่วนหลุมศพของโป๊ปก่อน ๆ ล้วนแต่ปราณีตงดงามทั้งนั้นเลยครับ





ออกมาก็เจอคุณพี่ Swiss Guard ระยะประชิดครับ



ว่าแล้วก็วกเข้าไปชมในตัวอาสนวิหารกันต่อครับ ภาพนี้จากตรงหน้าประตูพอดี



เพดานส่วนนอกครับ



ประตูหลักครับ



พื้นป้ายตรงประตูหลักด้านในครับ



ดูรูปภาพในวิหารทั่ว ๆ ไปเลยครับ











บรรยากาศโดยรอบ ๆ ก็มีแต่นักท่องเที่ยวครับ กับมีพนักงานคอยตรวจตราความเรียบร้อยครับ แต่ทุกคนเงียบสงบมากครับ ไม่มีใครส่งเสียงดังเลยแม้แต่น้อย ทุกคนให้ความเคารพสถานที่ดีมากครับ









มีพิธีกรรมพอดีครับในส่วนนี้



แล้วเราสองคนก็ไปลูบเท้า Saint Peter กันครับ (ขนาดทำจากทองเหลือง เท้าท่านยังสึกไปเลยครับ)



นี่คือหลุมศพท่านใต้พระแท่นประกอบพิธีหลักครับ



เนื่องจากได้เวลาต้องไปขึ้นรถบัสแล้ว เราสองคนเลยต้องทำใจครับ ทั้ง ๆ ที่ยังอยากใช้เวลาให้มากกว่านี้ อยากขึ้นไปยังโดมของอาสนวิหาร อยากไปเยี่ยมชมพิพิธพันธ์ ฯลฯ ทำไงได้ครับ ยังไงได้โยนเหรียญลงในน้ำพุ Trevi แล้ว คงได้กลับมาแน่ ๆ ครับ ปิดท้ายอาสนวิหารด้วยฝีมือซูมของคุณภรรยาครับ



ออกมาข้างนอกฟ้าก็ยังแจ่มอยู่มากครับ เสียดายจริง ๆ เล้ย



ปิดท้ายวาติกันด้วยภาพนี้แหละครับ คิดว่ายังไงคงได้มาอีกแน่ ๆ



จากนั้นเราสองคนก็เดินเร็วกลับไปขึ้นรถบัสที่สถานีรถไฟครับ เดินเร็วจริง ๆ ครับหลายกิโลอยู่เดินกันแค่สี่สิบนาที โดยไม่มีหยุดพัก ถึงสถานีก็โดดขึ้นรถบัสเลยครับ เหนื่อยมาก ๆ

เครื่องออก delay ไปครึ่งชั่วโมง ตอนแรกนึกว่าจะมาเปลี่ยนเครื่องที่ London Stansted ไม่ทันซะแล้ว เพราะเวลาจำกัดมาก แต่คุณพี่นักบินสายการบินนี้อย่างที่บอกไปแล้วว่าซิ่งมาก ๆ สามารถทำเวลาจน delay แค่สิบนาที (เชื่อมั้ยละครับ... สงสัยจะมีลมส่งท้ายด้วย พี่แกเลยทำเวลาได้)

มาถึง London Stansted ก็วิ่งผ่าน immigration วิ่งไปเช็คอิน (เหมือนโดนแกล้งให้ไปเช็คอิน counter สุดท้าย วิ่งแทบตาย) ได้ boarding pass เสร็จก็แวะซื้อ Krispy Kreme (เพราะบ้านนอกไม่มีขาย...)

จากนั้นก็วิ่งผ่าน Security อีกรอบ คุณภรรยาโดนเจ้าหน้าที่แกล้งเรื่อง Krispy Kreme ตลอดเวลา ประมาณว่าไม่ให้ขึ้นเครื่องบ้างล่ะ เจ้าหน้าแสกนก็ไม่ให้ผ่านบ้างล่ะ บอกว่าข้างในเป็นครีม (อันนี้น่าจะจริง) แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าขึงขังก็บอกว่า I'm joking.. you are number 37 for today. (สงสัยเธอจะทำทุกวันแน่นอน เป็นขบวนการตั้งแต่คนดูจอ ไปยันคนค้นของ...

แต่จริง ๆ แล้วมันควรจะห้ามหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ เพราะว่าถ้าตอบจริง ๆ มันก็ครีมอยู่ข้างในจริง ๆ ด้วย แต่ไม่เป็นไรเราผ่านมาได้แล้วก็พอ ว่าแล้วก็รัดเข็มขัดให้ซะ... ไปนะ..กลับ Belfast กัน



นี่คือโฉมหน้าของ JACK ผู้ซึ่งพยายามกระโดดมาแย่ง Krispy Kreme เราสองคนตลอดเวลา ตัวใหญ่มากน้องเอ้ย...



เห็นโฆษณานี้แล้ว ต้องรีบจดครับ ครั้งหน้าจะไปใช้บริการแน่นอน แค่น้องหมีตัวเดียวก็น่าจะคุ้มแล้ว...



ถึง Belfast โดยสวัสดิภาพครับ ได้อากาศเย็น ๆ แบบที่นี่แล้วชื่นใจมากครับ สรุปทริปอิตาลีทริปนี้ให้ 7.5 จากเต็มสิบครับ แต่รับรองว่าต้องได้กลับไปอีกแน่ ๆ ครับ นอกจากนี้ขอขอบคุณเท้าของเราทั้งสองคนมาก ที่ได้ทำให้เราสองคนเที่ยวได้ตลอดเวลาในทริปนี้ เจอกันทริปหน้าครับ




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2551   
Last Update : 24 กรกฎาคม 2551 1:01:25 น.   
Counter : 848 Pageviews.  


**ITALY** [ Roma ]

นั่งรถไฟมาแค่ชั่วโมงครึ่งก็มาถึง Roma Termini ครับ



ถึงโรมก็เกือบบ่ายสามโมงเข้าไปแล้วครับ เลยไปเช็คอินที่โรงแรมเลยดีกว่า จะได้ทิ้งกระเป๋าเป้ไว้ที่โรงแรมด้วย สภาพห้องครับ มีจากุซซี่ด้วย (ตอนจองก็ไม่รู้หรอกครับ แต่สมราคามาก ๆ ทำเอากระเป๋ากางเกงข้างซ้ายแห้งไปเลย แต่เรายังมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อยู่ 555)



เก็บของเสร็จ เราสองคนก็ออกเดินชมเมืองทันทีครับ จากโรงแรมเดินอีกจิ๊ดเดียวก็เจอ Porta Pia ครับ



เยี่ยม ๆ มอง ๆ ก็ออกเดินกันต่อครับ อะไรที่เก่า ๆ เขาก็ยังรักษากันดีอยู่เลย แม้ว่าบางทีมันจะดูไม่สวยแล้วก็ตาม แต่ในบางมุมมันก็ยังสวยนะครับ เพียงแต่ภาพถ่ายมันถ่ายทอดออกมาไม่ได้ก็แค่นั้น



มีเรือด้วย...



แวะกินแตงโมเย็นฉ่ำกันแถว Repubblica ครับ



พื้นสวยมาก.. รูปนี้โชคดีไม่มีใครอยู่ในรูปเลย (ส่วนคุณภรรยาก็แกะเม็ดแตงโมอย่างเมามันอยู่ข้างหลัง)



มองไปด้านหน้าครับ ก็จะเจอน้ำพุกับโบสถ์ Santa Maria degli Angeli ที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ครับ



เดินที่โรมรู้สึกเหนื่อยบ้างเหมือนกันครับ เพราะมีทางขึ้นเนินลงเนินเยอะเหมือนกัน



จุดหมายต่อไปเราก็คือ โบสถ์ Santa Maria Maggiore เห็นด้านหลังโบสถ์ตอนแรกก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน



ต้องย้อนมาดูด้านหน้า ใช่เลยครับ มาถูกแล้วละ



ยิ่งเห็นแม่พระประทับอยู่แบบนี้ก็ใช่เลยครับ



โบสถ์ที่อิตาลีเนี่ยผมว่าสวยและดูศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ ทุก ๆ โบสถ์เลยครับ









เดินชมซักพักเราก็ออกมาข้างนอกครับ เจอเจ้าถิ่นอีกละ คุณภรรยาก็แจกขนมปังทำบุญให้อีกตามเคย



จุดหมายต่อไปคือ colosseo ครับ ระหว่างทางก็เดินผ่าน Domus Aurea ตอนแรกนึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้ ดันเป็นตึกเก่า ๆ ล้อมรั้วไว้แค่นั้นเองครับ



เดินผ่านโบสถ์นี้ คิดถึงสีแดงที่ Florence เลย... (จริง ๆ มีโบสถ์เยอะมาก ๆ ครับ เดินผ่านบ้าง เข้าไปดูบ้าง แล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้นจริง ๆ ว่าอยากเข้าหรือเปล่า โดยมากเลือกอันที่ข้างนอกดูสวย ๆ ไว้ก่อนน่ะครับ)



นี่ก็ฟุตบอลการกุศลหรือเปล่าไม่รู้ แต่เหมือนมาปิกนิกกันมาก ๆ เปิดเพลง ทำอาหาร ดื่ม เตะบอล... สารพัด ฯลฯ รู้อย่างเดียวฝุ่นฟุ้งมาก ๆ ลูกพี่



โอว... ในที่สุดก็มาถึงจนได้ Coloseeo (เดี่ยวจะส่งคุณภรรยาไปสู้กับสิงห์โตก่อน เพราะเราถือคติ lady first )



อืม... อันนี้หินสมัยเก่าหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าเดินยากจิ๊บ



Arco di Costantino ก็อยู่ใกล้ ๆ กันนี่ละครับ



ขนาดเย็นแล้วยังมีคนมาเข้าแถวเยอะพอประมาณ เราสองคนก็เอาด้วยเหมือนกัน โชคดีที่ยังเปิดอยู่



ซื้อตั๋วเสร็จก็เดินเข้ามา... มันช่างยิ่งใหญ่เสียจริง ๆ แต่สงสารคนที่ต้องมาจบชีวิตที่นี่เสียเหลือเกิน ทำไมน้าคนเราถึงชอบการฆ่าฟันกันเสียจริง



Gladiator เราก็นั่งทอดถอนใจ หลังจากฆ่าพิราบไปตัวนึง... (หึ หึ ว่าแล้วมันก็ส่งตัวใหม่เข้ามา... อาศัยพวกเยอะกว่า )



คนโรมันสมัยก่อนนี่ก็เก่งจริง ใหญ่โตซะขนาดนี้ยังสร้างได้



แต่ถ้ารูปนี้เท่าตัวคนสมัยก่อนจริง ๆ ก็คงไม่แปลกใจเท่าไร เพราะตัวคงเหมือนยักษ์มาก ๆ และสิ่งก่อสร้างแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไร



ถ้าให้เดา หินที่เป็นสีอ่อน ๆ คงเป็นของเก่า ส่วนสีอิฐคงเป็นส่วนที่ต่อเติม (มั้งครับ)





ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็มีวันเสื่อม...



ดูสิครับ พอออกมานะ ฟ้าใสเชียว (อย่างนี้แหละครับ ก็บังคับอากาศไม่ได้นี่นา ก็เราจะมามัวอ้อยอิ่งรอฟ้าสวยก็ไม่ได้ วัยรุ่นเซ็งเล็กน้อย...)



เดินผ่าน Palatino ครับ ทางเข้านี้ด้นปิดไปแล้ว ก็เลยไม่เข้า (ทั้ง ๆ ที่ตั๋ว Coloseeo ก็รวมค่าเข้าแล้วด้วย) อารมณ์ขี้เกียจเดินย้อนไปอย่างแรง



เดินผ่านตึกนี้เห็นแว๊ป ๆ นึกว่าข้างบนเป็นกำปั้นชูนี้วกลาง (คิดในใจกล้ามากเนอะ...) แต่ดูดี ๆ เป็นนิ้วชี้ครับ



เดินผ่านสนามกว้าง ๆ เหมือนจะเป็นสนามแข่งอะไรซักอย่าง วันนั้นมีเฮลิคอปเตอร์มาลงด้วย ฝุ่นฟุ้งกับเป็นกิโลเมตรเลยครับ



โบสถ์นี้ก็ดูน่าเข้าไปชม แต่ปิดไปแล้วครับ มีแต่คุณตำรวจอยู่สองสามคนข้างหน้า (รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันครับ เพราะว่าเห็นตำรวจทุกที่เลย แล้วเยอะด้วย ไม่แน่ใจว่าเขามี alert อะไรกันหรือเปล่า หรือว่าโรมเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ ดู ๆ แล้วเหมือนจะปลอดภัย หรือไม่ปลอดภัยก็ไม่รู้เหมือนกัน)



นี่คือจุดหมายต่อไปของเราครับ โบสถ์ Santa Maria in Cosmedin ครับ



ฮือ... ปิดแล้วอ่ะครับ อดเล่นสนุกกับ Mouth Of Truth เลย



Bolster ไปไหนถ้าไม่มีอะไรซ่อมไม่ใช่ตัวจริงนะครับ



ชอบวิธีที่เขา reserve สถานที่เก่า ๆ ไว้จังเลยครับ



เดินผ่าน Teatro Marcello ครับ



สมัยก่อนคงมีแต่ต้นไม้ใหญ่ ๆ แบบนี้เต็มโรมแน่ ๆ เลย



Campidoglio ครับ ถ้าเดินขึ้นไปข้างบนก็มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เหมือนกันครับ



ไม่ได้เดินขึ้นไป Ara Coeli ครับ เห็นแล้วว่าปิดแน่ ๆ แล้วก็ชันซะ สงวนแรงไว้ก่อนครับ ยังมีพรุ่งนี้อีกวันนึง



แวะถ่ายรูปกับ Monumento a Vittorio Emanuele II ซักพักครับ (ปิดซ่อมอีกเหมือนกัน) ภาพนี้ถ่ายตอนเดินออกมาหน่อยนึงครับ เพราะใหญ่โตซะเกินกล้อง compact จะเก็บได้หมด



เหอ ๆ อนุสาวรีย์ลูกสน



จากนั้นเราก็ไปเยี่ยมน้องแมวจร กันแถว Area Sacra ครับ นับน้องแมวได้เยอะเหมือนกัน แต่ไม่มากเหมือนที่คิดไว้ครับ รูปนี้เห็นน้องดำสองตัวนอนอยู่มุมขวาล่างนะครับ



จากนั้นเดินกลับไปดูโบสถ์ Chiesa del Gesu กันครับ



สวยอีกเช่นเคยครับ






แน่นอน ศรัทธาในศาสนาย่อมมีอยู่ทุกที่ครับ เทียนนี้จุดโดยคนไร้บ้านที่อยู่หน้าโบสถ์ครับ



จากนั้นเราเดินไปที่ Pantheon กันครับ ตอนนั้นอากาศเริ่มเย็นแล้ว ไม่มีแดดมาแผดเผาเราให้รำคาญใจแล้วครับ



ตอนนี้เริ่มหิวข้าวแล้วละครับ หน้า Pantheon คนทานอาหารกันเต็มเลย แต่เราไม่ครับ ไปหาร้านเล็ก ๆ ตามตรอกซอกซอยทานดีกว่า รูปนี้หน้า Pantheon ครับ



สุดท้ายไปได้ร้านเล็ก ๆ ริมทางเดินไปน้ำพุ Trevi ครับ อาหารอร่อยมาก ของหวาน(ทีรามิสุ)ก็อร่อย ราคาไม่แพงแบบขูดเลือกขูดเนื้อ กระแดะกินกุ้งครับวันนั้น



อิ่มแล้ว ก็ออกเดินไปที่จุดหมายสุดท้ายของวันครับ ที่ ๆ เขาบอกกันว่าต้องมากลางคืนแล้วจะสวย ดูรูปกันเลยครับ Fontana di Trevi ครับ



คนเยอะมาก ๆ ประมาณเดินแถวปากคลองฯ พาหุรัด ประมาณนั้นครับ



โยนเหรียญกับคุณภรรยาเสร็จ ก็นั่งดูคนกันซักพัก แล้วก็เดินกลับโรงแรมกันครับ ขนาดยังไม่ถึงห้าทุ่ม แทบไม่มีคนหรือรถบนถนนเลย จูงมือกันเดินเรื่อย ๆ ผ่านป้อมคุณตำรวจที่เรียงรายประปราย ไม่นานก็ถึงโรงแรมครับ โชคดีมาก ๆ พอกลับถึงโรงแรมก็ฝนตกพอดี.... เฮ้อ ฟ้าฝนก็เข้าข้างเราเหมือนกันเนอะ

ไว้มาต่อวันสุดท้ายที่โรม (วาติกัน) ในวันหลังนะครับ




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2551   
Last Update : 23 กรกฎาคม 2551 22:34:51 น.   
Counter : 931 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

Bolster
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Bolster's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com