|
งานหนังสือ ตุลาคม 2548
วันนี้มีโอกาสได้ไปเดินเที่ยวงานหนังสือ วันนี้วันอาทิตย์ซะด้วย ไม่รู้คิดไงถึงได้ไปวันนี้ ทั้งที่ทุกๆ ปีเราก็ไปวันธรรมดา เพราะเคยไปวันเสาร์อาทิตย์แล้วเข็ด ว่าคนเยอะ แล้วเคยไปวันอาทิตย์สุดท้ายของงาน อันนั้นเนี่ยสาปส่งไปเลยว่าไม่มีทางไปวันอาทิตย์สุดท้ายอีกแล้ว แต่สงสัยไม่ได้เดินงานหนังสือในวันหยุดมานาน เราเลยลืมตัว เผลอไปวันหยุดอีกจนได้ เพียงแต่ว่าไม่ใช่วันอาทิตย์สุดท้ายของงานเท่านั้นเอง ไปถึงตั้งกะ 11 โมง จริงๆ กะให้ไปถึงตั้งแต่ 10 โมง แต่มัวแต่ทำโน่นทำนี่ เก็บอึกีวี่ เล่นกับกีวี่ ให้ข้าวกีวี่ แล้วก็ร่ำลากีวี่ สรุปแล้วก็เจ้ากีวี่นี่เองที่ทำให้เสียเวลา นั่งมอเตอร์ไซด์ ต่อรถ 159 ต่อรถใต้ดิน ก็รถใต้ดินนั่งไปโผล่ศูนย์สิริกิติ์เลย สะดวกดี แต่โอ มายก็อด รถใต้ดินขึ้นราคาแล้วนี่หว่า จากหัวลำโพงถึงศูนย์สิริกิติ์ตั้ง 22 บาทแน่ะ รู้งี้ยอมนั่งรถเมล์แล้วเดินนิดหน่อยดีกว่า เดินขึ้นจากสถานีไปศูนย์ฯ คนเพียบ เดินกันเป็นสายขนาดเราว่าเรามาแต่เช้าแล้วเชียวนะ ก่อนจะเข้าไปได้ต้องผ่านเครื่องตรวจกระเป๋าก่อน กระเป๋านะ ไม่ใช่คน กระเป๋าเป้เราน่ะว่างเปล่า ไม่มีไรหรอก กะเอามาเพื่อใส่หนังสือตอนขากลับอย่างเดียวเลย ส่วนมือถือกับเป๋าตังก็ใส่กางเกง วันนี้เตรียมตัวพร้อมมาก คือเสื้อยืด กางเกงยีนตัวหลวมๆ ที่ใส่เป๋าตังกับมือถือในกระเป๋ากางเกงได้ จะนั่งกับพื้นก็ได้ ไม่ต้องกังวล รองเท้าแตะแบบเดินสบายสุด เพราะต้องเดินนาน มือสองข้างว่างเปล่าพร้อมเป้สะพายหลัง เพราะจะได้สะดวกในการเบียดคน คุ้ยหนังสือ แล้วไม่ต้องพะวักพะวงกับของมีค่าด้วย หลักการของเราทุกปี คือเดินผ่านทุกโซน ทุกร้าน แต่จะเข้าไปดูทุกร้านหรือไม่นั้นไม่แน่ ถ้าเป็นร้านขายหนังสือเด็กเล็ก หนังสือธรรมะ หนังสือคอม พวกนี้เราจะเดินผ่าน ไม่แวะ หรืออย่างมากก็ไปชายตามองๆ นิ๊ดหนึ่ง เผื่อมีไรน่าสนใจ แล้วเราก็มีแพทเทิร์นการเดินด้วยนะ คือเดินเป็นเส้นตรงตรงไปจนสุด แล้วเลี้ยวเข้าอีกซอยถัดไป เดินไปจนสุด แล้วก็เลี้ยวเข้าซอยถัดไป เดินไปจนสุด ซึ่งเป็นการเดินรูปตัวงู เอ๊ะ หรือจะเรียกว่ารูปตัวยู แบบสลับหัวทีหางทีกันแน่ ซึ่งงานนี้ถ้าไม่รักกันจริงคงไม่ชวนใครมาเดินด้วย เพราะคนเดินด้วยจะเบื่อมาก ส่วนเรานั้นไม่ต้องพูดถึง แฮปปี้กับการเดินชมทุกร้าน ผ่านทุกซอกแบบนี้เป็นที่สุด ตอนเข้างานผ่านบูธของไปรษณีย์ไทย ซึ่งเก๋มาก มีบริการถ่ายรูปคุณทำเป็นสแตมป์ ส่งได้จริงด้วย เป็นแผ่นแสตมป์ชีท ดวงละ 3 บาท แผ่นหนึ่งมี 12 ดวง ราคาแผ่นละ 120 บาท คนสนใจเยอะเหมือนกัน เรายังไปยืนเมียงๆ มองๆ เลย เก๋ดีออก ชอบ แต่ก็เสียดายตังอีกแล้วชั้น เลยยังก่อนหล่ะกัน งานหนังสือปีนี้เราเริ่มต้นที่โซนพลาซ่า ซึ่งจะมีมติชนกับนานมีอยู่ที่นั่น ถึงแม้ตอนนี้งานหนังสือจะกระจายร้านใหญ่ไม่ให้อยู่เฉพาะแต่ในแพลนารีฮอล์แล้ว แต่พอเดินหลายๆ ครั้งก็เริ่มจำได้ ร้านไหนอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นแหล่ะ ถ้าจะไปนายอินทร์ก็โซนซี 2 สุดมุมเลย หรือถ้าอยากดูหนังสือของบลิสก็เข้าไปในแพลนารีฮอล์ก่อนอื่น แต่วันนี้เราตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่าจะซื้อโจนาห์ แบล็ก เล่ม 2ของสำนักพิมพ์มติชน หลังจากซื้อเล่มหนึ่งไปเมื่องานครั้งที่แล้ว แล้วก็ติดใจอยากอ่านต่อ ไม่รู้ใครเป็นแบบนี้บ้างป่าว คือไม่ซื้อทีละครบชุดหรอก ซื้อแค่เล่มหนึ่งไปอ่านก่อน ถ้าดีก็ค่อยไปซื้อเล่มถัดไปในงานครั้งถัดไปมาอ่าน แล้วก็พยายามกระจายรายได้คือซื้อบูธละเล่ม 2 เล่ม ไม่เกินนั้น กระจายรายได้สุดริด อยู่ในมติชน คนเยอะ แต่ยังไม่แน่นมาก คว้าโจนาห์ แบล็กเล่ม 2 มาก่อนเลย ระหว่างเดินๆ เลือกหนังสือ เจอหนังสือแปลเล่มใหม่ของ ปีเตอร์ มายล์ เรื่องบง นับเปตี คนเขียนหนึ่งปีแสนสุขในโปรวองซ์ที่เราชอบ (แต่ไม่ชอบเรื่อง A dogs life นะ) เลยคว้ามาอีกเล่มหนึ่ง แล้วก็เลยประเดิมหนังสือจากสำนักพิมพ์มติชนไป 2 เล่ม อ้อ
ตอนแรกไปยืนๆ พลิกดูหนังสือไอน์สไตน์ด้วย เห็นช่วงนี้ฮิตๆ กัน พยายามอ่านประวัติย่นย่อแห่งกาลเวลาของสตีเฟ่น ฮอว์กิน ซึ่งเขาโฆษณาไว้ว่า สรุปแนวคิดสำคัญๆ ให้รู้เรื่องโดยยังคงเนื้อหาไว้ เราพยายามอ่านอยู่หนึ่งย่อหน้า เฮ้ย ชั้นยังไม่รู้เรื่องว่ะ มึนตึ้บอยู่ดี เลยวางไว้ก่อน เด๋วงานหน้าจะมายืนอ่านใหม่เผื่อจะรู้เรื่องขึ้น จริงๆ จะบอกว่าไปงานหนังสือทีไรเราก็ไปยืนพลิกหนังสือแปลไอน์สไตน์ของรอฮีม ปรามาททุกทีเลยแหละ ก็มันขายดีจัดนี่นา เราก็อยากหาเรื่องแนวอื่นๆ อ่านบ้าง นอกจากพวกวรรณกรรมเยาวชนวัยรุ่น ก็พยายามพลิกๆ มาหลายครั้งแล้ว ยังไม่ซื้อซักที พยายามพลิกเรื่องชายผู้หลงรักตัวเลขของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะด้วย แต่ก็ยังจนปัญญาอยู่ดี หนังสืออีกเล่มที่พลิกมาหลายรอบแล้วคือ เด็กชายหอยนางรมของทิมเบอร์ตัน แต่ยังไม่แน่ใจซักทีว่าจะซื้อดีมั้ย หนังสือเขาก็สไตล์เขานั่นแหละ แบบเดอะไนท์แมร์บีฟอร์คริสมาส เราไม่แน่ใจว่าจะชอบหรือเปล่า เลยยังพลิกอีกรอบเป็นรอบที่ห้าร้อยแล้วมั้ง แล้วก็ยังไม่ซื้อซะที ออกจากมติชนร้านต่อไปก็คือนานมี ตั้งใจจะไปดูว่ามีหนังสือของแจ็คเกอลีน วิลสันบ้างหรือเปล่า เดินไปมาหาไม่เจอแฮะ ช่างมันแล้วกัน เดินต่อไปซีเอ็ด เห็นหนังสือกนกบาทเดียวด้วย แต่ขายในราคา 125 บาท เอาเหอะ ยังไม่ซื้อแล้วกัน เดี๋ยวงานหน้าว่ากันอีกที ออกจากโซนพลาซ่า เราก็เริ่มเดินโซนซี 2 ต่อเลยทั้งชั้น ร้านนายอินทร์คนเริ่มเยอะแล้วแต่ยังพอเดินได้ เห็นวรรณกรรมเยาวชนเรื่องจูดี้ มูดี้ ออกมา 5 เล่ม แต่ไม่ได้ขายแพ็คแบบยกชุด ไม่งั้นคงกวาดมาแล้วทั้ง 5 เล่ม เคยเห็นงานครั้งที่แล้วออกมา 3 เล่มขายเป็นแพ็คแค่ 240 บาท พอซื้อทีละแพ็คได้ เพราะดูเป็นหนังสือที่เข้าทางเรามาก สไตล์คล้ายๆ ราโมนา และฟัดจี้ คิดว่านะ ไม่น่าจะผิดหวัง ก็เลยกะรอก่อนเผื่องานหน้าเขาขายเป็นแพ็คซึ่งจะได้ราคาถูกกว่าซื้อทีละเล่ม อย่างว่าแหละ การซื้อหนังสือเราไม่ต้องรีบร้อนซื้อ ยังไม่ซื้องานนี้ ไปซื้องานครั้งหน้าก็ได้ เพราะเราไม่ได้ซีเรียสว่าต้องอ่านเป็นคนแรกๆ ในเมืองไทยอยู่แล้ว แอบประชดแฮรี่ พอตเตอร์เล็กๆ หุหุ งานนี้นายอินทร์เลยไม่ได้เงินจากเรา เดินไปเรื่อยๆ เจอบูธของหนังสือไบโอสโคป เลยคว้าหนังสือเกี่ยวกับหนังมาได้ 1 เล่ม เล็งไว้หลายทีแล้ว ชื่อปั้นหนังเป็นตัว เรื่องราวของคนเขียนบทหนังในฮอลลีวู้ด แปลโดยธิดา ผลิตผลการพิมพ์ เราเชื่อฝีมือคนนี้จากการทำหนังสือไบโอสโคปของเขา เรียกว่าตอนนี้ไบโอสโคบกลายเป็นแมกกาซีนหนังในใจเราไปแล้ว นับตั้งแต่ซีเนแม็กเลิกทำ ก็มีไบโอสโคปนี่แหละ ที่รับได้ ตอนเลือกหนังสือไปพลิกๆ ดูหลายเล่มเหมือนกัน อย่างเรื่องเดียวดายอย่างโรแมนติก ซึ่งเป็นบทวิจารณ์หนังของหว่องคาไวจากนักวิจารณ์หลายๆ คน แต่เราแพ้ทางการวิจารณ์ของมโนธรรม เทียบเทียมรัตน์อ่ะ คือจะอ่านแล้วรู้นะว่าเขาเก่ง ทฤษฎีเพียบ แต่เรางง มึนอีกตังหาก เลยไม่เอาดีกว่า ส่วนนราหายไปเลย ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นบทวิจารณ์หนังซักเท่าไหร่ สงสัยยุ่งกับการเลือกหนังมาฉายที่โรงเฮาส์ซะจนไม่มีเวลาเขียน บทวิจารณ์หนังของนรานั้นเข้าทางเรามาก คือตลกดี ชอบ หนังสือเรื่องดูหนังทั่วโลกก็น่าสนใจ แต่เดี๋ยวก่อนแล้วกัน ยังไม่ซื้อ บอกแล้วว่าไม่เคยรีบซื้อ เพราะเดี๋ยวก็มีงานหน้าให้เดินซื้ออีก เดินโซนซี 1 เลือกๆ หนังสือก็ได้หนังสือแนวธรรมชาติบำบัดมาอีกเล่มหนึ่ง คือ ปวดประจำเดือนรักษาด้วยธรรมชาติบำบัด คนขายน่ารักมาก เพราะเราไปเจอฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 ราคา 68 บาท จะซื้อ คนขายแนะนำว่ามีเล่มนี้ฉบับละ 20 บาทนะค่ะ เอามั้ย เราก็เอาซิ เรามันพวกไพรซ์เซนซิทีฟอยู่แล้ว คือมันเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 อยู่ในกองเซลล์ซึ่งเราไม่ได้เลือก แต่โอเคอยู่แล้วอย่างน้อยก็ประหยัดไปได้ตั้ง 48 บาทแน่ะ อิอิ ชื่นชมเขามากเลยนะเนี่ย เพราะถ้าเขาไม่บอก มันก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว ไงเราก็ไม่เห็นอยู่ดี อย่างนี้ถือเป็นทำดีไม่ต้องเดี๋ยว อย่างหนึ่งหรือเปล่าเนี่ย เดินโซนซีจนหมด ชักหิว เลยมุ่งหน้าไป 7-11 ปรากฏว่าคนล้านเจ็ดสิบเอ็ดแสนอยู่ในนั้น ส่วนคนอีกห้าล้านเจ็ดอยู่หน้าร้าน แล้วก็คนอีกยี่สิบล้านก็เดินอยู่ในงานหนังสือ ชักเว่อร์ไปแล้วเนี่ย ก็ซื้อกาแฟไปแก้วหนึ่ง คอนเน่ห่อหนึ่ง พอดีพกหนมปังกาโตว์เฮาส์มาจากบ้าน จ่ายเงินเสร็จก็หาที่นั่ง(พื้น) นอกร้านแถวๆ นั้น ซึ่งคนนั่งกันตรึม ส่วนใหญ่เน้นกินมาม่ากระป๋องต้ม กินหนมปังบ้าง นั่งอ่านหนังสือบ้าง เราก็ยึดได้มุมหนึ่ง ใครบอกว่าคนไทยไม่รักการอ่าน มาดูได้งานนี้ ไม่รักกันจริงก็ไม่มากันหรอก คนก็เย๊อะเยอะ ที่กินก็ไม่มี ต้องนั่งพื้นกินกันทั้งนั้น เราจบการเดินวันนี้ด้วยโซนแพลนารีฮอล์ ซึ่งหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ต้องการซื้ออยู่ในโซนนี้มา 3 ครั้งแล้ว นั่นก็คือ แอ๊น แอ่น สถาบันสถาปนาเล่ม 4 ของสำนักพิมพ์อินโฟเพรส คิดดูแล้วกันซื้องานละเล่มอ่ะ ครั้งนี้ซื้อเล่ม 4 คราวหน้าซื้อเล่ม 5 กว่าจะจบซึ่งมีอยู่ 10 เล่มก็อีก 6 ครั้ง 6 งาน 3 ปีพอดี ช่างเป็นคนอดทนจริ๊งๆ ดีนะไม่ซื้อเพชรพระอุมาด้วยงานละเล่ม 21 เล่มก็ 21 ครั้ง 10.5 ปีพอดีจึงจะซื้อหมด เหตุผลที่ไม่ซื้อรวดเดียวจบก็คือ งั้นเราก็ไม่เหลืองบซื้อหนังสืออื่นอ่ะสิ ซื้อสถาบันครบชุด 10 เล่มก็คง 2000 กว่าบาทพอดี ซื้อเสร็จคงได้กลับเลย ไม่เหลือเงินไว้ซื้อเล่มอื่นแล้ว แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของการซื้อวิธีหนึ่งคือ จะเริ่มๆ ลืมเรื่องราวของเล่มก่อนหน้านี้นั่นเอง แล้วบางทีก็ชักขี้เกียจซื้อเล่มต่อๆ ไปด้วย ระหว่างเดิน เจอหนังสือเรื่องอาหารแมคโครไบโอติกส์เล่ม 2 ของสิทรา พรรณสมบูรณ์ ซึ่งเพิ่งออกงานนี้ด้วย เราซื้อเล่มหนึ่งเมื่องานครั้งที่แล้ว อ่านแล้วชอบ พยายามกินตามหลักนั้นอยู่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังพยายาม แล้วก็รู้สึกว่าหนังสือเขาเขียนจากความจริงที่ได้ประสบกับตัวเอง ไม่ใช่แปลมาเขียน แล้วก็รวบรวมข้อมูลได้อย่างรู้ลึก รู้จริง เห็นปุ๊ปก็คว้าเลย ไม่รอซื้องานหน้าแล้ว เดินไปเดินมาในโซนแพลนารีฮอล์ ก็ไปเจอะเจอนรกในงานหนังสือของจริง คือตรงหน้าบูธแจ่มใส คนล้านเจ็ดอยู่ตรงนั้น จนคนเดินผ่านต้องไหลกันไปน่ะ เราถูกดันไปตามทาง สงสารบูธฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับการถ่ายภาพ เพราะเราจะหยุดเลือกซื้อไม่ได้เลย อยากได้หนังสือเกี่ยวกับการจัดองค์ประกอบภาพเหมือนกัน คนเลือกหนังสือเต็มหน้าบูธแจ่มใสแล้วทำให้คนเดินต้องมาเดินติดหน้าบูธฝั่งตรงข้าม แถมบูธแจ่มใสยังอยู่ตรงสามแยก ซึ่งอีกด้านเป็นของบลิสที่ปกติคนก็เยอะอยู่แล้ว คนเลยเอี๊ยดๆ แบบไม่ได้เลือกหนังสือตามใจหวังเลย ต้องไหลไปตามทางอย่างเดียว จำไว้เลยนะบลิส ว่าอย่าไปอยู่ใกล้ๆ หรือตรงข้ามบูธแจ่มใสอีก อันนี้ก็อยากเตือนบูธทุกบูธเลยนะ เพราะคนจะแน่นต้องดันต้องเบียดต้องเดินผ่านหยุดเลือกหนังสือที่บูธคนอื่นไม่ได้เลย รู้สึกหนังสือของบูธแจ่มใสจะเป็นแนวๆ วัยรุ่นวัยหวานวัยใสมั้ง ซึ่งไม่เข้าทางเราเลย แต่คนเพียบสุดๆ เมื่อถึงเวลาประมาณบ่ายสามโมงเราก็ได้เดินผ่านทุกร้าน เข้าชมเป็นบางร้าน แล้วก็ซื้อแค่สี่ห้าร้าน แต่หมดเงินไป 1050 บาทพอดีตามงบที่กะไว้ งานนี้รถเข็นหนังสือน้อยลงนะ อย่างน้อยเราก็โดนรถเข็นหนังสือทับเท้าแค่ครั้งเดียวเอง ถือว่าดีแล้วนะ เราน่ะไม่ค่อยชอบรถเข็นหนังสือพวกนี้เลย ก็พยายามเข้าใจน่ะว่าซื้อเยอะๆ แล้วมันหนัก ถ้าเดินลากมันก็เบาแรง แต่พอคนเยอะๆ แล้วมันจะเกะกะมาก คนเดินก็จะถูกทับเท้าได้ง่ายๆ หรืออาจเป็นเพราะเดี๋ยวนี้เขาก็มีบริการรับฝากหนังสือที่ซื้อบ้าง รับส่งหนังสือถึงบ้านทางไปรษณีย์บ้าง มันก็เลยช่วยให้จำนวนรถเข็นน้อยลงก็ไม่รู้ ซึ่งก็ดี เราชอบ
แล้วเจอกันใหม่งานหน้า
เมษายน ปี 2549...
Create Date : 10 ตุลาคม 2548 |
Last Update : 31 ตุลาคม 2548 17:46:33 น. |
|
3 comments
|
Counter : 536 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: rain_tree IP: 149.169.167.220 วันที่: 14 ตุลาคม 2548 เวลา:14:32:26 น. |
|
|
|
โดย: sirsut IP: 144.173.6.77 วันที่: 14 ตุลาคม 2548 เวลา:15:15:27 น. |
|
|
|
โดย: เชอรี่ IP: 203.150.202.226 วันที่: 18 ตุลาคม 2548 เวลา:18:36:28 น. |
|
|
|
| |
|
 |
คุณหมาขายาว |
|
 |
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
นักแปลหัวฟูอยู่บ้านให้กับบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง พร้อมกับเลี้ยงลูกสาวแฝดวัยซนอีก 2 คน หมาน้อยสุดเลิฟที่แก่มากอีก 1 ตัว...
|
|
|