"ข้าพเจ้าไม่ขอพบเจอกับคนพาล เพราะคนพาลย่อมแนะนำในสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ ย่อมชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ การแนะนำคนพาลถึงจะแนะนำดีเขาก็โกรธ" (กฤษฏ์ ธรรมกฤตกรณ์)

ลิงล้างหู



พระโพธิสัตว์ สมัยเมื่อเสวยพระชาติเป็นพญาวานร ปกครองบริวารลิงฝูงใหญ่ อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ลิงพระโพธิสัตว์จะคอยพร่ำสอนบริวารให้รู้จักประพฤติตนให้อยู่ในกรอบแห่งความถูกต้องดีงามอยู่เสมอ เป็นที่รักใคร่เลื่อมใสแก่วานรทั้งปวง

ครั้นต่อมา โพธิสัตว์พญาวานรถูกพรานป่าจับตัวได้ เพราะนายพรานเห็นเป็นลิงเผือก ท่าทางเฉลียวฉลาด จึงได้นำไปถวายให้แก่พระราชา พระราชาทรงเลี้ยงลิงพระโพธิสัตว์ไว้ในพระราชอุทยานอันรื่นรมย์และดูแลอย่างดี

ขณะที่อยู่ในพระราชอุทยานนั้น ลิงพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญตนแตกต่างจากลิงทั่วไป ส่งผลให้พระราชาทรงเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของลิงพระโพธิสัตว์ และทรงคิดได้ว่าธรรมชาติของลิงควรที่จะอยู่ในป่า จึงได้รับสั่งให้นำลิงพระโพธิสัตว์ไปปล่อยป่า ให้ได้รับอิสรภาพตามเดิม

บรรดาวานรบริวารทั้งหลายพอทราบข่าวการกลับมาของลิงพระโพธิสัตว์แล้ว ต่างดีอกดีใจ พากันมาชุมนุมที่เนินหิน เพื่อต้อนรับหัวหน้าของตน กระทำสัมโมทนียกถา เจรจาถามทุกข์สุข แล้วจึงถามว่า

“ท่านหัวหน้าหายไปอยู่ไหนมา ตลอดเวลาที่พวกเราไร้ที่พึ่ง”

พญาวานรผู้ประเสริฐจึงเล่าความเป็นมาให้ฟังโดยตลอด, เว้นแต่บางเรื่องที่ตนพิจารณาแล้วว่าไม่ควรเล่า เพราะอาศัยความกรุณาในสาวกทั้งหลาย. บริวารลิงจึงถามว่า

“ข้าแต่ท่านพญาวานร, ถ้าอย่างนั้น ท่านคงรู้จักกิริยาที่คนในเมืองเขาประพฤติกัน ในหมู่ชนที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ ผู้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐนั้น เขามีการเป็นอยู่อย่างไรบ้าง, ข้าพเจ้าทั้งหลายใคร่อยากรู้ ท่านโปรดจงเล่าให้ฟังเถิด”

ลิงพระโพธิสัตว์จึงว่า “…ดูกร ท่านทั้งหลาย อย่าได้ถามเราถึงความประพฤติของมนุษย์ทั้งหลายเลย, เราไม่อยากเล่า”

แต่ผลที่สุด ลิงพระโพธิสัตว์ก็ขัดการรบเร้าของบริวารไม่ได้ จึงเล่าให้ฟังว่า

“มนุษย์ในเมืองหลวงทั้งหลายนั้น…เขาพูดกันแต่ว่า เงินของกู ทองของกู ทั้งวันทั้งคืน มีแต่การชิงดีชิงเด่นกันอยู่ตลอดเวลา ดังนี้”

ลิงพระโพธิสัตว์กล่าวยังไม่ทันจบเรื่อง บรรดาวานรทั้งหลายก็เอามือและเท้าปิดหูแล้วร้องห้ามว่า

“ท่านอย่าเล่าอีกเลย! ท่านผู้เป็นหัวหน้า, ท่านอย่าเล่าอีกเลย! เราไม่ขอฟังเรื่องของมนุษย์อีกแล้ว”

ว่าแล้วก็กระโจนกันสุดฤทธิ์, วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปยังลำธารที่ใกล้ที่สุด เพื่อล้างหูของตนให้หมดจากข่าวลามกธรรมทั้งหลายของมนุษย์ในเมืองหลวง

หลังจากนั้นเป็นต้นมา บริวารของลิงพระโพธิสัตว์ก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องมนุษย์อีกเลย และเพื่อเป็นการตัดตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ จึงชวนกันย้ายฝูงเข้าไปในป่าลึก ให้ไกลแสนไกลจากกลิ่นของมนุษย์ โดยที่ไม่มีใครหาพวกเขาเจออีกเลย.




 

Create Date : 13 มกราคม 2553   
Last Update : 13 มกราคม 2553 20:27:21 น.   
Counter : 1575 Pageviews.  

ศาสตราจารย์กับแมลงวัน

(ที่มา หนังสือ เรื่องสั้นสาระ : ธรรมะพระบ้านนอก โดย ภิกขุโพธิ์แสนยานุภาพ อิทัปปัจจยตาราม ต.พุแค อ.เมือง จ.สระบุรี)



กาลครั้งหนึ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี่เอง มีฤาษีองค์หนึ่ง บำเพ็ญตบะเพื่อให้คนและสัตว์พูดกันรู้เรื่อง และวันนี้เป็นวันที่ตบะของท่านบรรลุผล สัตว์และคนหมดทั้งโลกจึงสามารถพูดกันรู้เรื่อง ท่านได้ใช้อิทธิฤทธิ์ของท่าน เรียกประชุมทั้งคนและสัตว์ทั่วโลก

อา...มันช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจที่สุด คงจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อสัตว์สามารถพูดกับคนรู้เรื่องเช่นนี้ !

พระฤาษีผู้ทรงฤทธิ์นั่งอยู่เหนือแท่นศิลา มีคนชาติต่าง ๆ เผ่าต่าง ๆ นั่งห้อมล้อมอยู่ทางด้านซ้ายมือและด้านหลัง ส่วนทางด้านขวามือและด้านหลัง มีสัตว์บกและแมลงทุกชนิดมาชุมนุมกันอยู่ ด้านหน้าเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล มีสัตว์น้ำและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำโผล่หน้าสลอนคอยฟังอยู่ด้วยความเคารพ

ท่านฤาษีกล่าวเปิดประชุมว่า

"เพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย วันนี้เป็นวันพิเศษที่ทุกคนจะต้องเสียสละเพื่อโลก เพราะโลกของเราเดี๋ยวนี้ กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะทำให้โลกแตก ดังนั้น ทั้งคนและสัตว์จะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ เพราะถ้าปล่อยให้โลกแตกแล้ว ทุกคนทุกชีวิตก็ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น เราควรสำนึกอย่างพร้อมเพรียงกัน ยอมเสียสละเพียงเล็กน้อยเพื่อให้โลกคงอยู่

อาตมาภาพได้เพียรบำเพ็ญตบะทรมานตนมาตั้ง 700 ปี และบัดนี้ คนและสัตว์สามารถพูดกันรู้เรื่องแล้ว ขอให้เรามาปรึกษาหารือกันด้วยดีเถิด

คนและสัตว์ในสมัยดึกดำบรรพ์ก่อนโน้น ไม่มีอะไรแตกต่างกัน คนกับสัตว์อยู่เหมือนกันในป่า คนกินเนื้อดิน ผักดิบ เหมือนสัตว์ ใช้ใบไม้นุ่งห่มปกปิดนิดเดียว หลับนอนตามถ้ำ ตามต้นไม้เหมือนกับสัตว์ และเวลามีภัยทางธรรมชาติขึ้นมา คนก็หนีภัยเหมือนสัตว์ ต่อสู้กับสิ่งที่เป็นภัยเหมือนสัตว์ เวลาเจ็บป่วยก็กินรากไม้รากยาตามดินตามป่านั่นเอง

สรุปแล้ว คนและสัตว์เหมือนกันทุกอย่าง แต่ในเวลาต่อมา คนได้พัฒนาไปอีกแบบหนึ่ง สัตว์นั้นคงอยู่ตามสภาพเดิม เราจึงห่างเหินจากความเป็นพี่น้องกัน ดังนั้น วันนี้อาตมาภาพขอให้การประชุมระหว่างพี่น้อง จงเลือกตัวแทนมาฝ่ายละหนึ่งท่าน เพื่ออภิปรายโต้วาทีกัน หาข้อยุติที่ดีที่สุด"

คนทั้งโลกมีใจตรงกัน เลือกศาสตราจารย์ แมน ซึ่งเป็นนักการเมืองระดับผู้นำของโลก ทั้งเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย ขึ้นสู่เวทีอภิปรายก่อน

ท่านศาสตราจารย์ ผู้มีอายุประมาณ 63 ปี แต่งชุดสากลสีน้ำตาลอ่อน ไว้หนวดเครา สวมแว่นตาเสริมให้เห็นบุคลิกที่สุขุมเฉียบแหลมน่ายำเกรง ได้น้อมนมัสการท่านผู้เป็นประธาน แล้วลุกขึ้นยืน ขยับปากพูดใส่ไมโครโฟนที่มีมากมายหลายอันต่างขนาด ต่างชนิด

"พี่น้องที่รักทั้งหลาย วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับเลือกตั้งจากคนทั้งโลกให้เป็นตัวแทนในการประชุมปัญหา อันมีความสำคัญต่อโลกนี้ ผมเห็นด้วยที่เราจะต้องรับผิดชอบต่อการอยู่ หรือการแตกพินาศของโลกที่เราได้อาศัยอยู่นี้ เพราะถ้าโลกแตกแล้ว เราก็ต้องพินาศไปด้วย

ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีอย่างสูงสุด ที่คนและสัตว์ สามารถพูดกันรู้เรื่องอีกวาระหนึ่ง และได้มาพบปะกันอย่างพร้อมหน้าในที่นี้ โอกาสอย่างนี้ไม่ใช่เกิดได้ง่าย ๆ เลย พิเศษสุดยิ่งกว่า พิเศษสุดจริง ๆ ดังนั้นในโอกาสอันพิเศษสุดนี้ ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นพี่น้องกับสัตว์ทั้งหลาย อยากจะเสนอโครงการเพื่อพัฒนาพี่น้องสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้เจริญเหมือนคน สังคมของสัตว์จะได้พ้นจากสภาพด้อยพัฒนา นี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เรามอบให้แก่พี่น้องของเรา เพราะแม้เราจะอยู่ร่วมโลกกัน แต่เราก็ห่างเหินกันโดยความเจริญที่คนพัฒนาตนเอง หวังว่าพี่น้องสัตว์ร่วมโลกทั้งหลาย คงยินดีในโครงการนี้นะครับ ขอเชิญส่งตัวแทนมาอภิปรายได้แล้วครับ"

ท่านศาสตราจารย์พูดจบ เสียงปรบมือจากคนทั้งโลกก็ดังขึ้นอย่างกึกก้อง สะเทือนสะท้านไปทั้งโลก แต่บรรดาสัตว์ทั้งหลายยังมีสีหน้าวิตกอยู่มาก เพราะเขาไม่รู้จะเลือกใครเป็นตัวแทนดี ต่างคิดวิตกว่าสัตว์ที่ไร้การศึกษาอย่างพวกเรา จะมีใครพอจะไปโต้วาทะกับคนระดับศาสตราจารย์ได้

ในที่สุด ก็ลงมติเลือกเจ้าแมลงวันสูงอายุตัวหนึ่งเป็นตัวแทน เพราะแมลงวันแม้จะไม่มีปริญญาบัตร แต่มันเป็นสัตว์ที่มีโอกาสได้ซอกแซก บินไปคลุกคลีทุกหนทุกแห่ง ทั้งในวงการของสัตว์ และวงการของคน มีความรอบรู้ โดยมีประสบการณ์อย่างยอดเยี่ยมมากกว่าสัตว์อื่น

เจ้าแมลงวันกราบคารวะประธาน และที่ประชุมอย่างถ่อมตัว แล้วจึงบินขึ้นไปเกาะที่ไมโครโฟนเล็กอันหนึ่ง พลางกล่าวขึ้นว่า

"พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้รับเกียรติจากสัตว์ทั้งโลก ให้มาอภิปรายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสัตว์ทั้งมวล และประโยชน์ของโลกด้วย

พวกเราสัตว์ทั้งหลาย ขอขอบคุณในเจตนาดีที่ศาสตราจารย์ แมน ได้เสนอโครงการที่จะช่วยพัฒนาพวกเราให้เจริญเหมือนคน แต่โครงการนี้พวกเราเห็นว่า....."

แมลงวันเว้นระยะนิดหนึ่ง ทั้งคนและสัตว์ ต่างจ้องตาเป๋งด้วยความสนใจ ที่ประชุมเงียบกริบ....แล้วแมลงวัน ก็กล่าวต่ออย่างน่าฟังว่า....

"ความเจริญอย่างคนสมัยนี้ พวกเราไม่ต้องการ เพราะยิ่งเจริญ ยิ่งทุกข์ทรมาน!!!"

ศาสตราจารย์ : "ทุกข์ทรมานอย่างไร?"

แมลงวัน : "ตัวอย่างเช่น ความเจริญด้านเครื่องประดับ พวกเพชรพลอย แก้วแหวน สร้อย ตุ้มหู เครื่องสำอางค์ ทรงผมแบบแปลก ๆ ทรงเสื้อ ทรงกางเกง ทรงกระโปรง ที่มีชุดเช้า ชุดสาย ชุดบ่าย ชุดเย็น ชุดวันเกิด ชุดแต่งงาน ชุดกลางคืน ทรงรองเท้า เนคไท ล้วนเป็นความเจริญที่ติดตามมาด้วยปัญหาทั้งสิ้น!!!

มันทำให้เกิดความลุ่มหลง หวงแหน และโอ้อวด ความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว.... ความโอ้อวดเหล่านี้ มันทรมานใจ ทำให้เสียสุขภาพจิตได้ จะเห็นได้ว่า คนที่เจริญในทางนี้ ต่างเสียเวลากับการส่องกระจก แต่งหน้าทาปากอวดกัน ดูหมิ่นผู้ที่มีด้อยกว่า ทั้งเป็นที่มาของคดีอาญาด้วย ต้องขัดแย้งกัน ถึงเข่นฆ่าทำลายล้างกัน ด้วยเรื่องที่ไม่จำเป็นแก่การยังชีพนี้ จะเห็นว่าพวกเรา เช่น มดดำ มดแดงทั้งหลาย แม้ไม่มีเพชรพลอย หรือเครื่องสำอางค์ เราก็อยู่ได้ เราไม่เคยต้องสร้างกฎหมาย สร้างศาล สร้างคุกขึ้นมา เพื่อเรื่องที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตนี้เลย พวกเราจะถูกจับไปขังบ้าง ก็ไม่ใช่ความผิดเพราะคอรัปชั่น หรือปลอมเอกสาร ลักขโมย ปล้นจี้เนื่องด้วยเรื่องนี้ เราถูกคนจับไปกักขัง เพียงเพื่อสนองความสนุกทางอายตนะของคน ที่อ้างว่าตนเจริญแล้วเท่านั้น!!

เราจึงไม่ต้องการที่จะพัฒนาไปสู่ความเจริญที่ทรมานอย่างนั้น!! ขออยู่อย่างด้อยพัฒนาแบบนี้ สุขสบายดีแล้ว และด้วยความปรารถนาดีจากสัตว์ทั้งโลก ข้าพเจ้าว่า คนนั่นเอง ควรพัฒนาตามสัตว์บ้าง คือ เลิกหลงใหลเพชรพลอย และเครื่องสำอางค์กันเสียเถิด จะได้สบายใจกว่านี้!! จะได้ไม่ต้องเหนื่อยยากเพื่อแสวงหา หวงแหนสิ่งเหล่านี้!!! อย่าฉลาดออกกฎหมาย และสร้างคุกตะรางขึ้นขังคนด้วยกันเองอีกเลย ด้วยเหตุนี้จึงว่า ความเจริญที่ทุกข์ทรมาน!!! พวกข้าพเจ้าไม่ต้องการความเจริญ"

(แมลงวันพูดจบ สัตว์ทั้งโลกก็สาธุการอย่างกึกก้องพร้อมกัน ศาสตราจารย์หน้าชาด้วยความละอาย)

ศาสตราจารย์ : "ตั้งแต่เกิดมา ข้าพเจ้าเพิ่งได้ยินเดี๋ยวนี้เองว่า เอาความเจริญมาให้แล้วไม่เอา ด้อยพัฒนาจริง ๆ ไม่ชอบความทันสมัย ข้าพเจ้าอยากถามว่า ท่านไม่อยากได้เงินใช้หรือ?"

แมลงวัน : "พวกเราไม่ต้องการให้สังคมของสัตว์มีความรู้ในทางสมมติมาก เพราะสมมติมากก็ทุกข์ทรมานมาก อย่างเรื่องเงินเป็นต้น เป็นสิ่งที่สมมติขึ้น แล้วเวลามีเงินก็ทุกข์ไปอย่างหนึ่ง เวลาไม่มีเงินก็ทุกข์ไปอีกอย่างหนึ่ง ทุกข์เรื่องกำไร ขาดทุน ลูกหนี้ เจ้าหนี้ ดอกเบี้ย ธนาคาร และโรงจำนำ เรื่องรวย เรื่องจน แต่พวกเราสัตว์ทั้งหลายไม่ทุกข์เรื่องนี้เลย เราจึงภูมิใจในความโง่ของพวกเรา อย่าพัฒนาให้เราฉลาดในเรื่องนี้เลย"

ศาสตราจารย์ : "แปลก มีแต่เขาอยากพัฒนาไปสู่ความเจริญ ทำไมพี่น้องทั้งหลายจึงยินดีในความโง่?"

แมลงวัน : "เพราะความโง่ทำให้พวกเรามีสันติสุข ความฉลาดเราก็ต้องการในบางกรณี แต่ถ้าฉลาดแล้วนำทุกข์มาให้ พวกเราไม่เอา!!!"

ศาสตราจารย์ : "ฉลาดยังไงนำทุกข์มาให้?"

แมลงวัน : อ้าว! คิดไม่ออกอีกเหรอ เช่น ฉลาดในการสมมติการพนันขึ้นมาเล่นกันน่ะซี ชนะก็ใจฟู แพ้ก็ใจแฟบ บางคนฆ่าตัวตายก็เพราะการพนัน บางคนทำร้ายกัน หลอกลวงกันก็เพราะการพนัน ต้องสะดุ้ง ผวา เศร้าโศก ก็เพราะการพนัน บางคนไปนั่งไหว้ตอไม้ ขอเลข นั่นก็เพราะฉลาดสมมติไม่ใช่หรือ? หรืออย่างความฉลาดในการบัญญัติกฎหมาย สร้างคุกตะรางขังคนด้วยกัน จับใส่คุกทรมานเฉพาะผู้ที่ต่ำต้อยน้อยพวก แต่เวลาผู้มีอำนาจทำผิดเอง มีแต่ให้อภัยเรื่อย พวกเราไม่ต้องการความฉลาดในเรื่องนี้ เพราะฉลาดเพื่อเอาเปรียบกัน ยิ่งฉลาดยิ่งทุกข์ทรมาน ไม่ฉลาดเสียดีกว่า เพราะมันไม่วุ่นวาย"

ศาสตราจารย์ : "พวกแกช่างด้อยพัฒนาจริง ๆ พวกเราหวังดี อยากจะพัฒนาให้เจริญ ไม่ชอบเจริญ"

(ท่านศาสตราจารย์ เผลอคำว่า "แก" ออกมาตามนิสัยป่าเถื่อนที่ชอบดูหมิ่นผู้ที่ตนคิดว่าด้อยกว่า)

แมลงวัน : "คำว่าด้อยพัฒนา กับคำว่าพัฒนาแล้ว หรือที่เรียกว่าความเจริญ เราเอาอะไรมาเป็นเครื่องกำหนด ว่าถ้ามีสิ่งนี้แล้วเป็นความเจริญ?"

ศาสตราจารย์ : "ความเฉลียวฉลาดทันสมัยซิ เป็นมาตรฐานของความเจริญ มีกินมีใช้ เรียกว่า เจริญ"

แมลงวัน : "แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมรับว่า ความเฉลียวฉลาดทั้งหมดเป็นความเจริญ ความเฉลียวฉลาดในทางวัฒนธรรมเท่านั้นเป็นความเจริญ แต่ความเฉลียวฉลาดในทางหายนะธรรม เป็นความด้อยพัฒนา ความมีกินมีใช้เท่าที่จำเป็น เป็นวัฒนธรรม แต่การมีกินมีใช้เกินจำเป็น เป็นความด้อยพัฒนา เป็นความโง่!!!"

ศาสตราจารย์ : "เอ๊ะ! มีกินมีใช้อย่างไรด้อยพัฒนา?"

แมลงวัน : "ก็เช่น คนรู้จักต้มกลั่นสุราขึ้นมากิน เพื่อประทุษร้ายสติปัญญาของตนเอง รู้จักนำฝิ่น กัญชา ยาเสพติดต่าง ๆ มาสูบ ติดหมากพลู บุหรี่กันทั้งโลก ซึ่งสัตว์ทั้งหลายไม่ต้องการด้อยพัฒนาอย่างนั้น

หรือเช่น พวกข้าพเจ้าไม่ทุกข์เรื่องแหล่งเที่ยวเตร่ อยากดูหนัง ลิเก หรืออยากรำวง อาบอบนวด ดูฟลอร์โชว์ กิน ๆ ดื่ม ๆ สาดทิ้งเททิ้ง สำมะเลเทเมาอย่างคนเลย ตัวข้าพเจ้าเองเคยเห็นพวกดาราหนังเศร้าโศกเพราะอยากมีเกียรติ มีชื่อเสียง และเคยเห็นคนบ้านนอก คนในกรุง ทุกข์เรื่องไม่มีเงินไปรำวง ไม่มีเงินไปดูหนัง แต่สัตว์สบายมากในเรื่องนี้

ศาสตราจารย์ : "แม้สัตว์จะเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ เป็นสุขตามธรรมชาติ ก็ยังเจริญสู้คนไม่ได้ เพราะสัตว์ไม่มีเกียรติ"

แมลงวัน : "เรื่องเกียรติก็เป็นเรื่องสมมติ มันไม่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตเลย อย่างพวกข้าพเจ้าทั้งหมดไม่เคยเศร้าโศกเพราะอยากมีเกียรติ อยากมียศ ผิดกับคน ที่อยากมีเกียรติ เป็นวีรบุรุษ แล้วก็ก่อสงครามขึ้น ฆ่าคนด้วยกัน ฆ่าสัตว์นับร้อย นับหมื่น เพื่อเกียรติยศที่เป็นสิ่งสมมติ

คนทุกข์ระทมเพราะเรื่องสอบได้สอบตก เรื่องปริญญา เรื่องชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ชั้นพิเศษ เรื่องแสวงหาตำแหน่งงาน และเรื่องเสื่อมจากตำแหน่ง แต่สัตว์สบายใจมากในเรื่องสมมติเหล่านี้ คนที่ยังด้อยพัฒนามากในเรื่องนี้ ควรดูแบบอย่างสัตว์บ้าง"

ศาสตราจารย์ : "บ้ามาก!! พวกแกบ้ามากเหลือเกิน ที่เห็นว่าเกียรติยศเป็นสิ่งไม่จำเป็นแก่ชีวิต"

แมลงวัน : "ครับ พวกเราบ้าจริง แต่ไม่บ้ามากเหมือนคน!!"

มีเสียงปรบมือให้อย่างกึกก้องจากที่ประชุม ศาสตราจารย์หน้าแดงกล่ำด้วยความอับอายขายหน้า ที่ถูกแมลงวันตอบอย่างชาญฉลาด แมลงวันได้โอกาส จึงพูดชี้ให้เห็นความด้อยพัฒนาของคนอีกว่า.....

"พวกคนยังมีความด้อยพัฒนากว่าสัตว์ ตรงเรื่องพิธีรีตอง เช่น เวลาตายก็เศร้าโศกมากกว่าสัตว์ แล้วทำพิธีรีตองอย่างฟุ่มเฟือย การแต่งงาน บวชนาค ขึ้นบ้านใหม่ งานเลี้ยงรุ่น งานปาร์ตี้ งานบอลล์ งานอีกสารพัด ล้วนยุ่งยากเกินจำเป็น แต่สัตว์ เกิดก็สบายตามธรรมชาติ ตายก็ตามธรรมชาติ แต่งงานก็ตามธรรมชาติ คนเท่านั้นที่ฉลาดแบบความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ฉลาดมากทุกข์มาก!!!"

ศาสตราจารย์ : "ข้าพเจ้าว่า แม้สัตว์จะอ้างเหตุผลอย่างไร ก็เจริญสู้คนไม่ได้ เพราะสัตว์นั้นไม่มีการศึกษา ไม่รู้หนังสือ"

แมลงวัน : "ข้าพเจ้ายอมรับในเรื่องนี้ ส่วนที่ว่าไม่รู้หนังสืออันเป็นลวดลายที่สมมติขึ้น ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่จำเป็นนัก แต่ด้านการศึกษาสัตว์ก็มีอยู่เหมือนกัน เช่น แม่สอนลูกให้หาอาหารกิน สอนให้หนีภัย แม่นกสอนลูกนกให้บิน และแม้การทำรัง ทำรูอาศัย ตลอดจนการกินใบไม้รากไม้เพื่อบำบัดโรค สัตว์มีการศึกษาสอนกันด้วยตัวอย่างดังนี้ เรียนรู้เฉพาะการดำรงชีพที่ง่าย ๆ ตามธรรมชาติเท่านั้น"

ศาสตราจารย์ : "การศึกษาระดับนั้นยังไม่นับว่าเจริญ คนซิสามารถไปถึงดวงจันทร์ได้ เหาะเหินด้วยเครื่องยนต์ได้"

แมลงวัน : "การฉลาดมากอย่างนั้น เป็นความฉลาดที่อันตราย เช่น ฉลาดกินมากใช้มากของคนนั้น จะทำลายทรัพยากรธรรมชาติหมด อนาคตต่อไปจะขาดแคลนอาหาร ขาดแคลนแร่ธาตุต่าง ๆ ขาดแคลนป่าไม้ ขาดแคลนน้ำมัน โลกจะแห้งแล้งบ้าง น้ำท่วมบ้าง อดอาหารตายบ้าง เป็นโรคระบาดตายบ้าง อากาศเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ ตายกันเป็นจำนวนมาก ๆ ตลอดจนการฉลาดในการสร้างปืน สร้างระเบิด รถถัง เรือรบนี้เอง จะนำมหาภัยมาสู่โลก โลกต้องแตกเพราะคนฉลาดอย่างนี้ มันฉลาดมากจึงมีภัยมาก อย่าฉลาดดีกว่า ฉลาดเพียงการดำรงชีวิตง่าย ๆ แบบสัตว์ โลกจะพบสันติสุขมากกว่า ปลอดภัยมากกว่า"

เสียงปรบมือให้เกียรติแก่แมลงวันดังกึกก้องอีกครั้งหนึ่ง ท่านฤาษียกมือให้สัญญาณว่าหมดเวลาแล้ว ท่านได้กล่าวสรุปท้ายว่า.....

ฤาษี : "เพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย.....การประชุมวันนี้ขอยุติเพียงเท่านี้ หวังว่าพวกเราคงได้เห็นความจริงของสิ่งที่เรียกว่าความเจริญ ว่าอะไรคือความเจริญที่แท้ ความเจริญที่แท้วัดด้วยสันติสุข สงบสุขทั้งตนเองและผู้อื่น อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข นี้เรียกว่าความเจริญ

โลกทุกวันนี้กำลังพัฒนาไปสู่ความหายนะ โลกเดือดร้อนด้วยภัยต่าง ๆ นานา และจะต้องแตกทำลายในวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอน ลูกหลานของคนและสัตว์จะต้องสูญพันธุ์ไปหมด

ดังนั้น ก่อนที่จะสายเกินไป เราควรปิดการศึกษาด้านที่ทำให้คนมีความรู้ด้านผลิตอาวุธ และรู้จักการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้หมด เพราะมันเป็นการศึกษาที่เป็นภัยแก่ทุกชีวิต เลิกการศึกษาชนิดที่ทำให้คิดแต่ในทางที่จะเอาเปรียบเสีย แล้วขนระเบิด ขนปืน ขนกระสุนไปทิ้งทะเล เอายาพิษฝังทำลายเสียให้หมด

พวกสุรา ยาฝิ่น การพนัน และเครื่องสำอางค์ สิ่งฟุ่มเฟือยทั้งหลายเอาไปทิ้งให้หมด ควรมี ควรใช้ ควรให้การศึกษาเฉพาะอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และยานพาหนะอีกเล็กน้อยเท่านั้น หันกลับไปใช้ชีวิตเชิงง่ายเถิด เพื่อจะได้มีทรัพยากรไว้ให้แก่ลูกหลานของเราในกาลภายหน้า อย่าให้มันขาดแคลน

เรื่องพิธีรีตอง ที่งมงายควรเลิกให้หมด นี้คือการพัฒนาขั้นแรกที่คนควรตั้งจุดหมายแห่งการพัฒนาใหม่ ว่าพัฒนาเพื่อให้เกิดสันติสุขที่แท้จริงอย่างนี้

ความเจริญของคนมีส่วนหนึ่งที่สัตว์ต้องพัฒนาตามคน คือ วัฒนธรรม เช่น สัตว์ไม่นับถือญาติ ไม่เคารพพ่อแม่ พี่น้อง ลูกไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ แต่คนรู้จักสัมมาคารวะ รู้จักกตัญญูกตเวที ข้อนี้เป็นความเจริญที่นำสันติสุขมาให้

อีกอย่างหนึ่ง เช่น สัตว์เบียดเบียนกัน สัตว์ใหญ่รังแกสัตว์เล็ก แต่คนที่มีมนุษยธรรม เขาจะดำรงอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งพาอาศัยแก่ผู้อ่อนแอกว่า หาอาหารได้มากก็แบ่งปันให้เด็ก ให้คนชรา ให้คนป่วย ให้คนพิการ มีความรัก ความเสียสละ ความสามัคคี โอบอ้อมอารี ความซื่อตรงเหล่านี้ การพัฒนาในทางนี้จะนำสันติสุขมาให้โดยแน่นอน

ทั้งการรู้จักให้อภัย การรู้จักรับผิดชอบ ความมีระเบียบวินัย มีใจผ่องแผ้ว สะอาดหมดจด ไร้กิเลส นี้ล้วนเป็นความเจริญที่พัฒนาไปสู่ความสงบสุขที่แท้

ท่านทั้งหลาย อย่าคิดท้อแท้ว่า การพัฒนาด้านมนุษยธรรม วัฒนธรรมนี้ เป็นสิ่งยากเลย การพัฒนาแนวนี้ ถ้าเราเอาจริงเอาจัง ทุ่มเท คงไม่ต้องลงทุนลงแรงเท่ากับการทำสงคราม เท่ากับการใช้เล่ห์ทางการค้า การโกงต่าง ๆ เงินทอง แรงงาน เวลาจำนวนมหาศาลที่เราใช้พัฒนาในทางฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ และทารุณทุกวันนี้ ถ้าเราใช้ไปในทางพัฒนามนุษยธรรม โลกคงสันติสุขมากกว่านี้

ท่านทั้งหลาย ธรรมและอธรรม จะมีผลเหมือนกันหามิได้ ถ้าเราดื้อพัฒนาไปอย่างที่ทำมาแล้วนี้ มหาภัยจะเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น จึงมีทางเดียวที่เราจะต้องตั้งต้นใหม่ ต้องเปลี่ยนแปลงการศึกษา การพัฒนาใหม่ เพื่อช่วยให้โลกได้อยู่ต่อไปอีกนาน ๆ ลูกหลานของเราจะได้สืบต่อสกุลคนสัตว์ต่อไป เรามาสร้างนักบุญแทนสร้างวีรบุรุษอาชญากรกันเถิด จงกลับมาหาวัฒนธรรมเถิด ท่านทั้งหลาย....."

ทั้งคนและสัตว์ ต่างเปล่งสาธุการพร้อมกัน

สาธุ! สาธุ! สาธุ!




 

Create Date : 08 มกราคม 2553   
Last Update : 8 มกราคม 2553 11:06:16 น.   
Counter : 2831 Pageviews.  

พระในบ้าน



มีเรื่องที่เล่ากันสืบมาว่า มีคุณนายคนหนึ่งเป็นคนใจบุญพอควรทีเดียว ดูได้จากการที่ตักบาตรทุกเช้า และหลังจากนั้นก็จะถือสำรับกับข้าวที่บรรจงจัดอย่างประณีตแล้วนำไปวัดแห่งหนึ่งทางฝั่งพระนคร เพื่อถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ผู้เป็นเจ้าอาวาส เพราะมีความเคารพนับถือในจริยาวัตรของท่าน และชอบฟังท่านคุยหรือเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง เรียกว่ามีเวลาว่างหลังจากตักบาตรตอนเช้าแล้ว คุณนายคนนั้นเป็นต้องมาวัดให้ได้ทุกวัน อาหารที่จัดมาก็ประณีตทุกอย่างเพื่อให้สมกับนำมาถวายสมเด็จฯ อยู่คุยกับท่านพอสมควรแล้ว ก็กราบลากลับ ทำอยู่เช่นนี้เป็นประจำ

วันหนึ่งหลังจากคุณนายกลับแล้ว พระหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของสมเด็จฯ ได้เข้าไปกราบเรียนว่า "คุณนายคนนี้ช่างใจบุญเสียจริง แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ มีแม่อยู่ที่บ้านด้วยก็ปล่อยให้อด ๆ อยาก ๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ ปล่อยให้อยู่ในห้องแคบ ๆ ที่เรือนคนใช้หลังบ้าน ส่วนตัวเองและลูก ๆ อยู่บนตึกใหญ่สะดวกสบายทุกอย่าง เขาว่าตอนอยู่บ้านนั้นเวลาพูดจากับแม่ก็หยาบคายไม่ค่อยน่าฟัง ผิดกับที่มาพูดอยู่ที่วัดอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ แม่จะเดินออกมาหน้าบ้านบ้างก็ไม่ได้ กลัวคนเขาจะเห็นว่ายังมีแม่แก่ ๆ อยู่ในบ้าน อายเขา มีคนมาเล่าให้ฟังเช่นนี้หลายรายแล้ว เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบได้"



ฝ่ายสมเด็จฯ ท่านได้ฟังพระว่าก็ไม่พูดอะไร นั่งฟังเฉยอยู่ ต่อมาอีกหลายวันท่านมีกิจนิมนต์นอกวัด และบังเอิญขากลับต้องผ่านทางบ้านคุณนาย ท่านจึงแวะเยี่ยมเยียน คุณนายดีใจมากที่สมเด็จฯ มาถึงที่บ้าน ถือว่าเป็นนิมิตมงคลอย่างสูงสุดที่พระขั้นสมเด็จฯ มาเยี่ยมถึงบ้าน จึงเรียกลูกหลานเข้ามานมัสการท่าน ให้ท่านอวยชัยให้พรลูกหลาน แล้วชวนท่านคุยเรื่องต่าง ๆ มากมาย สมเด็จฯ ท่านก็คุยบ้าง ถามสุขทุกข์บ้างตามธรรมเนียม



ตอนหนึ่งสมเด็จฯ ท่านถามคุณนายว่า "พระในบ้านของคุณนายมีบ้างไหม ?"

คุณนายได้ยินเข้าก็รีบตอบว่า พระในบ้านของตนมีมากมาย เป็นพระเก่า ๆ ทั้งนั้น สมัยสุโขทัยก็มี สมัยเชียงแสนก็มี พร้อมกับพูดอวดใหญ่ และนิมนต์พระคุณท่านฯ ขึ้นไปชมที่ห้องพระชั้นบน

สมเด็จฯ ท่านทราบว่าคุณนายยังไม่เข้าใจ จึงถามตรง ๆ ว่า "ได้ยินว่าโยมมีคุณแม่พักอยู่ด้วย ตอนนี้ท่านไปไหนเสียล่ะ"



คุณนายได้ยินเข้าก็ตกใจ ไม่นึกว่าสมเด็จฯ ท่านจะถามเช่นนี้ ครั้นจะตอบไปตามตรงว่าแม่อยู่หลังบ้านก็กลัวสมเด็จฯ จะเดินไปดู และเห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่แล้วท่านจะตำหนิเอาได้ จึงตอบเลี่ยงไปว่า "ตอนนี้คุณแม่ไม่อยู่ ออกไปเยี่ยมญาติ คงอีกนานกว่าจะกลับเจ้าค่ะ"

สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ต่อความอีก เพราะเริ่มจะรู้อะไรเป็นอะไรแล้ว เมื่อสมควรแก่เวลาท่านก็ลากลับ

หลังจากวันนั้น คุณนายก็ยังคงไปทำบุญที่วัดเป็นประจำเหมือนเคย จนวันหนึ่งสมเด็จฯท่านเห็นคุณนายยิ้มแย้มแจ่มใสดี พูดคุยรื่นเริงเรื่องการทำบุญสุนทาน และยังมีเวลาอีกพอควรที่จะถึงเวลาเพล ท่านจึงถามขึ้นว่า "พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยดีแล้วหรือ ?"



คุณนายก็ตอบอย่างภูมิใจว่า "อิฉันจัดถวายท่านเรียบร้อยทุกวันแหละเจ้าค่ะ ก่อนจัดมาถวายท่านนี่ อิฉันต้องจัดถวายในห้องพระก่อน จุดธูปเทียนบูชาถวายข้าวพระเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำมาถวายที่วัด ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะเจ้าคะ เพราะอิฉันทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร"

"อาตมามิได้หมายถึงพระพุทธรูปนะโยม ! พระในบ้านที่อาตมาถามนี้หมายถึง พระที่มีลมหายใจ คือแม่ผู้มีพระคุณของโยมน่ะ !"

เมื่อได้ยินเช่นนั้นคุณนายก็ถึงกับนิ่งอึ้ง ส่วนสมเด็จฯ ท่านก็พูดต่อไปเรื่อย ๆ

"คนเราน่ะมีพระอยู่ในบ้านกันทุกคน พระที่มีลมหายใจน่ะ บางคนมีพ่อ บางคนเหลือแต่แม่ บางคนโชคดีมีทั้งพ่อและแม่อยู่ในบ้าน นับว่าเป็นบุญมหาศาล เราควรจะเอาใจใส่ดูแลท่านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ ปล่อยให้ท่านอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไรก็ต้องดูแลท่านบ้าง ท่านแก่แล้ว ท่านกินท่านใช้จะหมดเปลืองไปสักเท่าไหร่เชียว ใช่ไหมโยม ?"

"เจ้าค่ะ ใช่" จำใจเงยหน้ามองตาสมเด็จฯ แล้วตอบ

"โยมก็เหมือนกัน ทราบว่ามีแม่อยู่คนเดียวเท่านั้น แต่โยมไม่ค่อยสนใจในความเป็นอยู่ของท่านเท่าไหร่นัก ปล่อยให้อยู่ในห้องแคบ ๆ อับทึบแทบไม่มีอากาศหายใจอยู่หลังบ้าน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วท่านเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินทั้งหมดที่โยมอยู่ โยมได้อยู่อย่างสบายบนตึกใหญ่ แต่ปล่อยให้ท่านลำบาก ไม่สงสารท่านบ้างหรือ ?"

ตอนนี้คุณนายนิ่งเงียบจริง ๆ ตอบไม่ได้เพราะก้อนสะอื้นกำลังแล่นขึ้นมาจุกคอ

"โยมจัดอาหารถวายพระในห้องพระได้ทุกวัน แต่กับแม่ซึ่งเป็นพระในบ้านอีกองค์หนึ่ง โยมไม่เคยจัดหาให้ และตอนที่จัดหามาให้อาตมานี่ อาตมาสังเกตดู โยมจัดมาอย่างดีทีเดียว ทำก็ประณีตบรรจง เมื่อก่อนอาตมายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ฉันของโยมไปตามปกติ แต่ตอนนี้บอกตามตรงว่ามันกลืนไม่ค่อยลงมาหลายวันแล้ว เพราะอาตมารู้ว่าอาตมานี่เป็นพระในวัดดูจะเอาเปรียบพระในบ้านของโยมเกินไป เลยกลืนไม่ลง อาตมาน่ะอย่างไรก็ได้ พระเราจะเลือกฉันแต่ที่ดี ๆ ไม่ได้ โยมลองคิดดู..."

ท่านเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ

"อาตมาคิดมาหลายวันแล้วว่าจะพูดดี หรือไม่พูดดี สุดท้ายตกลงใจว่าพูด เพราะเห็นใจแม่ของโยม สงสารโยมเพราะผลการกระทำของโยมจะตกแก่ตัวโยมต่อไป ลูกหลานของโยมเองเห็นโยมทำกับแม่เช่นนี้ มันก็จะจำเอาไปแล้วทำกับโยมบ้าง และทำกันต่อ ๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเห็นว่าแม่ทำได้ ยายทำได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน อาตมาพูดแล้วโยมจะโกรธจะเคืองอาตมาก็ตามใจเถอะ อาตมาพูดด้วยความหวังดีต่อโยม โยมลองคิดดูให้ดีก็แล้วกันนะโยมนะ"



น้ำตาเจ้ากรรมมันพังลงจากทำนบตาของคุณนายเมื่อไรไม่ทราบ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล่นเข้าจับหัวใจตามวิสัยของคนผิดที่กลับตัวกลับใจได้ทันเวลา สะอื้นพลางกราบลาสมเด็จฯ โดยไม่กล่าวคำอำลาสักน้อยหนึ่ง จะโกรธสมเด็จฯ ที่พูดจี้ใจดำหรือไม่ ไม่ทราบได้



แต่หลังจากนั้น สมเด็จฯ ท่านก็ได้ทราบข่าวมาว่าคุณนายเงียบเหงาไปไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน และจัดการย้ายห้องแม่ให้ไปอยู่ติด ๆ กับห้องตนบนตึกใหญ่ ดูแลปรนนิบัติท่านอย่างดี ไม่ค่อยออกนอกบ้านเช่นแต่ก่อน และกว่าจะเข้ามาหาสมเด็จฯ อีกก็ต่อเมื่อเวลาล่วงไปแล้วได้หลายเดือน

ไม่กล้าเข้าหน้าสมเด็จฯ เพราะความละอายใจนั่นเอง

สาธุ ! นับเป็นบุญของคุณนายคนนั้น ที่ได้พบพระเช่นสมเด็จฯ องค์นั้นเสียก่อน และเป็นบุญยิ่งนักที่กลับเนื้อกลับใจเสียใหม่ได้เมื่อยังไม่สายเกินไป เวลาที่จะสนองพระคุณแม่นั้นยังพอมีอยู่บ้าง แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี ผิดกับบางคนกว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อท่านทั้งสองไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว หรือบางคนแม้จะมีผู้พูดกรอกหูให้ฟังอยู่ทุกวันก็ยังไม่รู้สึก ปล่อยให้พระในบ้านของตนลำบากลำบนอยู่เหมือนเดิม

ก็แล้วมาถึงตัวท่านบ้างล่ะ ขอถามว่าพระในบ้านของท่านยังสบายดีอยู่หรือ ?

พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙, ราชบัณฑิต




 

Create Date : 07 มกราคม 2553   
Last Update : 7 มกราคม 2553 9:36:20 น.   
Counter : 2440 Pageviews.  

หนอนกับเทวดา



มีชายสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่บ้านใกล้กันและไปโรงเรียนด้วยกันจนเรียนจบ แต่ทั้งสองคนมีนิสัยและความประพฤติต่างกันมาก คนหนึ่งเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น สุราบุหรี่ไม่แตะต้อง แต่อีกคนหนึ่งชอบดื่มสุราและชอบด่าคนอื่นด้วยคำหยาบคาย แม้แต่พระในวัดข้างบ้านก็ไม่เว้น

ต่อมาทั้งสองคนตายจากกันไป คนที่เป็นคนดีได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้า มีวิมานซึ่งเพียบพร้อมด้วยนางฟ้าและของทิพย์ทั้งมวลเป็นสมบัติ ส่วนเพื่อนอีกคนไปเกิดเป็นหนอนอยู่ในถานพระริมรั้ววัด

วันหนึ่ง เพื่อนที่เป็นเทวดาคิดถึงเพื่อนอีกคนขึ้นมา จึงมองหาดูเห็นเพื่อนเกิดเป็นหนอนกินอุจจาระอยู่ในถานพระเพราะเคยด่าพระมา จึงเกิดความสงสารต้องการชวนเพื่อนมาอยู่บนสวรรค์ด้วย จึงหายวับจากสวรรค์มาปรากฏตัวอยู่ที่ใต้ถานพระแล้วตะโกนเรียกชื่อเพื่อน

หนอนที่เป็นเพื่อนกันได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อเก่าของตนจึงโผล่หัวออกมาจากอุจจาระ เห็นเทวดาลอยอยู่เหนือหัวของตน จึงถามว่า
"ท่านเป็นใคร รู้จักชื่อเราได้อย่างไร"

"เราคือเพื่อนของท่านที่ชื่อนี้ไง เราตายแล้วได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์"

"ท่านมาหาเราทำไม" หนอนถาม

เทวดาจึงตอบว่า "เรามาชวนท่านไปอยู่บนสวรรค์ด้วยกัน เราเห็นท่านจมอยู่กับอุจจาระที่สกปรกโสโครกก็นึกเห็นใจ อยากให้ท่านได้อยู่สุขสบายด้วยกันในวิมานของเรา"

"บนสวรรค์มีดีอย่างไรหรือท่านเทวดา" หนอนถามอีก

"บนสวรรค์มีแต่อาหารทิพย์ รสชาติอร่อยเลิศกว่าอาหารมนุษย์มากมายจนเทียบกันไม่ได้"

"อาหารเหล่านั้นได้มาอย่างไร ใครเป็นคนปรุง"

"อาหารทิพย์ไม่ต้องมีคนปรุง เป็นอาหารสำเร็จรูป เรานึกอยากจะกินเมื่อไรก็นึกเอา นึกเสร็จอาหารก็เกิดขึ้นทันที เรากินแล้วอยากกินอะไรอื่นอีกก็นึกเอา อาหารก็มาอยู่ตรงหน้า สบายที่สุด ไปอยู่ด้วยกันนะเพื่อนนะ จะได้ลิ้มรสอาหารทิพย์ด้วยกัน" เทวดาอ้อนวอน

"ถ้าอย่างนั้นก็สู้เราไม่ได้แล้วท่าน อาหารของเราไม่ต้องเนรมิตเสียให้ยาก ถึงเวลาเช้าก็หล่นลงมาเองทุกวัน กินเท่าไรก็ไม่หมด ท่านกลับไปเถอะ ข้าพเจ้าขออยู่กับอาหารอันเอมโอชที่เหลือเฟือ ทั้งไม่ต้องทำไม่ต้องเนรมิตต่อไปดีกว่า"

ว่าแล้วหนอนก็มุดหัวลงไปในกองอุจจาระทันที เทวดาก็ได้แต่ถอนใจที่ไม่สามารถกล่อมเพื่อนให้ไปอยู่ด้วยกันได้.

เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า

คนที่ชอบสิ่งสกปรกโสโครก ชอบคลุกคลีอยู่กับสิ่งมอมเมา ชอบเสพเสวยอบายมุขต่าง ๆ มีอยู่มากในโลกใบนี้

การที่เราไปชวนไปแนะนำให้เขาละเลิกสิ่งเหล่านี้ด้วยเจตนาดีนั้นเป็นเรื่องที่น่ายกย่องสรรเสริญ แต่ใช่ว่าเขาจะเชื่อเราหรือทำตามคำแนะนำของเราทุกคนไปก็หาไม่ ที่ยังปรารถนาจะจมปรักอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ไม่ยอมถอนตัวออกจากขุมนรกหุบเหวเช่นนั้นก็มีอยู่ไม่น้อย

ฉะนั้นจะต้องทำใจหากปรารถนาดีต่อเขา ต้องอดทนอดกลั้น และต้องรอเวลา ทั้งต้องทำใจไว้ล่วงหน้าว่าอาจเสียเวลาเปล่า อาจเสียความรู้สึกที่ดี ๆ ต่อเขาไป เพราะหนทางแห่งความสำเร็จสำหรับความหวังดีของเรานั้นค่อนข้างจะริบหรี่เต็มทน

ขนาดเทวดายังไม่อาจเปลี่ยนใจหนอนได้เลย แล้วเราเป็นใคร วิเศษกว่าเทวดาแค่ไหนกันเชียว.


ที่มา หนังสือ กิร ดังได้สดับมา โดย พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต)




 

Create Date : 06 มกราคม 2553   
Last Update : 6 มกราคม 2553 12:48:59 น.   
Counter : 738 Pageviews.  

กวางเนรคุณ



นายพรานคนหนึ่งหากินทางล่าสัตว์อยู่ในป่า วันหนึ่งเข้าป่าไปล่าเนื้อตามปกติ เหลือบไปเห็นกวางตัวหนึ่งกำลังและเล็มใบไม้เพลินอยู่ จึงขึ้นหน้าไม้แล้วย่องเข้าไปใกล้ ๆ หมายจะยิงให้ถนัด บังเอิญไปเหยียบกิ่งไม้แห้งเข้า ทำให้กวางรู้สึกตัวแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต

นายพรานวิ่งไล่ตามติด ๆ กวางวิ่งลัดเลาะไปตามต้นไม้ได้สักพักหนึ่งก็เห็นพุ่มไม้ใหญ่พุ่มหนึ่ง จึงกระโจนเข้าไปแอบซ่อนหายใจระส่ำอยู่ นายพรานวิ่งไล่ตามกวางมาจนถึงพุ่มไม้นั้น แต่ไม่เฉลียวใจว่ากวางแอบซ่อนอยู่ จึงวิ่งเลยไป

ฝ่ายกวางเห็นนายพรานวิ่งผ่านไปแล้ว จึงหมอบนิ่งอยู่จนหายตกใจและหายเหนื่อย สังเกตเห็นพุ่มไม้ที่ตนแอบซ่อนอยู่กำลังผลิใบเต็มต้น คิดว่าช่างเป็นโชคดีแท้ ๆ ที่ได้มาซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ที่กำลังแตกใบอ่อนอันเป็นอาหารอันโอชะพอดี จึงหมอบและเล็มใบอ่อนกินเพลินจนลืมเรื่องร้ายที่เพิ่งผ่านมา จนกระทั่งใบอ่อนร่อยหรอลง เกิดเป็นช่องโหว่ตรงนั้นตรงนี้ แต่กวางก็ไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

ส่วนนายพรานวิ่งตามกวางไปได้พักหนึ่งเห็นไม่ทันแน่ จึงเดินกลับทางเก่า พอดีผ่านที่พุ่มไม้นั้นอีก สังเกตเห็นพุ่มไม้ไหว ๆ จึงย่องเข้าไปใกล้ ๆ เห็นกวางกำลังและเล็มใบอ่อนเพลินอยู่ จึงขึ้นหน้าไม้แล้วยิงไปทันทีโดยที่กวางไม่ทันรู้ตัว ลูกศรได้ปักเข้าที่ลำคอของกวางพอดี พอถูกยิงกวางสะดุ้งสุดตัวแต่ยังไม่ตายทันที รู้ตัวว่าตัวเองทำผิดเสียแล้วที่กินใบอ่อนของพุ่มไม้จนเกิดช่องโหว่ให้นายพรานเห็นตัวได้ ก่อนตายกวางได้ร้องเปรยออกมาว่า

"บุคคลได้นอนหรือนั่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่ควรจะหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะผู้ทำเช่นนั้นชื่อว่าเป็นผู้ประทุษร้ายมิตร เราต้องมาตายเพราะเนรคุณต่อพุ่มไม้ที่ได้อาศัยรอดตายมาแล้วแท้ ๆ"

เปรยได้เท่านี้กวางก็สิ้นลม.




 

Create Date : 06 มกราคม 2553   
Last Update : 6 มกราคม 2553 10:24:09 น.   
Counter : 1100 Pageviews.  

1  2  

thammakittakon
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




[Add thammakittakon's blog to your web]