"ข้าพเจ้าไม่ขอพบเจอกับคนพาล เพราะคนพาลย่อมแนะนำในสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ ย่อมชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ การแนะนำคนพาลถึงจะแนะนำดีเขาก็โกรธ" (กฤษฏ์ ธรรมกฤตกรณ์)

ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เกิดความทุกข์



“ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ” ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เกิดความทุกข์
คนเรามีความบกพร่องจึงต้องมีความปรารถนา จึงต้องการ

เมื่อไม่ได้ดังใจหวังก็เป็นทุกข์ นี่เป็นทุกข์ประเภทหนึ่ง เพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น?

เพราะเรื่องของกิเลส ความต้องการสิ่งนั้น ๆ ด้วยความอยาก ด้วยอำนาจของกิเลส

เวลาได้มาก็ได้มาด้วยอำนาจของกิเลส รักษาด้วยอำนาจของกิเลส สูญหายไปด้วยอำนาจของกิเลส มันก็เกิดทุกข์กันทั้งนั้น

ถ้าเรียน “ธรรม” รู้ธรรมเป็นหลักใจแล้ว ได้มาก็ตาม ไม่ได้มาก็ตาม หรือเสียไปก็ตาม ก็ไม่เป็นทุกข์

ผิดกันตรงนี้ จิตที่มีธรรมกับจิตที่ไม่มีธรรมผิดกันอยู่มาก

ฉะนั้นธรรมกับโลกแม้อยู่ด้วยกัน จำต้องต่างกันอยู่โดยดี

ความสมบูรณ์ของจิตกับความบกพร่องของจิต จึงต่างกันคนละโลก แม้จะชื่อว่า “จิต” ด้วยกันก็ตาม

จิตดวงหนึ่งเป็นจิตที่สมบูรณ์ด้วยธรรม แต่จิตดวงหนึ่งเต็มไปด้วยความบกพร่อง

ทั้งสองอย่างนี้ ความเป็นอยู่และการทรงตัวต่างกันอยู่มาก

ดวงหนึ่งทรงตัวอยู่ไม่ได้ ต้องเอนเอียงต้องวุ่นวาย คว้านั้นมาเกาะ คว้านี้มายึดอาศัย ยุ่งไปหมด

แทนที่จะอยู่สะดวกสบายตามที่อาศัยโน้นอาศัยนี้ แต่กลับเป็นทุกข์

เพราะจิตนี้เป็นความบกพร่องอยู่แล้ว จะอาศัยอะไรก็บกพร่องในตัวของมันอยู่นั่นแล

ไม่เหมือนจิตที่มีธรรมเป็นเครื่องยึด หรือจิตที่มีธรรมสมบูรณ์ในใจแล้ว อยู่ที่ไหนก็ปกติสุข ไม่ลุกลี้ลุกลนขนทุกข์ใส่ตัว

ท่านจึงสอนให้ทำใจให้ดี ให้ดีไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว
แม้อะไรจะบกพร่อง อะไรจะวิกลวิการไปก็ตาม

เครื่องใช้ไม้สอยที่เราเคยอาศัยมาดั้งเดิมจะขาดตกบกพร่องไป ก็ไม่มีอะไรเป็นปัญหา

เพราะจิตไม่มีปัญหากับสิ่งเหล่านั้น แล้วสิ่งเหล่านั้นจะมาเป็นอันตรายต่อจิตได้อย่างไร

เรื่องเป็นอันตรายก็จิตเป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง สร้างขึ้นมาเป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเอง

นี่แหละหลักธรรมของพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้

ถ้าต้องการความสุขความสมหวัง จงยึดไปปฏิบัติตัวด้วยดี ผลจะเป็นที่พึงพอใจ.




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 19:50:39 น.   
Counter : 827 Pageviews.  

พูดคุยเกี่ยวข้องในสิ่งที่ชอบที่ควร

(พระอาจารย์มั่น สนทนากับ พระมหาบัว)

การปฏิบัติจิตตภาวนาถือเป็นงานหลักอันสำคัญที่สุด ดังนั้น ในแต่ละวันท่านจึงพยายามพูดคุยแต่น้อย หากมีความจำเป็นต้องพูดสนทนากันบ้าง ก็ควรให้มีเหตุผลมีอรรถธรรม ไม่พูดคะนอง เพ้อเจ้อ หยาบโลน ควรพูดตามความจำเป็นและเป็นไปเพื่อความเจริญในธรรม การตักเตือนชี้แนะหมู่คณะภิกษุสามเณร ให้เป็นไปด้วยความเมตตากรุณาต่อกัน เพื่อให้รู้ให้เข้าใจคุณและโทษจริง ๆ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านกล่าวเสมอ ๆ ว่า

"...ควรพูดคุยกันในเรื่องความมักน้อยสันโดษ ความวิเวกสงัด ความไม่คลุกคลีซึ่งกันและกัน พูดในเรื่องความเพียร ศีล สมาธิ ปัญญา ในการต่อสู้กิเลส...

...พระในครั้งพุทธกาล ท่านไม่ได้คุยถึงการบ้านการเมือง การได้การเสีย ความรื่นเริงบันเทิง การซื้อการขายอะไร ท่านมีความระแวดระวังว่า อันใดจะเป็นภัยต่อความเจริญทางจิตใจของท่าน ท่านจะพึงละเว้นหลบหลีกเสมอ ส่วนสิ่งใดเป็นไปเพื่อส่งเสริมให้จิตใจมีความแน่นหนามั่นคงจนสามารถถอดถอนกิเลสออกได้เป็นลำดับลำดานั้น ควรส่งเสริมให้มีมากขึ้น ให้สูงขึ้น..."




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 13:33:12 น.   
Counter : 360 Pageviews.  

ยืนยัน...เทวดา อินทร์ พรหม เปรต ผี สัตว์นรก...มีจริง

คนตาบอดไม่เชื่อคนตาดี ย่อมมีทางตกหลุมตกบ่อได้ฉันใด ผู้มีใจมืดบอดด้วยกิเลสตัณหา ไม่เชื่อตาใจของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ย่อมนำความล่มจมมาสู่ตนได้ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านแสดงไว้ ดังนี้

"...ความล่มจมจะมีแก่ผู้ไม่เชื่อนั้นแล นี่เรียกว่า สวากขาตธรรม ท่านตรัสไว้ชอบแล้วนี้ประมวลเข้ามา เรายอมรับทุกประเภทที่พระองค์ทรงแสดงไว้แล้ว ตั้งแต่บาปแต่บุญ นรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เทวบุตร เทวดา เปรต ผี มี เรายอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ขณะที่กิเลสเปิดจากใจเท่านั้นสว่างจ้าขึ้นมาหมด ไม่เคยคาดเคยคิด เคยรู้เคยเห็นว่าจะรู้จะเห็น ก็เป็นขึ้นมาแบบอัศจรรย์ จึงได้อัศจรรย์ตัวเองว่า

"เรารู้ได้ยังไง? เห็นได้อย่างไร?"

จิตดวงนี้แลตั้งแต่กิเลสครอบงำอยู่ มันก็เหมือนคนตาบอด อะไรจะมีอยู่มากน้อยเพียงไรมันไม่เห็น สีแสงวัตถุต่าง ๆ มองไม่เห็น แต่โดนเอา ๆ นี่จิตที่มืดบอดก็เหมือนกัน มีแต่โดนความทุกข์ความทรมาน โดนบาปโดนกรรมเรื่อยมา แล้วขั้นบำเพ็ญมา ๆ ก็ค่อยหูแจ้งตาสว่างออกไปๆ สุดท้ายเปิดโล่งหมดทั่วแดนโลกธาตุ สว่างจ้าครอบโลกธาตุ เกิดความอัศจรรย์ในตัวเองว่า

"รู้ได้อย่างไร? เห็นได้อย่างไร? สิ่งที่ไม่เคยคาดเคยคิด เคยรู้เคยเห็น ก็เห็นก็เป็นขึ้นมาประจักษ์ใจเพราะสิ่งเหล่านั้นมีอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าตาเรามันหลับด้วยกิเลสปิดบังเท่านั้น พอเปิดตาคือกิเลสออกจากใจแล้ว สว่างจ้าขึ้นมา" ก็ยอมรับ กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้..."

จิตวิญญาณ...มีจริง

เหตุนี้เองทำให้ท่านยืนยันเรื่องจิตวิญญาณว่าเป็นของมีจริง ดังนี้

"...จิตดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่เคยฉิบหาย แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าพูดถึงเรื่องวัตถุต่าง ๆ ในแดนโลกธาตุนี้ว่าอันไหนมากกว่าอะไร ไม่มีอะไรที่จะมากยิ่งกว่าจิตวิญญาณของสัตวโลกเต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ใต้ดิน เหนือดิน มีเต็มหมดเลย อันนี้มากที่สุดคือจิตวิญญาณของสัตวโลก เพราะมันไม่เคยสูญนั่นเอง มันเต็มอยู่นี่ ครองภพ ครองชาติ อยู่ทุกแห่งทุกหนตามเพศตามภูมิ

อย่างที่เราเป็นมนุษย์ก็เห็นกันอยู่ ไม่เป็นมนุษย์เป็นสัตว์ก็เห็นกันอยู่อย่างนั้น เป็นไก่ เป็ด นก ปลา เป็นอะไรเราก็เห็นกันอยู่อย่างนั้น ที่ละเอียดกว่านั้นมันก็มีอยู่อย่างเดียวกันนี้เลย ไม่ได้ผิดกัน มันมีอยู่ตามสภาพของตน ๆ เป็นแต่เพียงว่าเราสามารถสัมผัสสัมพันธ์รู้เห็นได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง นั่นก็เป็นอย่างนั้นละ

มันมีภพละเอียด ภพหยาบต่างกัน อย่างพวกเทวบุตร เทวดา อินทร์พรหม พวกเปรต พวกผีก็เหมือนกับเรานี่ มีภพมีชาติเป็นกำเนิดที่เกิดของตัวเองด้วยวิบากกรรมดีชั่วเหมือนกันหมด ไม่มีใครแตกต่างกัน

เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน สัตวโลกที่เกิดขึ้นมาด้วยกัน อย่าตำหนิกันด้วยชาติชั้นวรรณะ สถานะสูงต่ำ อย่าไปตำหนิกัน..."




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 13:31:52 น.   
Counter : 382 Pageviews.  

วัตถุหรูหรา แต่จิตใจแห้งผาก

หลวงตามหาบัวท่านดูแลรักษาศิษย์พระเณรของท่านมาก ท่านพยายามรักษาสภาพวัดให้เหมาะสมสะดวกต่อการบำเพ็ญเพียร ท่านไม่ให้พระเณรต้องมีกิจนิมนต์หรือการงานอย่างอื่น ๆ อันเป็นการขัดต่องานจิตตภาวนา ซึ่งเป็นงานหลัก ท่านทะนุถนอมศิษย์พระเณรไม่ให้มีมลทิน ไม่ให้ข้องแวะกับคนภายนอกโดยไม่จำเป็น วิทยุไม่ให้ฟัง หนังสือพิมพ์ไม่ให้อ่าน ไม่นำไฟฟ้าเข้ามาในวัด เครื่องใช้ไฟฟ้าจึงมีไม่ได้

หลวงตาท่านสอนเสมอว่า อย่าให้มีวัตถุหรู ๆ หรา ๆ แต่จิตใจแห้งผาก ให้หรูหราด้วยคุณธรรมความดี วัตถุสิ่งของพอมีพออาศัยก็พอเพียงแล้วคนเรา ร่างกายมันไม่ต้องการอะไรมากหรอก แต่หัวใจนี่ซิมันไม่รู้จักพอ จึงทุกข์ร้อนกันทั่วแผ่นดิน เศรษฐีผู้มีมาก ๆ นั่นแหละ ตัวมหันตทุกข์

ถ้ามีธรรมในหัวใจบ้างแล้ว แม้จะจนอยู่บ้างก็พอเป็นพอไป คนเรามันทุกข์เพราะหัวใจไม่รู้จักพอต่างหาก

ด้วยเหตุนี้ หลวงตาท่านจึงสอนพระเณรเสมอ เรื่องความเรียบง่าย มักน้อยสันโดษ การใช้สอยจตุปัจจัยไทยทานที่ศรัทธาญาติโยมถวายมานั้น ให้ใช้ด้วยความประหยัดตามเหตุผลความจำเป็นเท่านั้น.




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 13:30:35 น.   
Counter : 403 Pageviews.  

ในพรรษาควรมีข้อวัตรปฏิบัติประจำตน

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
เนื่องในวันอาสาฬฆบูชา
เมื่อเช้าวันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒


วันนี้เป็นวันรวมอาสาฬหะ วันรวมจะเข้าพรรษา วันพรุ่งนี้ก็เป็นฤดูฝน วันเข้าพรรษาของพระ พระท่านมีข้อวัตรปฏิบัติอย่างไรท่านก็เข้มงวดกวดขันในข้อวัตรปฏิบัติของท่าน เราเป็นฆราวาสลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตแห่งศีลธรรมของชาวพุทธเรา อย่าได้ปล่อยตัวตลอดมาตั้งแต่วันเกิด ปล่อยเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งจมลงไม่มีเหลือใช้ไม่ได้นะ ถึงวันกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะบังคับขับไสเจ้าของเข้าสู่ศีลธรรมก็ให้ตั้งใจปฏิบัติตน วันพระวันโกนหรือวัน ๑๔ ๑๕ ค่ำ ซึ่งเป็นสำคัญทางพุทธศาสนา เป็นวันที่ชาวพุทธเราจะหันหน้าเข้าสู่ศีลสู่ธรรม สร้างความสงบให้แก่ใจ ไม่ใช่จะเป็นวันปล่อยตัวไปตลอดเวลาใช้ไม่ได้ พากันตั้งอกตั้งใจ

เวลาตายแล้วมีอะไรที่จะติดเนื้อติดตัวเรา ตาโลกทั้งหลายเห็นแต่สมบัติเงินทองข้าวของวัตถุศฤงคารบริวารเป็นเครื่องส่งเสริมกันให้ลืมตัวอีกด้วยซ้ำ แต่ทางศีลธรรมให้มีคุณธรรมภายในใจ สร้างบุญสร้างกุศลให้พอตัว เวลาไปแล้วบุญกุศลนี้จะตามส่งเสียเราไปสู่จุดที่หมาย ส่วนบาปนั้นจะขับไล่ไสส่งลงไปสู่ทางต่ำมีนรกเป็นต้น ให้เราคัดเลือกเสีย

วันนี้เป็นวันรวมเข้าพรรษา ให้ต่างคนต่างให้มีข้อวัตรปฏิบัติประจำอุบาสก-อุบาสิกาของเรา พระท่านก็ปฏิบัติตามหน้าที่ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านจะปฏิบัติตนให้เป็นไปเพื่อความสงบร่มเย็นแก่ท่านเอง มันถึงเรียกว่ามีวันนั้นวันนี้ สำหรับวันจริงๆ เขาก็มีแต่มืดกับแจ้ง ส่วนที่ดีที่ชั่วจริงๆมันอยู่กับคน มันไม่ได้อยู่กับมืดกับแจ้งนะ อยู่กับคน คนทำชั่วทั้งที่มืดและที่แจ้งอะไรก็เป็นอันทำ ทำดีเป็นดี ทำชั่วเป็นชั่ว

ระยะนี้ในพรรษาควรจะมีข้อวัตรปฏิบัติประจำตน เช่นอย่างวันเข้าพรรษานับแต่วันพรุ่งนี้ไปให้มีข้อวัตรปฏิบัติ ใครจะทำสัจจะวาจาบังคับจิตใจของตนให้เข้าสู่ศีลธรรมตามวันเวลาที่กำหนดไว้แล้วว่า..เช่นวันหนึ่งๆ เราใส่บาตรไม่ให้ขาด อย่างน้อยให้ได้ใส่บาตรพระองค์หนึ่งก็ยังดี นี่ก็เป็นคำสัตย์คำจริงอันหนึ่ง วันศีลวันธรรมเช่นนี้เข้าสู่วัดสู่วาฟังธรรมจำศีล เสร็จเรียบร้อยแล้วไปทำความสงบตนอยู่ภายในจิตใจ ไม่ไปทำเสียหายแต่อย่างใด ท่านเรียกว่าเป็นวันของชาวพุทธเรา

วันชาวพุทธเป็นวันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมใช้ไม่ได้ วันชาวพุทธต้องเป็นวันจิตใจเข้าสู่ศีลธรรมเพื่อความสงบร่มเย็น นี่ท่านเรียกว่าชาวพุทธ เช่นอย่างวันนี้รวมเข้าพรรษาก็รวมกันแล้ววันนี้เห็นกันอยู่ชัดเจน วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันเข้าพรรษา เพราะเป็นวันฤดูฝนในวันพรุ่งนี้ วันนี้ยังเป็นวันฤดูร้อนอยู่ จากนั้นเข้าเป็นฤดูฝน พรรษาๆ คือพวกฤดูฝนนั่นละ

ระยะนี้เราก็ให้ปฏิบัติตนของเราให้ดี ใครจะตั้งคำสัตย์คำจริงไว้สำหรับตัวในเวลามีชีวิตอยู่นี้ให้บังคับไว้เสีย ตายแล้วให้กิเลสตัณหาความชั่วช้าลามกบังคับก็ไสลงสู่ทางต่ำตกนรกอเวจีไปหมด หาผู้ที่ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมตลอดพระนิพพานจะไม่มีติดใจติดตัวของชาวพุทธเลยอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ให้ตั้งใจปฏิบัติ การทำบุญทำกุศลทำให้จริงให้จัง เขาทำบาปไม่ได้ตั้งใจทำ หรือตั้งใจทำก็ตามก็เป็นบาปด้วยกันทั้งนั้น เราตั้งใจทำกุศลนี้ยิ่งเป็นความตั้งอกตั้งใจทำอย่างแท้จริงแล้วก็เป็นบุญเป็นกุศลสำหรับตัวของเรา คนมีศีลธรรมมีความสง่างามภายในใจ

เริ่มตั้งแต่การให้ทานไม่เป็นคนคับแคบตีบตันอั้นตู้ ไปที่ไหนคบค้าสมาคมกับใครไม่ได้ เพราะความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว มันกีดกั้นทางเดินเพื่อสังคมให้เป็นความร่มเย็นเป็นสุข มีแต่สังคมเป็นฟืนเป็นไฟ พูดกันชวนกันมีแต่เข้าโรงเหล้าเมาสุราอย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ ชวนกันเข้าวัดเขาวาจำศีลฟังธรรมนี่ละที่จะติดตัวของเราไปในภพหน้าชาติหน้า เรื่องภพเรื่องชาตินี้เกิดแน่นอนไม่สงสัยไม่ว่าสัตว์ตัวใด เราตายแล้วต้องหาที่เกิด ที่เกิดนั้นต้องมีวิบากกรรม ถ้าวิบากกรรมอันดีก็พาไปเกิดในสถานที่ดี คติที่สมมักสมหมาย ถ้าไม่ได้ทำความดีไว้ สร้างแต่ความบาปหาบแต่กรรมแล้วตายลงไปแล้วตัวเองนั้นละเป็นภัยต่อตัวเอง พาให้จมลงนรกหมกไหม้ มีแต่พวกกล้าหาญชาญชัย ทำบาปลบล้างบาปบุญไม่มีนรกสวรรค์ไม่มี คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่จริงเหลาะแหละ พวกนี้พวกจะพากันจมทั้งหมด

ไม่มีใครที่จะพูดได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก พระพุทธเจ้ารับสั่งคำใดออกไปแล้วถูกต้องหมด แต่พวกเรานี้เคลื่อนไหวไปไหนมาไหน มีแต่ความผิดความพลาด หาความเป็นสาระแก่ตนไม่ได้ จึงต้องอาศัยธรรมมาเป็นเครื่องบังคับ มันอยากทำชั่วเราก็บังคับอย่าให้ทำ ไม่ให้มันทำ ให้ทำแต่ความดีงาม อยู่ในโลกนี้ก็เย็น ตายไปแล้วก็มีบุญมีกุศลที่เราอุตส่าห์สร้างมานี่ละเป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราไปสู่สถานที่ดีสำหรับคนมีบุญ สำหรับคนมีบาปก็นรกเป็นที่อยู่ คนมีบุญสวรรค์ชั้นพรหมขึ้นไปจนกระทั่งนิพพานเป็นที่อยู่

เวลามีชีวิตอยู่นี้ให้พากันตั้งอกตั้งใจ อย่าสักแต่ว่าทำใช้ไม่ได้ ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจเป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้นละ ขอให้พี่น้องทั้งหลายตั้งอกตั้งใจ เวลานี้เป็นเวลาเข้าพรรษาถึงวันออกพรรษาสามเดือน เราจะมีข้อบังคับตัวเองเข้าสู่ศีลธรรมในข้อใดก็ให้พยายามทำ เช่นตื่นขึ้นมาตอนเช้าให้ได้ใส่บาตรทุกวันๆ ไม่ให้ขาดวรรคขาดตอน ไป แม้ที่สุดได้ใส่บาตรองค์เดียวก็ยังดี เป็นเครื่องหมายของผู้มีสัจจธรรมคือความจริงใจต่อศีลต่อธรรม ถ้าเหลาะๆ แหละๆ ตั้งแต่เกิดมาเหลาะแหละจนกระทั่งวันตายก็เหลาะแหละอย่างนี้ใช้ไม่ได้เลยนะ

เข้าทำนองที่ธรรมท่านแสดงไว้ ตโมตมปรายโน เวลาเกิดขึ้นมาก็มืดบอด เกิดขึ้นมาแล้วก็มืดบอด หาความสว่างไสวความรักใคร่ใฝ่ธรรมไม่มี สร้างแต่บาปแต่กรรม ตโมตม คือเบื้องต้นก็มืด มีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึงวันตายก็มืด มืดบอด หาความเจริญรุ่งเรืองใส่ตัวเองไม่ได้ นี่ผิด ถ้าพูดให้ถูกต้องตามครองธรรมก็ว่า ตโมโชติปรายโน เบื้องต้นเราเกิดมาไม่ได้ศึกษาอบรมก็ต้องผิดบ้างถูกบ้างเป็นธรรมดา แต่เวลาได้รับการศึกษาอบรมแล้วพยายามนำธรรมนั้นเข้ามาอบรมแก่ตัวเอง อบรมให้เป็นคนดีขึ้นเป็นลำดับๆ นี่เรียกว่า ตโมโชติปรายโน เวลาเกิดมามืดบอดครั้นต่อไปมีความสว่างไสวด้วยกันฝึกเนื้อฝึกตัวจนเข้าสู่ศีลธรรม เข้าไปสู่ความสุขความเจริญได้ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาให้ดีนะ

หลวงตาก็แก่แล้วเวลานี้ เทศนาว่าการไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรก็อุตส่าห์เทศน์ด้วยความเมตตา เพราะอันนี้เป็นทางที่ถูกที่ดีของเราเป็นมนุษย์และเป็นชาวพุทธด้วย ให้นำไปปฏิบัติ คนคนหนึ่งเป็นสัตว์ทั้งตัวตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันตายใช้ไม่ได้นะ คนคนหนึ่งมันมีแต่สักแต่ว่าคน ศีลธรรมไม่มีก็กลายเป็นสัตว์ไปหมด ให้มีศีลมีธรรมประจำตนบ้างตามกำลังความสามารถ อย่าได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัว การปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่เป็นของดี มันเป็นคนเศษคนเดนไป ไม่ใช่เป็นคนมีราค่ำราคาอะไร ถ้าคนมีคุณงามความดีติดเนื้อติดตัวก็เรียกว่าเป็นคนมีคุณค่า มีสาระภายในตัวของเราเอง

เพราะอย่างนั้นจึงให้พี่น้องทั้งหลายจดจำแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ ทำอะไรให้จริงจัง อย่าเป็นนิสัยเหลาะๆ แหละๆ ถ้าว่าเชื่ออรรถเชื่อธรรมเชื่อแต่ปาก หัวใจไม่เชื่อ การกระทำไม่เชื่อธรรม เชื่อแต่ความเห็นของตนที่มีตั้งแต่มูตรแต่คูถสกปรกเต็มหัวใจ แสดงออกมาเป็นมูตรเป็นคูถไปหมด ผู้ได้ยินได้ฟังก็ฟังแต่เรื่องมูตรเรื่องคูถมันใช้ไม่ได้ ให้ตั้งใจปฏิบัติตัวให้ดี ถ้าตั้งใจปฏิบัติตัวให้ดี ดีไม่สงสัย พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านขึ้นสู่นิพพานมีจำนวนมากขนาดไหน ล้วนแล้วแต่ท่านได้ฝึกอบรมตนเต็มกำลังความสามารถ ไม่ใช่อยู่ๆ ไปสวรรค์ได้ ไปนิพพานได้ แล้วตกนรกได้ไม่มี

การตกนรกเป็นความจงใจของผู้ทำชั่ว การไปสู่ความดีก็เป็นความจงใจของผู้สร้างความดี เมื่อสร้างความดีแล้วความดีก็เป็นเครื่องสนับสนุนให้มีความสง่างามเย็นอกเย็นใจจนกระทั่งวันตาย ตายแล้วไปเกิดในสถานที่ของคนมีบุญไปเกิด เช่นอย่างสวรรค์ อย่างน้อยก็มนุษย์ ไปสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน นี่คนทำดีไปทางแถวนี้ แต่คนทำชั่วอบายมุข-อบายภูมิเหมาเอาหมด ตกนรกอเวจียังไม่แล้ว จมลงไปๆ ท่านว่านรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน นี่จะว่าเป็นสมบัติคือเครื่องเสวยมันก็มีแต่ความชั่วมาทำให้ตัวได้รับความเดือดร้อนมันก็ไม่ใช่สมบัติ ถ้าสมบัติเป็นเครื่องเสวยก็คือการสร้างความดีงามเอาไว้ก็จะมีความเย็นอกเย็นใจ

เอาล่ะวันนี้ไม่เทศน์มากอะไร วันพรุ่งนี้ท่านก็จะอธิษฐานเข้าพรรษากันละพระ พระที่เข้าพรรษาสำหรับท่านผู้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติในศีลในธรรมจริงๆ ท่านจะมีความเข้มข้นหนักแน่นในข้อวัตรปฏิบัติผิดปรกติอยู่มาก ในเข้าพรรษาเป็นเครื่องดัดแปลงตัวเองเป็นกาลเป็นเวลาท่านก็ดัดแปลงให้เต็มความสามารถของท่าน ผู้ที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่มีวันเข้าพรรษาออกพรรษา วันไหนก็มีแต่มืดกับแจ้ง ตัวบุคคลก็เป็นบุคคลโมฆะหาสาระแก่นสารแก่ตัวไม่ได้ ตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งถึงวันตายสร้างแต่ความชั่วช้าลามก เมื่อสร้างเต็มที่แล้วตายก็จมไปเลย ไม่ยากเย็นอะไร จมได้ง่าย

แต่การฟื้นฟูตัวเองให้เข้าสู่ความดีงามต้องมีการฝึก การทรมานตนย่อมมีทุกข์มาก ทุกข์ก็ทุกข์เถอะ ทุกข์เพื่อความสุขไม่เป็นอะไร ท่านว่า ทุกฺขสฺสานนฺตรํ สุขํ ก่อนที่จะมีความสุขนั้น ต้องดัดแปลงตัวทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นความทุกข์ผ่านไปก่อน ความสุขที่จะเป็นผลทีหลังก็เกิดตามๆกันขึ้นไป ทุกฺขสฺสานนฺตรํ สุขํ นี้ละท่านว่าทุกข์เสียก่อนความสุขจะตามมาเอง สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ อะไรก็มีแต่ความสุกเอาเผากิน สุกเอาเผากิน เป็นคนเรียกว่าจับจด ทำอะไรไม่จริงไม่จัง เป็นคนเหลาะแหละ หาสาระไม่ได้ นี่เรียกว่าเป็นคนจับจดหาสาระไม่ได้ ท่านว่าคนคนนี้หาบตั้งแต่บาปตั้งแต่ความทุกข์ทรมาน ความผิดพลาดมาสังหารตนตลอดเวลาไม่สมควรแก่เราเป็นมนุษย์ จึงขอให้ท่านทั้งหลายนำไปฝึกฝนอบรม

พระท่านอยู่ในวัดท่านไม่ได้ทำไร่ทำนา แต่ท่านฝึกฝนทรมานตนยิ่งหนักกว่างานเหล่านั้น เพราะทุกวันทุกเวลาฝึกตัวเอง เคลื่อนไหวไปมา คิดพูดออกมาเป็นความถูกต้องดีงามอย่างไรหรือไม่ต้องกลั่นกรองเสียก่อน ค่อยพูดออกไปแต่เรื่องที่เป็นศีลเป็นธรรม ถ้าอุตส่าห์พยายามรักษาก็เป็นคนดีไปเรื่อยๆ ถ้าไม่รักษาไม่เกิดประโยชน์ อะไรนะ ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ เหนื่อย ต่อไปนี้จะให้ศีลให้พรแก่พี่น้องทั้งหลาย.




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 13:36:03 น.   
Counter : 268 Pageviews.  


thammakittakon
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




[Add thammakittakon's blog to your web]